อู๋ฮองเฮาบัดนี้ประทับอยู่ในตำหนักเฟิ่งหวง หลังผ่านพ้นพระราชพิธีอภิเษกสมรสมายังไม่ทันข้ามวัน อู๋ฮองเฮาแต่เดิมเป็นธิดาเพียงองค์เดียวของฮ่องเต้แคว้นเหลียวที่ประสูติจากพระสนมขั้นเฟย เนื่องจากบรรดาพี่น้องของนางล้วนมีแต่โอรสกันหมด มีแต่นางเท่านั้นที่เป็นสตรี ดังนั้นจึงถูกส่งมาอภิเษกกับฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น
หลิงซีซึ่งเป็นนางกำนัลคนสนิทกำลังบรรจงสางพระเกศาให้กับฮองเฮาพระองค์ใหม่ พระพักตร์งดงามที่ฉายสะท้อนเงาอยู่บนกระจกทองเหลืองกลับเห็นแต่เพียงร่องรอยความเศร้าหม่นที่ปรากฏ หลังจากผ่านพระราชพิธีอภิเษกสมรส พระสวามีของนางก็มีท่าทีเปลี่ยนไป หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกสมรส เขาไม่แม้แต่จะอยู่ส่งตัวเข้าหอกับนาง ทิ้งให้นางอยู่อย่างโดดเดี่ยวในคืนเข้าหอเพียงลำพัง
“หลิงซี เจ้าว่าข้าทำอะไรให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรือเปล่า” อู๋ตานเหม่ยหรืออู๋ฮองเฮาถามหลิงซีด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ นับตั้งแต่เดินทางมาจากต้าเหลียวจนถึงแคว้นเยี่ยน นางแทบไม่มีความสุขเลยสักนิด แต่ทุกสิ่งที่ทำก็เพื่อบ้านเมืองทั้งนั้น เนื่องจากแคว้นเหลียวในยามนี้กำลังประสบภาวะยากลำบาก พระบิดากับพระเชษฐาที่เป็นองค์รัชทายาทไม่มีทางเลือก เมื่อทราบว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนมีเพียงพระสนมเอก แต่ยังไม่มีฮองเฮา จึงยื่นพระราชสาสน์ติดต่อองค์ไทเฮา ซึ่งไทเฮาก็ตอบรับพระราชสาสน์กลับมาทาบทามสู่ขออู๋ตานเหม่ยเป็นฮองเฮาแห่งแผ่นดินแคว้นเยี่ยน จนกระทั่งพิธีอภิเษกสมรสผ่านพ้นไปไม่ทันข้ามวัน นางก็กลายเป็นเจ้าสาวที่ถูกทิ้งร้างอยู่ในตำหนักจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของพระสวามี
หลิงซีกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาทอาจยังทรงตกพระทัยอยู่บ้างเพคะ เพราะเดิมทีตำแหน่งนี้มีคนเล่าลือกันว่าจะทรงยกให้เกากุ้ยเฟย แต่...”
“แต่เราก็มาแย่งไปใช่มั้ย” น้ำเสียงของอู๋ตานเหม่ยเศร้าหมองลง พระพักตร์งดงามที่ประทินโฉมอย่างเฉิดฉันไม่มีแม้แต่รอยแย้มพระสรวล
“ฮองเฮาทรงให้เวลาฝ่าบาทสักหน่อยนะเพคะ แรกๆ พระองค์อาจทรงตกพระทัยไปบ้าง แต่หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องโปรดปรานฮองเฮามากแน่นอนเพคะ” หลิงซีกล่าวปลอบใจผู้เป็นนายที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมารดาแห่งแผ่นดิน
อู๋ตานเหม่ยนั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองสักพัก ในเมื่อพระสวามีทอดทิ้งนางในค่ำคืนเช่นนี้ นางเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอเขาเช่นกัน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเปิดผ้าคลุมใบหน้าเจ้าสาวออกด้วยตนเอง และอาบน้ำประทินโฉมเตรียมเข้านอน
“ทูลฮองเฮา กระหม่อมหลี่กงกงพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของขันทีประจำตำหนักเฟิ่งหวงดังขึ้นมาจากบริเวณด้านหน้าประตู ก่อนจะปรากฏร่างของขันทีอาวุโสอายุประมาณห้าสิบปีกว่าๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในตำหนัก ซึ่งหลี่กงกงเป็นขันทีประจำตำหนักคนใหม่ที่ถูกส่งเข้ามาถวายการรับใช้จากไทเฮา
“ท่านกงกง” อู๋ตานเหม่ยลุกขึ้น นางก้มศีรษะเล็กน้อยรับการคำนับจากขันทีอาวุโส “ค่ำมืดเช่นนี้ ท่านมีธุระอันใดหรือ?”
“กระหม่อมจะมาแจ้งว่าวันพรุ่งนี้ฮองเฮาจะต้องเสด็จไปยกน้ำชาที่ตำหนักคังเฉวียนของไทเฮาพร้อมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” หลี่กงกงก้มหน้ารายงานเพียงเท่านั้น กระทั่งอู๋ตานเหม่ยพยักหน้าเข้าใจขันทีอาวุโสจึงเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วยามก่อน
ทันทีที่พิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮาสิ้นสุดลง เหล่าบรรดาเสนาบดีและฮูหยินของพวกเขาต่างนำของมีค่ามากมายที่หายากมาถวายต่อมารดาแห่งแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซึ่งหลิงซีได้นำของขวัญจำนวนมากจากบรรดาขุนนางเหล่านั้นเข้ามาเก็บไว้ในตำหนักส่วนพระองค์ที่ถูกจัดขึ้นมาโดยเฉพาะ
คิ้วเรียวราวกับหางดาบของหวังลู่ฮ่องเต้เลิกขึ้นเล็กน้อย สายตาคมปลาบของฮ่องเต้หนุ่มทอดพระเนตรไปยังเการั่วซีหรือเกากุ้ยเฟย ซึ่งเป็นพระสนมเอกของเขาอย่างสงสารจับใจ แต่เดิมทีตำแหน่งมารดาแห่งแผ่นดินนี้ควรเป็นของนาง ซึ่งเขาวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะให้นางมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้แทนด้วยการกล่าวอ้างถึงความดีความชอบของนางและเกาเจียฉี่ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นทางแคว้นเหลียว แคว้นเล็กๆ ที่ส่งสาสน์มาเจริญสัมพันธไมตรีและยกบุตรสาวให้อภิเษกสมรส กระทั่งพระมารดาของเขาซึ่งดำรงตำแหน่งไทเฮาแห่งวังหลังตอบรับสาสน์นั้น และดำเนินการสู่ขออู๋ตานเหม่ยมาเป็นฮองเฮาแทนในตำแหน่งที่ควรเป็นของเการั่วซีตั้งแต่ต้น
หวังลู่ฮ่องเต้เบนสายพระเนตรมามองฮองเฮาองค์ใหม่ที่ตนไม่ค่อยพอใจกับการอภิเษกครั้งนี้นัก ทรงคว่ำปากเล็กน้อยราวกับรังเกียจเดียดฉันท์นาง ซึ่งอู๋ตานเหม่ยที่แม้จะมีผ้าคลุมใบหน้าสีแดงอ่อนปกคลุมอยู่ แต่กลับไม่สามารถซ่อนอากัปกิริยาของพระสวามีจากสายตาของนางได้
“ฝ่าบาท หลังจากนี้จะเป็นฤกษ์ส่งตัวเข้าหอ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงแยกแยะได้นะเพคะ” น้ำเสียงของไทเฮาผู้เป็นพระมารดาราวกับออกคำสั่ง หวังลู่ฮ่องเต้ทรงยืนขึ้นด้วยท่าทีไม่ค่อยพอพระทัยเท่าใดนัก ท่ามกลางสายตาจำนวนมากของเหล่าเสนาบดีที่ทอดมองมา พระองค์จับมืออู๋ตานเหม่ยแล้วกระตุกให้นางยืนขึ้นมาอย่างรุนแรงจนนางเกือบเซล้มลง แต่ว่ากลับไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกสงสารนางแต่อย่างใด
ไทเฮาทรงเห็นการกระทำเช่นนั้นของบุตรชายจึงวางท่าทีนิ่งเฉย เนื่องจากหวังลู่มีนิสัยพื้นฐานเดิม หากไม่พอใจสิ่งใดเขาย่อมแสดงออกมาทางสายตาและการกระทำ แม้แต่การอภิเษกสมรสครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้พระนางจะไม่เต็มใจที่จะรับอู๋ตานเหม่ย ธิดาจากสนมขั้นเฟยของฮ่องเต้แห่งต้าเหลียวมาเป็นฮองเฮา แต่อย่างน้อยนางย่อมดีกว่าเการั่วซีที่มีบิดากระหายอำนาจอย่างเกาเจียฉี่แน่นอน ดังนั้นเพื่อสกัดกั้นไม่ให้บุตรชายได้แต่งตั้งเการั่วซีเป็นฮองเฮา พระนางจึงทรงตอบรับการอภิเษกสมรสครั้งนี้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเจ็บเพคะ” อู๋ตานเหม่ยแม้ไม่เคยได้รับความรักจากบิดา แต่บรรดาพี่ชายก็เอ็นดูนางไม่น้อย ไม่เคยมีบุรุษคนใดกระทำการเช่นนี้กับนางมาก่อน แต่หวังลู่เป็นคนแรกที่ทำเช่นนี้กับนางต่อหน้าทุกคนในวันอภิเษก
สมรส
“เจ้ายังกล้าตอบรับการแต่งงานกับข้า และนี่คือผลตอบแทนที่เจ้าจะได้รับ” หวังลู่กัดฟันกล่าวกับนางอย่างเข่นเขี้ยว อู๋ตานเหม่ยมองพระสวามีของตนเองด้วยใบหน้าตกใจ นางพยายามยื่นฝ่ามืออันสั่นเทาไปหาฝ่ามือของพระสวามีด้วยอาการครั่นคร้าม
เการั่วซีซึ่งดำรงตำแหน่งพระสนมเอกขั้นกุ้ยเฟยมองพระสวามีของตนกับสตรีอื่นที่บังอาจมาแย่งตำแหน่งฮองเฮาไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด นางฝืนมองภาพเบื้องหน้า สตรีที่ควรสวมภัสตราภรณ์หงสาก็คือนาง ที่มีบิดาเป็นอัครมหาเสนาบดีผู้ลืออำนาจ แต่บัดนี้ตำแหน่งที่นางหมายปองกลับตกเป็นของสตรีต่างเมือง น่าเจ็บใจยิ่งนัก
พระราชพิธีผ่านล่วงเลยมาจนกระทั่งถึงเวลาส่งตัวเข้าหอ หวังลู่ฮ่องเต้ยอมไว้พระพักตร์พระมารดา จึงยอมพาอู๋ตานเหม่ยมาส่งเข้าเรือนหอที่ตำหนักคุนหนิง เขามิได้ให้เกียรตินางเหมือนเการั่วซีเมื่อคราที่อภิเษกสมรสกัน ครานั้นด้วยความรักที่มีต่อเกากุ้ยเฟยอย่างล้นพ้น เขาจึงอุ้มอีกฝ่ายเข้าหอ ทะนุถนอมนางราวกับรักหยกถนอมบุปผา[1] ต่างจากอู๋ตานเหม่ยที่จะได้รับเพียงความไม่โปรดปรานจากเขาเท่านั้น ในเมื่อนางกล้ามาแย่งตำแหน่งที่ควรเป็นของเการั่วซี เขาก็จะทำให้นางมีชีวิตเหมือนอยู่กับความเดียวดายในวังหลวงแห่งนี้
ในค่ำคืนที่สองหนุ่มสาวควรดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันอย่างมีความสุข ทว่าหวังลู่ฮ่องเต้กลับลบหลู่อู๋ตานเหม่ย ฮองเฮาพระองค์ใหม่ด้วยการส่งขันทีมาแจ้งว่า คืนนี้เขาจักไปเข้าหอกับสนมเอกเการั่วซีเท่านั้น เมื่อความทราบถึงไทเฮา พระนางทำเพียงส่งคนมามอบของปลอบใจในค่ำคืนนั้น มิได้ให้
ความสำคัญกับอู๋ตานเหม่ยเท่าที่ควร
อู๋ฮองเฮาอดทนกล้ำกลืนฝืนทนกับความอัปยศในคืนเข้าหอ สตรีโฉมสะคราญที่แม้บิดาไม่เคยโปรดปราน แต่กลับเป็นที่รักของบรรดาพระเชษฐาและพระอนุชาหลายคนในแคว้นเหลียว แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่นอกจากมารดาของสามียังปล่อยให้บุตรชายตนลบหลู่เกียรตินางขนาดนี้ ในเมื่อนางตบแต่งมาเป็นมารดาแห่งแผ่นดินของแคว้นเยี่ยน สิ่งที่นางควรทำคืออดทน
ในเช้าวันต่อมา หวังลู่ฮ่องเต้ตื่นเช้ากว่าปกติ ข้างกายพระองค์นั้นยังคงเป็นเการั่วซีที่นอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างพระวรกาย เรือนกายขาวผ่องที่เมื่อคืนผ่านสมรภูมิรักอันร้อนแรงกับฮ่องเต้ผู้เป็นพระสวามี ค่อยๆ หยัดกายขึ้นก่ายกอดเขาอย่างเอาอกเอาใจ เการั่วซีรู้ดีว่าวันนี้พระสวามีของตนจะต้องพาอู๋ฮองเฮาไปยกน้ำชาต่อเบื้องพระพักตร์ไทเฮาและไท่เฟย นางจึงถือโอกาสนี้ออดอ้อนเขาให้นางสมปรารถนาในสิ่งที่นางต้องการ
“ฝ่าบาท จะเสด็จตำหนักเฟิ่งหวงแล้วหรือเพคะ” เการั่วซีถามขณะที่สองแขนเรียวเล็กกำลังโอบเอวหนาของพระสวามีอย่างพะเน้าพะนอเอาใจ
หวังลู่ฮ่องเต้เอ่ยกับนางอย่างอ่อนโยนว่า “อืม นางเป็นฮองเฮา เพิ่งผ่านพ้นคืนอภิเษกแต่มิได้ร่วมหอกันตามธรรมเนียม เสด็จแม่ก็ทรงไม่พอพระทัยมากอยู่แล้ว เราคิดว่าควรพานางไปยกน้ำชาสักหน่อย หากเสด็จแม่รู้ว่าข้าทอดทิ้งนางมาอยู่กับเจ้าทั้งคืน เจ้าอาจจะเดือดร้อน”
เการั่วซีรู้สึกขัดใจยิ่งนัก “เพคะ ฮองเฮาอาจทรงไม่พอพระทัยหม่อมฉันด้วยก็เป็นได้ นางเป็นถึงธิดาสูงศักดิ์ของแคว้นเหลียว หากรู้ว่าพระองค์มาค้างที่ตำหนักของหม่อมฉัน นางต้องไม่พอใจหม่อมฉันมากแน่ๆ”
นางใช้น้ำเสียงเศร้าๆ เอ่ยกับหวังลู่ฮ่องเต้ และได้ผลยิ่งนักเมื่อเขาใช้
ฝ่ามือเชยคางของนางขึ้นมาอย่างทะนุถนอม พลางมองเการั่วซีด้วยสายตาอ่อนโยน “เจ้าอย่าเสียใจไปเลยนะซีซี ต่อให้เจ้าไม่ได้เป็นฮองเฮา แต่ข้าให้สัญญาว่าข้าจะมีลูกกับเจ้าเพียงคนเดียว ไม่ให้สถานะในวังของเจ้าสั่นคลอนเด็ดขาด คนที่จะเป็นมารดาของรัชทายาทในอนาคตคือเจ้าเท่านั้น”
เการั่วซีเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ “แต่ฮองเฮาจะทรงยินยอมหรือเพคะ ไทเฮาก็ด้วย หม่อมฉันเป็นเพียงกุ้ยเฟย มีหรือจะกล้าให้กำเนิดรัชทายาทของต้าเยี่ยน”
“เจ้าก็แค่กินโอสถบำรุงครรภ์ มีทายาทให้ราชวงศ์โดยเร็ว ถึงตอนนั้นข้าก็มีโอกาสแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาแทนที่นาง” คำตอบนี้ของหวังลู่ฮ่องเต้ทำให้เการั่วซีเผยรอยยิ้มกว้างอีกครา แน่นอนว่าเป้าหมายของนางหากมิได้ตำแหน่งฮองเฮา อย่างน้อยตำแหน่งพระมารดาของฮ่องเต้องค์ถัดไปก็ควรเป็นนางที่เป็นผู้ให้กำเนิดเท่านั้น
เช้าวันนี้วังหลวงครึกครื้นเป็นพิเศษยิ่ง โดยเฉพาะราชสำนักฝ่ายในบริเวณตำหนักของไท่เฟย เนื่องจากหวังชินอ๋องได้รับชัยชนะเหนือแคว้นเสวี่ย และจะเดินทางกลับมาถึงในวันนี้ ไท่เฟยจึงมีประสงค์จัดงานชุมนุมเล็กเพื่อต้อนรับฉลองชัยชนะกลับมา และถือโอกาสเชิญเหล่าคุณหนูจากตระกูลสูงหลายคนมาร่วมงาน เพื่อหาว่าที่พระชายาเอกของชินอ๋องที่ครองตนถือพรหมจรรย์มาเนิ่นนาน
ความครึกครื้นในเขตตำหนักของไท่เฟยสร้างความไม่พอใจให้กับไทเฮาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพระนางเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในวังหลวงเหนือฝ่าบาท ยามที่เห็นบุตรชายของสตรีที่คอยแก่งแย่งชิงความโปรดปรานเมื่อครั้งสมัยอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่กำชัยชนะเหนือดินแดนอื่น ความหวาดระแวงและความเกลียดชังย่อมบังเกิดขึ้นในใจ
“หลินไท่เฟย จัดงานในเขตตำหนักเช่นนี้ มีเรื่องอะไรน่ายินดีกระนั้นหรือ?” ไทเฮาเดินเข้ามาถามด้วยท่าทีวางอำนาจเหนือกว่า ทว่าหลินไท่เฟย กลับไม่ใคร่ให้ความสนใจกับสตรีตรงหน้ามากนัก ด้วยเพราะพระนางอยู่ในวังหลวงมาเนิ่นนาน เห็นการแก่งแย่งชิงดีมาก็ไม่น้อย แม้ในอดีตจะมีตำแหน่งเป็นสนมขั้นกุ้ยเฟย ไม่ปรารถนาชิงความโปรดปรานกับผู้ใด ทว่าไทเฮาผู้นี้ก็ยังคงหวาดระแวงนางกับบุตรชายไม่เลิกรา
หลินไท่เฟยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างภาคภูมิใจว่า “บุตรชายของหม่อมฉันกำชัยชนะกลับมา เป็นเรื่องธรรมดาที่มารดาจะจัดงานเล็กๆ ต้อนรับเพคะ”
ถ้อยคำนั้นทำให้ไทเฮารู้สึกว่ากำลังถูกอีกฝ่ายเสียดสีก็ไม่ปาน เนื่องจากหวังลู่พระราชโอรสเพียงหนึ่งเดียว แม้จะเป็นทายาทที่มีสิทธิ์สืบทอดในราชบัลลังก์โดยชอบธรรม แต่ว่าหวังซานเย่ก็เป็นเสมือนหอกข้างแคร่อยู่วันยังค่ำ พระนางไม่อาจปล่อยผ่านให้หวังชินอ๋องมีชีวิตกลับมา ดังนั้นเมื่อแคว้นเสวี่ยร่วมมือกับแคว้นเยวี่ยหลุนก่อกบฏ พระนางจึงยุยงให้ฝ่าบาทส่งหวังซานเย่ไปปราบเพื่อหวังยืมมือพวกแคว้นเสวี่ยสังหาร ทว่านอกจากทำไม่สำเร็จแล้ว ชัยชนะครั้งนี้ยังตกเป็นของเขา เกียรติยศทั้งหลายและความนับหน้าถือตายังตกเป็นของเขาอีกด้วย!
ไทเฮาทรงฝืนยิ้มแสดงความยินดี “นั่นสินะ แต่ว่างานเลี้ยงที่ไม่มีประมุขของราชสำนักฝ่ายในเช่นนี้ คงไม่ทำให้ใครหลายคนคิดว่าเจ้าคิดแข็งข้อกระมัง”
หลินไท่เฟยทราบดีว่าสิ่งที่ไทเฮาต้องการจะสื่อหมายถึงสิ่งใด นางยิ้มพรายตอบกลับไปว่า “เพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันทราบดี ประเดี๋ยวอีกสักครู่หากฮองเฮาทรงยกน้ำชากับไทเฮาเสร็จแล้ว หม่อมฉันจะเชิญฮองเฮามาร่วมงานด้วยตนเองเพคะ”
คำตอบนี้เหมือนหักพระพักตร์ของหูไทเฮาก็ไม่ปาน พระนางทรงกำหมัดแน่นกับถ้อยคำที่หลินไท่เฟยกล่าวออกมา
“ถ้าเช่นนั้น หากชินอ๋องกลับมาก็ฝากแสดงความยินดีแทนด้วยแล้วกันล่ะ”
หลินไท่เฟยยิ้มรับ “เพคะ ไว้หม่อมฉันจะให้เขาไปคำนับที่ตำหนักนะเพคะ”
หูไทเฮาสะบัดชายอาภรณ์กลับตำหนัก ท่าทีหยิ่งยโสของหลินไท่เฟยทำให้พระนางรู้สึกขัดเคืองพระทัยอย่างยิ่ง ทั้งที่ทรงกุมอำนาจสูงสุดในวังหลวงเอาไว้ แต่กลับถูกเมินเฉยเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพระนางก็จะทำให้หวังชินอ๋องและหลินไท่เฟยมิได้สมปรารถนา!
เนื่องจากหลินไท่เฟยทรงมีรับสั่งเชื้อเชิญเหล่าบรรดาสตรีชั้นสูงจากสกุลขุนนางจำนวนมาก รวมถึงสกุลเฉินของเฉินซู่กวงซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพระคลัง ซึ่งมีชื่อเสียงที่ดีงามในเมืองหลวงถึงเรื่องความตงฉินและใจซื่อมือสะอาด ดังนั้นไท่เฟยที่รับรู้กิตติศัพท์ความซื่อสัตย์ต่อบ้านเมืองนี้ จึงทรงมีรับสั่งให้เชื้อเชิญบุตรีของเฉินซู่กวงไปร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ในตำหนักของฝ่ายในด้วย
ดังนั้นเมื่อเฉินฮูหยินทราบเรื่องนี้นางจึงตอบรับสาสน์ด้วยนั้นด้วย
ความดีใจ และตระเตรียมอาภรณ์แพรพรรณเครื่องประดับงดงามให้กับเฉินรั่วหลานจำนวนมาก เพื่อให้บุตรสาวของตนเป็นที่สะดุดตาของหวังชินอ๋องหรือหวังซานเย่ และวางแผนกีดกันเฉินหว่านอิ๋งออกไป!
“ท่านพี่ ท่านก็ทราบดีนี่เจ้าคะว่างานนี้ไท่เฟยทรงเชิญแต่บุตรสาวของเรา หลานเอ๋อร์มีเชื้อสายแท้ๆ ของสกุลเฉิน ให้นางไปร่วมงานของไท่เฟยย่อมดีกว่าเพคะ” เฉินฮูหยินกล่าวเกลี้ยกล่อมสามีพลางจัดอาภรณ์อีกฝ่ายให้แน่นกระชับ
“แต่เฉินหว่านอิ๋งก็เป็นลูกของข้าเหมือนกัน ในฐานะบิดาข้าไม่อาจใจร้ายใจดำกับนางได้ หากไท่เฟยทรงทราบเข้าอาจพิโรธ” มิใช่ว่าเฉินซู่กวงมิรักบุตรสาวทั้งสอง หากแต่ว่าจะให้ส่งคนใดคนหนึ่งไปแทน และทอดทิ้งอีกคนหนึ่งเอาไว้ดูจะไม่ค่อยยุติธรรมนัก โดยเฉพาะเฉินหว่านอิ๋งที่น่าสงสารกว่าใคร
เฉินฮูหยินชักสีหน้าใส่สามีอย่างไม่พอใจ
“นางมิใช่สายเลือดแท้ๆ ของข้า แม่ของนางเป็นใครก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดถึงใช่หรือไม่ แม่ของนางก็แค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ตลอดหลายสิบปีมานี้ข้าก็ต้องอดทนเฝ้าเห็นนางมาตลอด หลานเอ๋อร์ก็ต้องทนเห็นภาพท่านเอาใจใส่นางมากกว่า ท่านทำเพื่อนางมามากพอแล้ว คราวนี้รั่วหลานต้องเป็นคนไปร่วมงานของไท่เฟยเพคะ มิใช่บุตรสาวของสตรีที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้น”
ถ้อยคำกล่าวดูถูกดูแคลนของเฉินฮูหยินสร้างความไม่พอใจให้กับเฉินซู่กวงอย่างยิ่ง เขาเอ่ยเสียงแข็งกับภรรยาเอกของตนว่า “หากเจ้าดูถูกแม่ของอิ๋งเอ๋อร์อีกแม้แต่คำเดียว...อย่าหาว่าข้าใจร้ายใจดำกับเจ้า!”
เฉินซู่กวงกำลังจะเดินหนีไปให้พ้นจากบริเวณนี้ ทว่าเฉินฮูหยินก็ยังตะโกนด่าทอตามหลังอย่างไม่เลิกรา “ท่านต่างหากเล่าที่ใจร้ายใจดำกับข้าและลูก อย่าหวังเลยว่าข้าจะให้นังคนชั้นต่ำนั่นมันมีความสุขน่ะ มันก็ชั้นต่ำเหมือนมารดาของมันที่มาแย่งสามีของคนอื่นนั่นละ!”
เฉินซู่กวงเดินพ้นออกมาจากบริเวณเรือนใหญ่จึงค่อยรู้สึกเบาหูยิ่งนัก ทว่าเมื่อเดินออกมาได้ไม่ไกลเท่าไร เจ้ากรมพระคลังกลับสังเกตเห็นบุตรสาวคนเล็กอย่างเฉินหว่านอิ๋งกำลังยืนฟังการสนทนาด้วยใบหน้าเศร้า เนื่องจากในวันนี้ไท่เฟยทรงมีรับสั่งเชิญชวนสตรีจากสกุลขุนนางชั้นสูงทุกคนร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ภายในตำหนักของฝ่ายใน รวมทั้งเฉินหว่านอิ๋งก็ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานนี้ด้วย แต่เจ้ากรมพระคลังเฒ่าคิดว่าบุตรสาวคนเล็กคงได้ยินการสนทนาทั้งหมดแล้วแน่ๆ
“อิ๋งเอ๋อร์” เฉินซู่กวงขานเรียกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเศร้า เขาเสียใจยิ่งนักที่ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนจนถึงบัดนี้ก็ไม่อาจปกป้องนางให้พ้นจากคำดูถูกริษยาของเฉินฮูหยินผู้เป็นภรรยาได้ ซ้ำยังต้องคอยโดนกลั่นแกล้งอยู่เรื่อยมา หากมิใช่เพราะเรื่องเมื่อสิบปีก่อนที่เกิดขึ้น ป่านนี้นางคงไม่ต้องมาทุกข์ทรมานเช่นนี้เป็นแน่
เฉินหว่านอิ๋งฝืนยิ้ม “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะท่านพ่อ พี่หญิงเฉินรั่วหลานเป็นทายาทของท่านกับฮูหยิน ก็ย่อมเหมาะสมกับงานเลี้ยงของไท่เฟยมากกว่าข้า”
“พ่อขอโทษนะอิ๋งเอ๋อร์” เฉินซู่กวงลูบศีรษะบุตรสาวคนเล็กด้วยความสงสาร
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อ...” เฉินหว่านอิ๋งฝืนฉีกยิ้มกว้างออกมา นางกล่าวต่ออีกว่า “ถ้าเช่นนั้นวันนี้ลูกขออนุญาตท่านพ่อไปเที่ยวในตลาดได้หรือไม่เจ้าคะ อยู่แต่ในจวน...”
“เจ้าคงอึดอัดแย่เลยสินะอยู่แต่ในจวน...” เฉินซู่กวงยีหัวบุตรสาวคน
เล็กด้วยความเอ็นดู เขายิ้มอย่างอบอุ่นให้กับเฉินหว่านอิ๋ง “เอาเถิด วันนี้พ่ออยู่ที่จวน ฮูหยินไม่กล้าทำอะไรเจ้าแน่ เจ้าไปเถิด แต่อย่ากลับเย็นนักล่ะ”
เฉินหว่านอิ๋งยิ้มพลางย่อกายคำนับบิดาด้วยอาการดีใจ สตรีโฉมสะคราญหยิบตะกร้าสานใบใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับถุงเงินจำนวนหนึ่งที่เฉินซู่กวงมอบให้นางไว้ซื้อสิ่งของที่ต้องการ สองขาเรียวก้าววิ่งออกจากจวนอย่างว่องไวราวกับโหยหาช่วงเวลาแห่งอิสระมาเนิ่นนาน
เมื่อร่างของบุตรสาวพ้นจากสายตาไปแล้ว เฉินซู่กวงพึมพำขึ้นมาเบาๆ “อิ๋งเอ๋อร์ พ่อจะไม่ยอมให้เจ้าต้องลำบากอีกต่อไป”
[1] รักหยกถนอมบุปผา เปรียบเปรยดั่งชายหนุ่มที่รักถนอมหญิงสาวที่เป็นดั่งดวงใจของตน