เมื่อรถเคลื่อนออก เธอใส่ใจกับการเฝ้ามองนอกรถ คงกลัวผมพาเถลไถลไปที่อื่นที่ไม่ใช่ทางกลับบ้านเธอ
“ไม่ต้องกลัว ไม่พาไปไหนหรอก”
เธอหันขวับมามอง ทำปากขมุบขมิบที่ผมหูดีได้ยินว่า ‘แสนรู้’ แต่ผมแกล้งทำเฉยเหมือนไม่ได้ยิน
แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในโครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากมหา’ลัยพอควร ผมเลือกจอดรถหน้าเซเว่นที่มีร้านรถเข็นขายอาหารอยู่หลายร้านและด้านหนึ่งเป็นจุดวินมอเตอร์ไซค์ที่ตอนนี้มีวินกะดึกนั่งเล่นโทรศัพท์รอลูกค้าเรียกอยู่สองคน
“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”
ที่รักยกมือไหว้ผมแล้วรีบเปิดประตูรถลงไป ผมลงตามไปคว้าแขนเธอไว้ ดึงไปยังข้าวต้ม
“ถ้าอยากขอบคุณก็กินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อย”
“ฉันไม่หิว”
จ๊อก...
ผมอมยิ้มในหน้าขณะที่คนไม่หิวหน้าเจื่อนสีเล็กน้อย หลังท้องเธอส่งเสียงประจาน เห็นผมยิ้ม ปากอิ่มเต็มเม้มเข้าหากัน
“ก็ได้ค่ะ เราจะได้ไม่ต้องติดค้างอะไรกัน”
ท่าทางที่ลดความเกร็งและกลัวน้อยลงทำให้ผมพอใจในการปรับตัว ผมดูออกว่าเธอไม่ได้ไว้ใจผมมากขึ้นหรอก กำลังตั้งรับสถานการณ์มากกว่า ซึ่งท่าทีพวกนี้นี่แหละที่ทำให้ผมสนใจ กลัวแต่ไม่โวยวายและไม่ได้พุ่งเข้าใส่ผมเหมือนผู้หญิงหลาย ๆ คน
“อยากกินอะไร สั่งเลย”
โต๊ะที่มีเมนูวางไว้ให้ดูอยู่แล้ว ผมจึงหยิบมันยื่นให้คนน้อง
“พี่จะกินอะไร”
เธอเหลือบมองผมสลับกับเมนู ผมคิดว่าเธอคงอยากถามว่ามีอะไรที่ผมกินได้มั่งมากกว่า เพราะผมก็มีคำถามเดียวกันจะถามเธอ แต่ก่อนเธอเป็นคุณหนูไฮโซ อาหารข้างทางเคยได้สัมผัสหรือเปล่าเถอะ
“กินได้ทุกอย่าง” แต่ถ้าให้ตอบว่าอยากกินอะไรมากที่สุด ผมตอบได้เลยว่า ‘คนตรงหน้า’
ตามประสาผู้ชายที่ชอบผู้หญิงสวย ผมเองก็ไม่อยู่ในข้อละเว้น
“งั้นสั่งเป็นกับแล้วก็ข้าวต้มแล้วกัน”
เธอจดรายการลงบนกระดาษโน้ต กับข้าวสามอย่างและข้าวต้มกุ๊ย ผมช่วยเรียกแม่ค้าให้มารับไป เรารอไม่นานก็ได้อาหารตามที่สั่ง มันทำให้ผมได้คำตอบว่าที่รักเคยกินกับข้าวพวกนี้ แถมยังกินอย่างเอร็ดอร่อยเสียจนน่าเอ็นดู
End Talk.
ฉันคิดว่าเขาคงส่งแค่หน้าปากซอย หลังกินข้าวอิ่มก็แยกกันไป แต่ไม่ใช่ พี่เกียร์ยังใจดีขับรถมาส่งจนถึงหน้าทาวน์โฮมสองชั้นหลังกะทัดรัด
“อยู่กับใคร”
พี่เกียร์มองเข้าไปในบ้านที่มีเพียงแสงไฟส่องสว่างจากเพดานตรงหน้าประตู
“กับแม่ค่ะ”
“แค่สองคน”
“ก็เราเหลือกันสองคนแม่ลูกนี่” ไม่ได้จะประชด แค่พูดติดตลกขำ ๆ ไปอย่างนั้น
พี่เกียร์พยักหน้าไม่ได้ถามอะไรอีก ฉันจึงยกมือไหว้เขาอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ขอบคุณที่เขามาส่งแต่ขอบคุณที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายกับฉัน แม้ว่า...เขาจะขโมยจูบแรกของฉันไปก็เถอะ เสียแค่จูบยังดีกว่าเสียทั้งตัวนั่นแหละ
“ไว้เจอกัน”
เขาลดกระจกบอกก่อนถอยรถออกไป ฉันมองตามจนรถคันสวยลับสายตา พลางบอกตัวเองว่าคงไม่มีวันที่เราสองคนจะโคจรมาเจอกันง่าย ๆ หรอก
โลกของเราสองคนต่างกัน
คณะบริหารธุรกิจกับคณะวิศวะอยู่ห่างกัน
โดยเฉพาะที่นั่นมีพวกไอ้พี่เมธอยู่ด้วย ฉันจะไม่กรายเข้าไปใกล้เป็นเด็ดขาด
“ทำไมกลับดึก”
เข้ามาในบ้านมืด ๆ เสียงของแม่ทำฉันสะดุ้งโหยง หันไปเปิดไฟจึงพบว่าแม่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว บนโต๊ะมีขวดเหล้าราคาหลักร้อยถูกดื่มไปกว่าครึ่งขวดแล้ว คำถามของท่านทำให้ฉันรู้สึกผิดขึ้นมา นึกถึงเรื่องที่เกิดวันนี้แล้วใจหาย เพราะความมั่นใจในตัวเองเกินไปเกือบเกิดเรื่องให้เสียใจไปตลอดชีวิต
แม่ฉันอายุสี่สิบสามยังหน้าตาสะสวย เพราะแบบนี้เกดถึงได้กลัวว่าพ่อนางจะมาชอบแม่ฉัน ทาวน์โฮมหลังนี้เราไม่ได้อยู่ฟรี ฉันใช้เงินก้อนสุดท้ายซื้อต่อมาจากลุงสิทธิ์ที่ขายให้ในราคาถูกกว่าราคาตลาด
“ขอโทษค่ะแม่ พอดีหนูทำรายงานกับเพื่อนแล้วเผลอหลับ ไม่ได้โทรมาบอกว่าจะกลับดึก แล้วนี่แม่ทำไมกินเหล้าอีกแล้ว”
“กิน ๆ ไปงั้น เผื่อจะหลับง่ายขึ้น แกไม่ต้องมายุ่งเรื่องแม่หรอกน่ะ”
“หลับง่ายแล้วยังไงคะ ตื่นมาก็ยังเครียดเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ”
“แกไม่ต้องมาสอนแม่หรอกน่า เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะ แกรู้มั้ย พวกนั้นมันแขวะมันนินทาแม่ในวงสังคมไม่พอ ยังเอาแม่มาว่าในเฟซอีก แกคอยดูนะ สักวันแม่จะกลับมามีเงินมีทองมีทุกอย่างจนพวกที่มันจ้องดูถูกเราพูดไม่ออก”
“แม่อย่าคิดมากเรื่องพวกนั้นเลยค่ะ เท่าที่เรามีตอนนี้ก็ดีแล้วนะคะ”
แม่ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่ต้องย้ายจากคฤหาสน์หลังโตโอ่อ่ามาอยู่ทาวน์โฮมหลังเล็ก ฉันพอเข้าใจได้ แม่ฉันไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่โต พอพ่อล้ม ทุกอย่างจึงสูญสลายไปหมด พอเราล้ม พวกเพื่อนในวงสังคมของพ่อแม่ที่เคยพะเน้าพะนอเอาใจก็หันมาทำรังเกียจเดียดฉันท์ใส่
“มันยังดีไม่พอหรอกที่รัก ว่าแต่แกกินอะไรมาหรือยังล่ะ”
“หนูกินแล้วค่ะ แม่กินอะไรไหม หนูทำให้กิน”
“ไม่ต้องหรอก ขึ้นไปนอนได้แล้วไป”
“ค่ะแม่ แม่ก็รีบนอนนะคะ”
แม่โบกมือไล่ ฉันหมุนตัวจะขึ้นชั้นบน คิดบางอย่างจึงหันกลับมา
“แม่คะ”
“ว่า”