แอบเลี้ยงเด็ก nc

2083 คำ
สองปีก่อน บุญรักษาจะได้กลับบ้านเจ้านายในรอบหนึ่งเดือนหลังจากที่เพิ่งสอบวิชาสุดท้ายในเทอมสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาเสร็จ เธอค่อนข้างโล่งและมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด พอผลสอบออกก็อยากจะฉลองการจบการศึกษาในวัยยี่สิบสามปี แต่วันนี้คุณรุ้งรดาผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและผู้อุปการะเธอเรียกมาฉลองก่อนเลย เธอรอ ‘เขา’ อยู่ที่ห้อง ปริญบอกเธอว่าแม่ฝากให้เขามารับเธอกลับบ้าน...ทั้งๆ ที่ความจริงตอนนี้ก็อยู่ที่ห้องของเขา ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกชายผู้มีพระคุณเริ่มขึ้นก่อนที่เธอจะศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเสียอีก และปริญก็เป็นคนเสนอให้เธอเรียนมหาวิทยาลัยเองหลังจากที่ผู้เป็นแม่ส่งเสียจนจบมัธยมปลาย...และเขาบอกจะรับผิดชอบเอง เขาแนะนำให้เธอเลือกมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งมันไกลจากบ้านของเขา ให้เธอเช่าหอพัก...แต่ให้เธอไปหาที่คอนโดเกือบทุกคืน เป็นความสัมพันธ์ลับๆ ที่เธอรู้สึกผิด...และเจ็บปวด ปริญบอกเธอว่าให้รอกลับบ้านพร้อมเขา ซึ่งบุญรักษาก็ไม่เคยจะขัดแย้งเขาได้สักครั้ง ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสี่โมง ปริญเลิกงานห้าโมงเย็น กว่าเขาจะกลับมาคอนโดก็คงเกือบๆ หกโมงบุญรักษาเลยคิดว่าตัวเองควรจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ดี ถอดชุดนักศึกษาออกจากตัว หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันตัวไว้แต่ยังไม่ทันจะเข้าห้องน้ำ คนที่เธอคิดว่าคงจะกลับมาถึงห้องอีกชั่วโมงกว่าๆ ก็เปิดประตูเข้ามา ร่างสูงเหมือนชะงักไปเล็กน้อยในตอนแรก...แค่เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่เขาจะถามเธอ ด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญกึ่งก่อกวนอย่างที่เธอคุ้นเคย “จะอาบน้ำเหรอ” “ค่ะ เอ่อ คุณโปรดจะไปเลยไหมคะงั้นบุญษาแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ค่ะ” “จะอาบก็อาบเถอะ ไม่ต้องรีบขนาดนั้น” เขาพูดเหมือนไม่ใส่ใจหากสายตาจดจ้องเธอ มือดึงเนกไทน์ออกจากเสื้อ ต่อด้วยปลดประดุมเชิ้ตตัวในแล้วถอดมันออก แม้จะคุ้นเคยหากก็ไม่กล้ามองคนที่แก้ผ้าต่อหน้าเธอตรงๆ ปริญเป็นคนขาวมาก แล้วหุ่นเขาเซ็กซี่มากๆ ในความรู้สึกเธอ มันไม่ได้อกแน่นๆ กล้ามท้องเป็นมัดๆ สมบูรณ์แบบ แต่ก็เห็นเป็นซิกแพ็กเล็กๆ บางครั้งมีความรู้สึกเหมือนมีพุงหน่อยๆ หากก็ยังให้ความรู้สึกแข็งแรงปนน่ามันเขี้ยว...เขาน่ารักถ้าไม่ได้มีนิสัยร้ายๆ แบบนี้ ปริญเดินมาหาเธอแล้วจับข้อศอกรั้งให้เข้าห้องน้ำไปด้วยกัน บุญรักษาคิดว่าเธอเข้าใจจุดประสงค์ แต่มันจะเหมาะเหรอในเวลานี้ที่ทั้งคู่ต้องรีบกลับบ้าน หากก็ยังไม่กล้าแย้ง ให้เขาพามาถึงห้องอาบน้ำ เปิดน้ำให้สายน้ำไหลผ่านสองร่าง ถูสบู่ให้ และเธอก็ทำให้เขา จนล้างตัวเสร็จแล้วอีกฝ่ายกระหวัดรัดให้ตัวเธอเบียดชิดอกแกร่ง บุญรักษาถึงขืนไว้ “คุณโปรดคะ เราต้องรีบกลับบ้านหรือเปล่า” “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกน่า กลับตอนไหนก็ตอนนั้น” “แต่ว่า...” “ฉันก็กลับห้องเร็วกว่าปกติแล้ว...แล้วก็ทำไม่นานก็เสร็จ แต่ถ้าเธอเถียงอยู่แบบนี้มันจะนานจริงๆ นะบุญษา” พออีกฝ่ายโยนความผิดมาให้บุญรักษาเลยเลิกเสนออะไรอีก เงยหน้ารับจูบหนักๆ จากเขา ยกแขนโอบรอบลำคอ พอเขาย่อตัวอุ้มเธอขึ้นในท่านั้นก็กระหวัดขารัดเอวสอบ ปริญฉกจูบลงมาอีกครั้งในเสี้ยววินาทีนั้นขณะที่อุ้มเธอไปจนถึงอ่างล้างหน้า วางเธอลงบนนั้นขณะที่ยังจูบดูดดื่มไม่ให้พักหายใจ จนเขาถอนจูบก็รู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนระทวยไปหมด ปริญยิ้มมุมปาก เอ่ยหยอกล้อ “ทำเวลาหน่อยนะบุญษา” เขาดึงเธอให้ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ในตำแหน่งที่เขาสามารถสอดประสานความแข็งกร้าวเข้ามาในตัวเธอ เพราะความที่เขาไม่ได้เล้าโลมไปมากกว่าจูบและร่างกายที่แนบเนื้อสัมผัสกัน มันเลยทำให้เธออึดอัดในตอนแรก...หากไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ เพราะ บุญรักษาเรียนรู้ที่จะพร้อมเพื่อเขา เธอเอนกายไปข้างหลังเล็กๆ สูดลมหายใจลึกซึ้งผ่อนคลาย ขณะที่ปริญก็ลูบไล้นวดคลึงเนื้อตัวให้เธอผ่อนคลายอีกทาง...ก่อนจะค่อยๆ ขยับสอดประสาน แนบสนิท ลึกซึ้ง ทรงพลังและทำเวลาอย่างที่เขาเคยพูดไว้ หากทำให้เธออ่อนระทวยและสุขซ่านจนปริญต้องอุ้มออกมาจากห้องน้ำ เช็ดตัวให้ “ต้องให้ใส่เสื้อให้ด้วยไหม” เขาแซวอย่างอารมณ์ดี...บุญรักษาค้อนวงเล็กๆ ไปหนึ่งทีก่อนจะหลบตาแล้วส่ายหน้า รีบไปใส่เสื้อผ้า ก่อนที่ทั้งคู่จะลงจากห้องเพื่อกลับบ้านของเขา บรรยากาศผ่อนคลายที่เกิดขึ้นได้ชั่วขณะหนึ่งตอนที่เขากับเธอร่วมรักกันมันถูกแทนที่ด้วยความเฉยเมยเหมือนทุกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง และพอถึงบ้านเขาก็เดินผิวปากขึ้นห้องไปก่อน ห่างเหินและดูไม่แยแส ราวกับว่าความสนิทเสน่หาที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนไม่เคยเกิดขึ้นจริง ครั้งที่หนึ่งร้อยล้านหากเธอสามารถนับได้บุญรักษาต้องคอยบอกให้ตัวเองรู้ทันจิตใจ...เมื่อมันเจ็บก็ต้องสั่งให้หายเจ็บให้ไวที่สุด เธอไม่มีสิทธิ์ไปรู้สึกอะไรแบบนั้นกับปริญเลย หญิงสาวพยายามบอกให้ตัวเองเลิกฟุ้งซ่านก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัว ยิ้มสดใสทักทายผู้ใหญ่ในนั้น “สวัสดีจ้ะยายมี น้าใจ” “อ้าว มาแล้วเหรอบุญษา มาพร้อมคุณโปรดเหรอ” “ค่ะ คุณโปรดไปรับ” “เออ ดีๆ มานี่มาช่วยน้าเตรียมของ คุณรุ้งแกให้พวกเราทำหมูกระทะฉลองที่เอ็งสอบเสร็จ” รุ้งรดาคือคุณแม่ของปริญ เจ้านายที่ใจดีกับเธอมากจนบุญรักษายิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่เธอยอมให้มันเกิดขึ้นระหว่างเธอกับปริญ...แต่เธอห้ามเขาไม่ได้ พอถลำลึกก็ยิ่งห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ไปอีกคน “เอ็งมาก็ดีเลย ตอนนี้กำลังทำมื้อเย็นอยู่” เจ้านายคงไม่ได้จะมานั่งกินหมูกระทะกับพวกเธอ แต่คงอยากเลี้ยงและถือโอกาสเลี้ยงหมูกระทะลูกน้องด้วย บ้านหลังนี้เจ้านายก็ใจดีให้ลูกน้องได้สังสรรค์กันทุกเดือน “เดี๋ยวเราสักสองทุ่มค่อยกินกันเนอะ น้าชวนบ้านนั้นมาด้วย” นอกจากคุณแม่ของเขาแล้วในบ้านหลังนี้ยังมีเจ้านายอีกสองคนคือครอบครัวลุงและป้าของปริญ และที่อยู่ติดกันคือบ้านของปู่กับย่าของปริญซึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายคนโตที่บางครั้งเธอกับคนที่บ้านก็ต้องไปทำงานที่บ้านหลังนั้นอยู่บ้าง ช่วยทำกับข้าวแล้วก็ช่วยจัดโต๊ะอาหารมื้อเย็น ซึ่งมีแค่รุ้งรดา ขจรเดชและนฤมลภรรยาของเขาร่วมโต๊ะ “ลูกไม่ลงมากินข้าวเหรอรุ้ง” ขจรเดชถามน้องสาวถึงหลานชายที่เขารักเสมือนลูกแท้ๆ เพราะเขากับภรรยาไม่มีทายาท เลยช่วยเลี้ยงหลาน เลี้ยงกันมาตั้งแต่แบเบาะ รุ้งรดาท้องปริญตั้งแต่ยี่สิบเอ็ด ขณะเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย...โดยที่ครอบครัวไม่มีใครได้รู้ว่าใครเป็นพ่อของหลาน ถามอย่างไรน้องสาวก็ไม่ปริปากบอก พ่อกับแม่ก็โกรธจนแทบไม่อยากยุ่งเกี่ยว ตอนนั้นเขาต้องช่วยประคับประคองน้อง พอคลอดก็ให้เจ้าตัวกลับไปเรียนให้จบ เขากับนฤมลก็ช่วยเลี้ยงหลานไป “ไม่รู้สิพี่เดช แต่ให้คนไปเรียกแล้วนะ” “เออ นานๆ ทีจะกลับมาบ้าน ไม่มากินข้าวกับลุงกับป้า” ขจรเดชทำเป็นบ่นหลานชายไปตามเรื่อง เพราะมันก็เป็นเหตุการณ์ปกติของบ้านนั่นแหละ แม้ปริญจะรักและเคารพเขาแค่ไหน แต่โดยนิสัยส่วนตัวก็ไม่ใช่สไตล์จะกลับบ้านมากินข้าวกับลุงกับป้าเพื่อเอาใจคนแก่...ก็ชินแล้ว “แล้วเธอทำไมวันนี้กลับบ้านได้ล่ะ ยังไม่ใช่วันศุกร์ไม่ใช่เหรอ” แล้วขจรเดชก็หันมาคุยกับเธอแทน ปกติบุญรักษาจะกลับบ้านในวันศุกร์หรือไม่ก็วันเสาร์...แต่บางสัปดาห์ก็ไม่ได้กลับอาจจะเพราะมีงาน แต่เหตุผลจริงๆ ก็คือปริญไม่ให้เธอกลับบ้าน นี่ก็ไม่ได้กลับมาเกือบเดือนแล้ว เกรงใจเจ้านายมาก แต่รุ้งรดาจะเข้าใจว่าเธอยุ่งช่วงสอบ ซึ่งถ้าเป็นเทอมสองกินเวลาถึงสามสัปดาห์ “บุญษาเขาสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว เลยเรียกกลับมาฉลอง” “อ้าว เหรอ แสดงว่าเรียนจบแล้วใช่ไหม” นฤมลถามเธอ “ถ้าผลสอบออกมาผ่านทุกวิชาก็จบแล้วค่ะ” “โอ๊ย ฉันว่าบุญษาสอบผ่านอยู่แล้ว เรียนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร นี่ไม่ใช่จะได้เกียรตินิยมหรอกเหรอ” รุ้งรดาชมเธอจนบุญรักษารู้สึกตื้นตันในอก ในวันที่ชีวิตไม่เหลือใครแล้ว ยังมีคนที่แสดงความยินดีกับความสำเร็จเล็กๆ ของเธอ หญิงสาวยิ้มจางๆ อย่างถ่อมตัว ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่รุ้งรดาก็รู้ได้ว่ารอยยิ้มนี้แหละเป็นคำตอบ “เออ จบแล้วก็ดีจะได้มาช่วยทำงาน อยากทำงานที่บริษัทไหม” ขจรเดชถาม “ฉันว่าจะให้บุญษามาทำที่เรเน่นะ” รุ้งรดาตอบแทน “ไม่ให้ไปเอฟพีกรุ๊ปเหรอ” “ไม่หรอก บุญษาน่าจะเหมาะกับเรเน่มากกว่า” รุ้งรดาหมายถึงแบรนด์กระเป๋าและรองเท้าที่ตัวเองสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองจนแบรนด์ติดตลาดและมีมูลค่าทางธุรกิจมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนเอฟพีกรุ๊ปคือธุรกิจของครอบครัว ตระกูลเธอมีเชื้อสายจีน ทำธุรกิจเกี่ยวกับยามาเกือบสี่สิบปี และพ่อของเธอเป็นหัวเรือใหญ่ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนมือมาให้เธอบริหาร จากที่ก่อนหน้านี้ดำรงได้ให้ลูกชายคนโตบริหาร ซึ่งเป็นลูกคนเดียวที่เขาคิดว่าจะสามารถฝากฝีฝากไข้ได้ ส่วนลูกอีกสองคนก็ไม่ได้ดั่งใจ ขจรเดชมีรสนิยมทางเพศที่รักเพศเดียวกัน แม้จะแต่งงานกับนฤมลซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่ยอมรับในตัวเขา อยู่กับด้วยความรักความผูกพันแบบเพื่อนแต่ดำรงก็ยังไม่ยอมรับ ส่วนรุ้งรดาก็เป็นผู้หญิง แถมยังท้องไม่มีพ่อยิ่งเป็นเรื่องยากที่เขาจะไว้วางใจเธอ แต่สุดท้ายเมื่อลูกชายคนโตล้มไม่เป็นท่า เลยต้องกลับมาขอให้ลูกสาวไปบริหารบริษัท เพราะเห็นว่าเธอทำธุรกิจของตัวเองเติบโตมาจนถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมาขจรเดชก็ช่วยงานน้องสาวมาตลอด ในเรื่องบริหารเขาช่วยน้องสาวได้แทบจะทุกอย่าง รุ้งรดาก็มีเวลาในการดูแลผลิตภัณฑ์ในฐานะดีไซเนอร์ได้แบบสบายใจ แต่พอต้องมารับตำแหน่งประธานกรรมการของเอฟพีกรุ๊ปรุ้งรดาก็ทำได้ดี โดยมีขจรเดชคอยให้คำปรึกษามาตลอด ถ้าดำรงไม่งี่เง่า ขจรเดชนี่แหละเหมาะสมที่จะดูแลเอฟพีกรุ๊ป นอกจากเรื่องบริหารแล้วยังเป็นคนเดียวในลูกหลานยุคเธอที่มีความรู้เรื่องยา เจ้าตัวเรียนเภสัชศาสตร์ในระดับปริญญาตรีแล้วค่อยต่อโทบริหาร ขจรเดชกับรุ้งรดาเลยสนิทและรักใคร่กลมเกลียวกันมากกว่าพี่ชายคนโต เพราะเหมือนสู้มาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ และยิ่งมีปริญที่ลุงกับป้าเขารักไม่น้อยกว่าแม่แท้ๆ... ตอนเด็กๆ ปริญยังชอบบ่นว่าแม่ไม่สนใจเขา ตัวเองเหมือนเป็นลูกลุงกับป้ามากกว่า และยังชอบหาเรื่องบุญรักษาที่เด็กกว่าสามปีอ้างว่าแม่สนใจเด็กคนนี้มากกว่าเขาเสียอย่างนั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม