[เดือนหนาว]
“ให้ช่วยหาไหม” เสียงไวน์ที่เดินตามหลังฉันมาพูดขึ้น ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างฉันที่ยืนอ่านชื่อหมวดหนังสืออยู่
“นายไม่ทำงานเหรอ ทำไมเดินมาตรงนี้ล่ะ” ฉันหันไปถามคนที่ตามมาก่อนจะก้มลงมองหาหนังสือตามชั้นด้านล่างไปด้วย ถึงจะมีอินเทอร์เน็ต แต่บางอย่างในหนังสือละเอียดกว่า
“เราทำเสร็จนานแล้วล่ะ แต่นั่งเล่นกันอยู่เลยยังไม่ได้ออกไป ตอนนี้ก็ติดฝนด้วยเลยว่าง”
“ดีจัง เรายังไม่เริ่มทำอะไรเลย”
“แล้วหาหนังสืออะไรอยู่ล่ะ เราช่วยหาไหม” คำถามของเขาทำให้ฉันลุกขึ้นยืนเพื่อจะคุยกับเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไวน์ไปยืนอยู่ด้านหลัง ทำให้ฉันที่ยืนขึ้นต้องอยู่กลางวงแขนที่กำลังดึงหนังสือออกจากชั้นบนด้วยมือทั้งสองข้างพอดี
“…” และเป็นอีกครั้งที่ฉันได้เห็นหน้าของเขาชัด ๆ ในระยะประชิดแบบนี้ ก่อนหน้านั้นเขาอุ้มฉันไปห้องพยาบาล ฉันก็แอบมองมาแล้วครั้งหนึ่ง “เอ่อ…โทษที เราไม่เห็นว่านายหยิบหนังสืออยู่”
“โทษที” ไวน์พูดยิ้ม ๆ เมื่อสบตากับฉันก่อนจะรีบผละออกไปยืนห่างกัน
น่าแปลกที่คุยกับเขาทีไรฉันต้องยิ้มตามเขาทุกทีเลย หรืออยู่ใกล้คนยิ้มเก่งเราก็จะยิ้มเก่งด้วยเหรอ
“เราได้หนังสือแล้วล่ะ ขอบใจนะที่มาช่วยหา” ฉันหันไปบอกไวน์พลางกอดหนังสือที่เพิ่งหยิบออกมาจากชั้นไว้แนบอก
“อื้ม”
“เอ่อ…ไวน์ แล้วเรื่องเกียร์ที่จะช่วยเราตามหาเจ้าของน่ะ นายได้ข่าวอะไรบ้างไหม คณะนายมีใครตามหาเกียร์หรือเปล่า” ฉันคิดเรื่องนี้ได้พอดีก็เลยถามขึ้นพร้อมๆ กับเดินดูหนังสือเล่มอื่นไปด้วย
“…ไม่มีนะ แต่เราบอกต่อ ๆ กันไว้แล้วล่ะ ข่าวน่าจะกระจายออกไปแล้ว รอพวกที่ไปค่ายกับไปฝึกงานกลับมาก็น่าจะรู้เรื่อง”
“นายว่าเราจะเจอเจ้าของเกียร์ไหม” ฉันหันไปถามคนข้าง ๆ ที่เดินดูหนังสือไปพร้อมกัน
“ก็...คงเจอแหละ ของแบบนี้ต้องใช้เวลา”
“นานแค่ไหนนะกว่าจะเจอ” ฉันพึมพำกับตัวเองพลางลูบจี้เฟืองที่คอไปด้วย
“อาจจะเจอแล้วแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นคนคนนั้นก็ได้นะ”ไวน์อมยิ้มให้ ทำเอาฉันอดยิ้มตามไม่ได้ ก็จริงนะบางทีคนที่เดินผ่านฉันไปมาอาจเป็นเจ้าของเกียร์ก็ได้แต่ฉันแค่ไม่รู้
“นายว่าเจ้าของเกียร์จะรู้สึกยังไงที่ทำเกียร์หาย” ฉันหันไปถามไวน์อีกครั้งก่อนจะมองจี้ที่คอตัวเองไปด้วย
“ตอนทำหายก็คงเสียใจแหละ ของหายใครก็อยากได้คืน แต่ถ้าตอนนี้เขารู้ว่ามีคนเก็บมันได้แล้วดูแลมันอย่างดี เขาก็คงดีใจแหละ หรือบางทีเขาอาจอยากมอบมันให้คนที่เก็บมันได้ก็ได้นะ” สายตาที่ไวน์หันมามองฉันพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ส่งมาทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าอีกครั้ง
“บ้าเหรอไวน์ ไหนบอกว่าของหายใครก็อยากได้คืนไง แล้วเขาจะยกมันให้คนที่เก็บได้ทำไมล่ะ” ฉันว่าติดตลก
“ก็…ถ้าเก็บได้แล้วเห็นความสำคัญ มันก็สมควรจะอยู่กับคน ๆ นั้นไม่ใช่หรือไง” เขาหันมาตอบขณะหยุดเดินแล้วมองหน้าฉันนิ่ง ๆ ทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ อยู่เรื่อยเลยผู้ชายคนนี้
“บางทีมันอาจไม่ได้หาย แต่เจ้าของคนเก่าอาจทิ้งมันไป พอหนาวเก็บมันได้ เกียร์นี่อาจอยากอยู่กับหนาวก็ได้นะ”
“…อ่า เราว่าเรากลับโต๊ะดีกว่า ยัยโฟร์รอนานแล้วมั้ง” ฉันไม่ได้พูดเรื่องเกียร์อีก แต่เลือกที่จะเดินออกมาเพราะรู้สึกว่าทั้งใบหน้าและหัวใจกำลังทำงานอย่างหนัก
[ไวน์]
วันต่อมา…
“ไอ้เหี้ยไวน์!” เสียงแหกปากของไอ้ทิวกับไอ้แทนที่ดังขึ้นพร้อมกันทำให้ผมที่นั่งอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยง
“แหกปากหาอะไรครับ หิวขี้หรือไงโวยวายอยู่ได้” ผมว่าพวกมัน เกิดผมหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย นี่ของดีประจำตระกูลเลยนะ ผมอะ
“จะไม่ให้พวกกูแหกปากได้ไง ไอ้แทนเรียกมึงเป็นสิบรอบแล้วมึงไม่ขานรับสักที” ไอ้ทิวว่า “แล้วนี่เป็นเหี้ยอะไร นั่งดมเสื้อตัวเองแล้วยิ้มทั้งวัน” ไอ้ทิวว่าต่อ
“หรือมึงจะให้กูร้องไห้” ผมย่นคิ้วใส่มัน
“ไหนเอามานี่ดิ๊ ดมอยู่ได้มีไรดีวะ เปลี่ยนน้ำยาปรับผ้านุ่มใหม่หรือไง” ไอ้แทนไม่พูดเปล่าแต่เดินมากระชากคอเสื้อผมแล้วก้มลงมาดมแถว ๆ ซอกคอทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว
“ไอ้เหี้ยแทนกูขนลุก เดี๋ยวก็โดนส้นตีนหรอก” ผมรีบดันหน้ามันออกไป ท่าทางตั้งใจเดินมาดมของมันทำให้ผมสยอง
“มึงเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมเหรอ หรือเปลี่ยนน้ำยาปรับผ้านุ่ม” ไอ้แทนถามพร้อมทำหน้าสงสัย “มึงใช้กลิ่นเดียวกับกูนี่ ไหนว่าหอมแล้วทำไมเปลี่ยนวะ ว่าแต่กลิ่นไรวะ บอกมั้งดิ หอมดี”
“ไหนมาให้กูดมบ้างดิ๊ หอมอะไรนักหนา” ไอ้นี่อีกคน ไอ้ทิวกระชากคอเสื้อผมให้โน้มลงไปหามันก่อนจะจมูกฟุดฟิดที่ซอกคอผม
“ไอ้เหี้ย กูขนลุก พวกมึงแม่งเลิกมาดมกูสักที” ผมรีบดันมันออกก่อนจะลูบแขนลูบคอตัวเองไปมา “ถ้าจะรุมดมกูขนาดนี้ก็จับกูทำเมียเถอะ” ผมว่าพวกมัน
“กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงนี่หว่า” ไอ้ทิวมองหน้าผมอย่างจับผิด แหงล่ะ เสือผู้หญิงอย่างมันเรื่องแค่นี้รู้ดีอยู่แล้ว
“อะไรของมึง มองงี้หมายความว่าไง” ผมจ้องมันกลับด้วยท่าทางไม่วางใจ
“กูคิดออกแล้ว นี่มึงไม่คิดจะซักเสื้อเลยใช่ไหมห๊ะ!” ไอ้ทิวว่าต่อ มันเองก็คงนึกอะไรออกล่ะสิ
“เรื่องของกู”
“อ๋อ กูนึกออกแล้ว” ไอ้แทนพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย “ถูกใจกลิ่นนี้เหรอมึง”
“พวกมึงไม่ยุ่งสักเรื่องจะตายไหม” ผมว่าพวกมัน “พวกเวร รู้ดีไปหมดเรื่องของกูเนี่ย”
“ถูกใจก็จีบสิครับ มึงจะรอให้หมอคาบไปแดกก่อนหรือไง” แต่ประโยคต่อมาของไอ้แทนก็ทำให้ผมนิ่งไป
หมายความว่าไงวะ…หมอ? หรือมันออกเสียผิด จะพูดว่าหมาหรือเปล่า?
“มึงพูดให้เคลียร์ดิ๊แทน” ผมรีบถาม
“ก็โฟร์บอกพวกกูว่าเดือนหนาวแอบปลื้มหมอภาคอยู่ พวกกูก็เลยกลัวว่ามึงจะพลาด เลยเชียร์ให้จีบอยู่นี่ไง”
“…” สเปคเดือนหนาวเป็นผู้ชายใส่เสื้อกาวน์งั้นเหรอ เหอะ! รักครั้งเก่าก็จบลงเพราะหมอ รักครั้งใหม่ที่ยังไม่ได้เริ่มก็แพ้ตั้งแต่ไม่ลงสนามแล้ว ไอ้ช็อปเน่า ๆ ของผมจะไปสู้เสื้อกาวน์ขาว ๆ ได้ไงวะ
“โฟร์ดึงพวกกูสองคนเข้าแชตกลุ่มแล้ว เดี๋ยวกูจะดึงมึงเข้าด้วย แล้วมึงก็จัดการแอดเพื่อนเดือนหนาวไปซะนะครับไอ้เพื่อนรัก” ไอ้ทิวพูดขึ้นก่อนจะกดโทรศัพท์อยู่แป๊บหนึ่ง ไม่นานแจ้งเตือนดึงผมเข้ากลุ่มแชตก็โชว์หราที่หน้าจอโทรศัพท์ของผม
“จะดีเหรอมึง” ผมถามมันด้วยท่าทีลังเล
“ก็เห็นนั่งดมกลิ่นนี้ตั้งนาน ไม่ได้ชอบหรอกเหรอ” ไอ้ทิวมองหน้าผม “หรือมึงยังไม่ลืมกลิ่นเก่า ตกลงชอบกลิ่นไหน” มันจ้องหน้าผมเขม็ง คือถ้าปฏิเสธผมอาจหัวแตกอะ
“อืม...” เอาไงดีวะ ถ้าหนาวไม่ชอบผมล่ะ “แต่หนาวชอบหมอนะมึง แล้วผู้ชายใส่ช็อปเน่า ๆ อย่างกูจะสู้คนในใจเขาได้เหรอวะ”
“สรุปมึงจะไม่จีบ?”
“จีบดิ”
“เออไอ้ห่า ให้พวกกูลุ้นอยู่ตั้งนาน” ไอ้แทนว่าพลางตบหัวผมไปหนึ่งที
สงสัยเรื่องรักที่บอกจะพักไว้ก่อนคงไม่ได้พักแล้วล่ะ…