1.เธอคือใคร? (1)

1515 คำ
“คนไข้บาดเจ็บแค่ที่ศีรษะครับ มีอาการปอดบวมเล็กน้อย ส่วนอื่นนอกจากแผลถลอกบนร่างกายภายนอกแล้วภายในก็ไม่ได้บอบช้ำ สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน แต่ต้องรอดูอาการหลังจากฟื้นขึ้นมาอีกทีเพราะมีแผลที่ศีรษะครับ” หลังฟังคำบอกจากหมอที่ตรวจร่างกายและรักษาผู้หญิงที่ตนพามาแล้วจามิกรก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะไม่บาดเจ็บส่วนไหนเลยนอกจากหัว จากนั้นก็ให้ปากคำกับตำรวจที่ทางโรงพยาบาลแจ้งเหตุไป ซึ่งในตัวหญิงสาวไม่มีสิ่งที่ระบุได้ว่าเป็นใครนั่นยิ่งน่าแปลก ราวเป็นการจงใจนำตัวมาทิ้งเอาไว้และน่าจะไม่นานก่อนที่เขาจะผ่านไป เพราะหากนานกว่านั้นด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกหนักเธออาจจะไม่รอด โดยตำรวจจะมาอีกครั้งหลังจากหญิงสาวฟื้น “นายจะกลับมาดูเธออีกไหมครับ” “ไม่ล่ะ” คนเป็นลูกน้องแปลกใจ เจ้าตัวกำลังขับรถจึงไม่อาจหันมองเจ้านายได้นานนัก ทว่าฟังจากน้ำเสียงก็ดูราวไม่ใส่ใจนักทั้งที่เป็นเรื่องควรใส่ใจ “แต่นายไม่อยากรู้เหรอครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ใครทำร้ายเธอ อาจมีคนไม่หวังดีกับไร่เราไม่ใช่เหรอครับ” จามิกรเงียบ คิ้วเขิ้มขมวด เขาออกมาหลังจากให้ปากคำกับตำรวจเสร็จ เพราะอย่างไรเสียก็คงช่วยอะไรไม่ได้ และเมื่อหญิงสาวฟื้นน่าจะบอกได้ว่าตนเองเป็นใคร ทางโรงพยาบาลก็สามารถติดต่อญาติได้ ในเมื่ออยู่ต่อไปไม่มีประโยชน์เขาจึงกลับ “งานในไร่รอให้จัดการเยอะแยะ แกจะให้ฉันไปเสียเวลามาเฝ้าคนที่ไม่รู้จักทำไมวะไอ้เบิร์ด” “แต่...” “แกคิดว่าเธอจะบอกเราหรือไง เราเป็นใครก็ไม่รู้ จะไปถามเธอเรื่องนั้นได้ยังไง รอคุยกับตำรวจดีกว่า” เบิร์ดเพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้ เขาหันไปมองนายของตนตาโตอย่างทึ่งแวบหนึ่ง “จริงด้วย ไอ้ผมก็ลืมไป เธออาจจะกลัวเราสองคนด้วยซ้ำ” คนเป็นนายยกยิ้มมุมปาก นั่นสิ จะให้คุยกับผู้หญิงที่ไม่รู้จักกัน แถมอาจอยู่ในภาวะเครียดและตกใจกลัว เขาคิดว่าคุยกับตำรวจย่อมง่ายกว่า ขุนเขาเขียวขจีโอบล้อมไร่องุ่นกว้างขวาง เหนือขึ้นไปกว่านั้นเมฆดำหนาทะมึนบ่งบอกว่าฝนกำลังตั้งเค้า จามิกรมองท้องฟ้าด้านบนขณะขับรถจากไร่กลับไปยังสำนักงาน เนื่องจากมีนัดสัมภาษณ์คนดูแลบัญชีคนใหม่ หลายวันมานี้ฝนตกบ่อยและหนักตามฤดูกาล ตอนนี้เขาให้เบิร์ดคุมคนงานตัดแต่งกิ่งขององุ่นที่งอกหลังจากฝนตกอยู่ แม้ผ่านช่วงพักตัวต้นองุ่นยังไม่ครบสองเดือน และการตัดแต่งก่อนกำหนดทำให้ผลผลิตน้อยลงทว่าก็จำเป็นเพราะกิ่งเล็กๆ ที่แตกออกใหม่จะใช้อาหารที่สะสมในต้นโดยไม่จำเป็น และแล้วฝนก็ตกลงมาตามคาด เบิร์ดคงให้คนงานหยุดพักก่อน หลังจากนี้ภายในเจ็ดถึงสิบห้าวันเขาต้องใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงยอด ใบและดอกที่ออกมาใหม่ ต้องเพิ่มฮอร์โมนดูแลอย่างดีเพื่อผลผลิตที่ดีและได้คุณภาพ ไร่ของเขามีทั้งองุ่นที่เก็บส่งขาย ผลิตไวน์ และส่วนที่ให้นักท่องเที่ยวเก็บเองได้ และมีพื้นที่รีสอร์ตให้เข้าพักสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนซึ่งมีจำนวนบ้านพักจำกัดอีกด้วย ชายหนุ่มจอดรถ ไม่มีร่มทว่าก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา หากก็มีหมวกที่ตนใส่ทำงานในไร่ติดตัวแม้จะไม่ช่วยนักก็ตาม ร่างสูงใหญ่ลงจากรถโดยไม่สนใจใดๆ ก้าวยาวฝ่าฝนขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นของสำนักงาน แม้ใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีทว่าก็ทำให้เสื้อเปียกได้เพราะความหนาแน่นของเม็ดฝน เขาตรงเข้าประตูสำนักงานแล้วก็เห็นว่าสาวิตผู้จัดการไร่นั่งรอพร้อมกับใครคนหนึ่งที่มุมรับแขกจึงหันไปมองตรงๆ แล้วก็ต้องคิ้วกระตุกกับร่างเล็กบอบบางที่ยืนขึ้นพร้อมสาวิต ทว่าเขาก็พูดขึ้นก่อนผู้จัดการของตน “ขอผมเปลี่ยนเสื้อสักสิบนาทีนะสาวิต แล้วค่อยเข้าไป” “ครับ” หลังจากคนของตนรับปากจามิกรก็มุ่งตรงไปยังห้องทำงานขณะคิ้วเข้มขมวด เธอคนนั้นที่เขาเคยช่วยไว้ มาสมัครงานที่ไร่ของเขา เปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยจามิกรก็นั่งครุ่นคิดอยู่หลังโต๊ะทำงานของตน เป็นเรื่องบังเอิญหรือจงใจกันแน่ที่ผู้หญิงคนนี้มาป้วนอยู่ที่ไร่ของเขา หนึ่งเดือนผ่านไปนับตั้งแต่เขาพาเธอส่งโรงพยาบาล ชายหนุ่มคุยกับตำรวจได้ความว่าเธอไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร และจับตนเองมาเพื่อจุดประสงค์อะไร เพราะคนพวกนั้นไม่ได้ทำอะไรเธอนอกจากเอามาโยนทิ้ง แม้ช่วงแรกยังมีอาการมึนงงอยู่แต่เจ้าตัวก็บอกได้ว่าตนเองชื่ออะไรซึ่งเขาไม่ได้ถาม ด้วยความคิดตอนนั้นสงสัยว่าอาจมีคนต้องการทำให้ชื่อเสียงของไร่ฤทธากาจเสียหาย หญิงสาวน่าจะเป็นเพียงเหยื่อและเขาก็โชคดีที่ไปเจอเธอเข้าก่อนจะเสียชีวิต จามิกรจึงคุยเรื่องนี้กับคุณจักรกฤษอาของตนซึ่งอีกฝ่ายก็คิดว่าอาจเป็นไปได้ เพราะหากไร่ฤทธากาจเกิดเรื่องไม่ดีจะเสียหายไปถึงท่านซึ่งเพิ่งลงสมัครส.ส.ปีนี้เป็นปีแรก ปัญหาน้อยนิดก็มีสิทธิ์สั่นคลอนความน่าเชื่อถือลงได้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นชายหนุ่มก็เอ่ยอนุญาต แล้วสาวิตจึงก้าวเข้ามาพร้อมเอกสารในมือตามด้วยร่างเล็กของหญิงสาว ผู้จัดการของเขาส่งเอกสารมาให้พร้อมเอ่ย “คุณตมิสา นี่คุณจามิกร นายใหญ่ของไร่ฤทธากาจครับ” หญิงสาวยกมือไหว้และเอ่ยทักทาย จามิกรเองก็รับไหว้ ก่อนจะบอกสาวิต “ขอบคุณมากสาวิต” จากนั้นผู้จัดการไร่ที่อายุมากกว่าเขาห้าปีก็ออกไป ชายหนุ่มจึงเชิญเจ้าของร่างเล็กให้นั่งลง “ก่อนสัมภาษณ์ผมขอถามตรงนะครับคุณ...” จามิกรก้มลงมองชื่อจากเอกสารสมัคร “ตมิสา” ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วอีกครั้งคือนามสกุลของเธอ ‘คุณอเนก’ “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ จามิกรจ้องดวงหน้าเล็ก เธอน่าจะมีแผลตรงไรผมริมหน้าผาก จำได้ว่าแผลเธอต้องเย็บแต่ไม่กี่เข็ม ตอนนี้คงเป็นรอยจางแล้ว แต่เจ้าตัวมีผมหน้าม้าที่หวีลงมาปิดไว้บางๆ จึงมองไม่เห็น และนับว่าโชคดีที่สมองไม่กระทบกระเทือน ครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยขึ้นทว่าไม่ให้ดูเป็นการจับผิดจนเกินไปนัก “คุณรู้จักกับสาวิตหรือเปล่า” “เปล่าค่ะ” “ผมถามเพื่อความแน่ใจ แต่ไม่ใช่ว่าจะจ้างหรือไม่จ้างคุณเพราะรู้จักกับสาวิตหรอกนะ ผมจะตัดสินใจจากคุณสมบัติที่คุณมี ผมฝากให้สาวิตดูแล้วก็เลือกคนที่เขาเห็นว่าเหมาะสมมาสัมภาษณ์ ซึ่งเขาเลือกคุณแค่คนเดียวจากผู้สมัครหลายคน” ใบหน้าขาวใสที่มีเครื่องสำอางบางเบาดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด หากก็ไม่พูดอะไร และจามิกรก็คิดว่าหญิงสาวไม่ได้โกหก จริงๆ แล้วเขาก็ถามสาวิตไปแล้วว่าทำไมเลือกสัมภาษณ์คนเดียวหลังอีกฝ่ายบอกเขาว่านัดคนที่สมัครวันนี้ ได้คำตอบว่าเท่าที่ดูคนนี้เข้าตาที่สุดด้วยท่าทางที่หยุดคิดไปชั่วอึดใจ ไม่ใช่ว่าจามิกรไม่ไว้ใจคนของตน เพราะอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ทำงานในฐานะผู้ช่วยกับบิดาของเขามานานและขึ้นมาเป็นผู้จัดการในตอนที่เขาเข้ามาบริหาร และผู้จัดการคนก่อนก็คือพ่อของสาวิตเองที่ขอลาออกหลังบิดาของจามิกรเสีย ด้วยทำงานเป็นเพื่อนคู่คิดรู้ใจกันมานานจึงคิดว่าได้เวลาพักของตนแล้ว ปล่อยให้ลูกชายที่ช่วยงานทุกอย่างเข้ามาสานต่อ แต่ที่ถามหญิงสาวก็เพราะอยากดูปฏิกิริยาของเธอ ทว่าที่น่าแปลกกว่าคือ คนเพิ่งเจอเรื่องร้ายแรงมาไม่นาน กลับสมัครงานได้ค่อนข้างเร็วแทนที่จะพักผ่อนสักพัก หรือไม่เขาก็ประเมินหญิงสาวต่ำเกินไป สภาพจิตใจเธออาจแข็งแกร่งกว่าผู้หญิงตัวเล็กบอบบางเหมือนรูปร่างของเธอ “เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า คุณรู้จักไร่ฤทธากาจมากแค่ไหน...” =========
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม