คนที่ระรานกันกลับยอมผละออกห่าง เขาลุกขึ้นนั่งพิงโซฟาหยิบบุหรี่ที่ถูกเผาจนเหลือน้อยนิดเข้าปาก อัดควันลงคอ
ฉันลนลานลุกและถอยออกห่าง ขยุ้มจับคอเสื้อเมื่อพบว่ากระดุมเม็ดบนหลุดจากรังซึ่งไม่รู้เขาทำได้ยังไง จุดที่ถูกปากลิ้นร้อนจูบเลียก็ร้อนผ่าวไม่หยุด มองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง
ไม่ต้องมีคนบอกฉันก็รู้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ามีความร้ายกาจแค่ไหน มันเป็นกลิ่นอายที่สัมผัสได้ นอกจากนี้ฉันยังเคยได้ยินว่าเขากับพี่เมธไม่ลงรอยกัน ดังนั้นเมื่อเห็นเขาจึงเลือกจะร้องขอความช่วยเหลือ แม้จะรู้ว่าเขาเองก็ร้ายนี่แหละ
“คราวหน้าอย่าริเดินเข้าไปในดงผู้ชายคนเดียวเที่ยวพูดจาอวดดีแบบนั้นอีก แต่ทางที่ดีอย่ามีคราวไหนอีกเลยดีกว่า”
ฉันพลาดเพราะคิดน้อยไปหน่อย คิดแค่ว่าการจับพี่เมธตอนที่เขานัวเนียผู้หญิงคนอื่นได้จะทำให้บอกเลิกเขาได้ง่าย ๆ ลืมคิดไปว่านั่นเป็นการหักหน้าเขา ต่อให้เราไม่ได้คบกันเพราะรัก เขาก็คงไม่ยอมฉันง่าย ๆ โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง
“ปละ ปล่อยฉันไปเถอะ”
“ไม่ได้หรอก”
คำตอบที่ได้ทำให้ฉันกระถดถอยออกห่างคนตรงหน้ามากขึ้น ระแวดระวังมากกว่าเดิม เตือนตัวเองให้ตั้งสติให้มาก ถ้าถูกข่มเหงจะได้สู้ได้ อย่างมากฉันก็จะสู้แค่ตาย
“นายไม่ยุ่งกับผู้หญิงที่ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ”
“เธอไม่ได้ฟังตอนพี่พูดกับไอ้พวกนั้นเหรอว่าพี่ถูกใจเธอ”
“ฉันคิดว่านายไม่ได้พูดความจริงหรอก เราเพิ่งเจอหน้ากัน นายจะถูกใจฉันไวขนาดนั้นเลย”
เมื่อมีสติมากขึ้นและเขาไม่ได้มีท่าทางคุกคาม นั่งทอดกายสูบบุหรี่ท่าทางสบาย ๆ แรงกดดันในใจฉันเริ่มลดลง เริ่มเห็นความหวังว่าจะคุยกับเขาดี ๆ คงรู้เรื่อง
“คนเราจะเหม็นหน้าใครหรือถูกใจใคร ต้องใช้เวลาด้วยเหรอ”
เขาขยี้บุหรี่ที่สูบหมดมวนกับจานรอง หันมามองหน้าฉันตรง ๆ ตาคมกริบคู่นั้นนิ่งลึกอ่านยาก
“พี่พูดจริงครับ”
ข้อไหนบ้างนะที่เขาบอกว่าจริง ฉันนึกสงสัยแต่ไม่กี่วินาทีก็ได้รับการเฉลย
“พี่ถูกใจเราจริง” ตาคู่คมทำเอาฉันหายใจไม่ออกตอนมองสบ “พี่ไม่ขืนใจผู้หญิงก็เป็นเรื่องจริง”
“สรุปว่านายจะปล่อยฉันไปใช่ไหม”
ความลิงโลดพุ่งขึ้นในใจ เกือบถลาเข้าไปเขย่าแขนเขาอย่างดีใจหากไม่เห็นรอยยิ้มมีเลศนัยซะก่อน
“ปล่อยสิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“หมายความว่าไง อ๊ะ นายจะทำอะไร”
ฉันร้องลั่นที่จู่ ๆ ถูกคว้าตัวว่องไว เขาลากตัวฉันตรงไปยังห้องหนึ่ง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ามันเป็นห้องนอน
“จะทำอะไร”
ตัวฉันถูกดึงลงไปบนที่นอน พลิกตัวจะดิ้นหนีก็ถูกแขนแกร่งสอดเข้าโอบรัด ท่อนขาแข็งแรงพาดมาเกี่ยวรัดขาเอาไว้ คนอุกอาจซุกหน้าเข้ามาซบซอกคอจากทางด้านหลัง
“นอนกัน”
“ไหนว่าไม่ขืนใจผู้หญิงไง”
“ไม่ได้จะขืนใจ พี่แค่อยากนอน เรานอนเป็นเพื่อนพี่หน่อย”
“บ้าสิ”
“พี่แค่อยากนอนหลับหรือเราอยากให้พี่หลับนอนกับเราครับ ที่รัก...”
จมูกโด่งเบียดมาไล้แก้ม ลมหายใจอุ่นรินรด แววตารื่นรมย์ปนท้าทายนั่นบอกฉันว่าเขาจะทำแบบนั้นถ้าฉันยังไม่อยู่เฉย ๆ ไหนจะความก้าวร้าวเป็นลอนลำที่กำลังเบียดแนบสะโพกชวนใจผวานี่อีก
“ลองเรียกพี่ว่าพี่เกียร์หน่อยสิ”
ฉันเม้มปากแน่น นอนตัวเกร็งแทบไม่กล้าหายใจ ใช้ความเงียบนิ่งเป็นคำตอบ
“หรือต้องให้พี่ง้างปากก่อน”
“พี่เกียร์...” ส่งเสียงเบาหวิวออกไป
“อืม...เสียงเพราะดี” หึหึ...
ได้ยินเสียงคนข้างหลังหัวเราะเบา ๆ อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้นอีก ไออุ่นชวนใจสั่นแผ่ผ่านมาถึงฉันเต็ม ๆ รวมไปถึงความแข็งแกร่งของมัดกล้ามเนื้อที่ได้สัมผัส มันทั้งแข็งและตึงแน่นไปทุกสัดส่วน ฉันอดชื่นชมไม่ได้ว่า เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีและรูปร่างดีจริง ๆ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ฉันนอนนิ่งตัวเกร็งแบบนั้น แรกเริ่มตั้งใจว่ารอเขาหลับแล้วค่อยแอบย่องหนี ฉันกลับหลับไปตอนไหนไม่รู้
สะดุ้งตื่นอีกครั้งพบว่าภายในห้องมืดสนิท อย่างแรกที่ทำคือสำรวจตัวเอง หลังเปิดไฟข้างเตียงและพบว่ายังอยู่ในชุดนักศึกษาเหมือนเดิมและร่างกายส่วนบอบบางไม่ได้มีอาการถูกล่วงล้ำถึงค่อยเบาใจ
มองข้างกาย คนที่เคยกักขังฉันไว้ในอ้อมกอดไม่ได้อยู่บนเตียงอีกแล้ว
ฉันกระเด้งตัวขึ้นจากเตียง ค่อย ๆ เปิดประตูเพื่อจะดูว่าเขาอยู่ข้างนอกหรือเปล่า ถ้าไม่อยู่ ฉันจะได้กลับบ้านแบบทางสะดวก ทว่า...
“อ้าว น้องที่รัก ตื่นแล้วเหรอครับ”
ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งร้องทักขึ้น เขานั่งหันหน้ามาทางประตูห้องนอนพอดี นั่นทำให้ผู้ชายอีกสามคนที่กำลังเล่นไพ่หันมามอง รอบตัวพวกเขาขวดเบียร์วางเกลื่อน ฉันรู้สึกลำคอแห้งผากกลืนน้ำลายไม่ลง นึกไปถึงเรื่องเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อสบตากับเกียร์จึงสะดุ้ง
“ดื่มด้วยกันไหมครับน้องที่รัก หิวหรือเปล่า” ผู้ชายอีกคนมีแววตาขี้เล่นร้องถาม
ฉันผงะถอยอย่างไม่รู้ตัวเมื่อพี่เกียร์ลุกเดินมาหา
“จะเอาอะไร”
“ฉันจะกลับบ้าน”
“ได้ ตามมา”
ไม่คิดว่าจะได้คำตอบแบบนั้นเลยทำให้ฉันยืนนิ่งขึงจ้องมองหน้าคมเหมือนคนไร้สติ
“ไม่กลับ” กระทั่งเขาถามขึ้นอีกรอบ
“กลับค่ะ กลับ” ฉันแทบกระโจนออกมาจากห้องนอน ทำท่าจะปรี่ไปที่ประตูแต่ถูกคว้าคอเอาไว้
“เพื่อนพี่เองไม่ต้องเกร็ง เอากระเป๋าเธอก่อน”