ของว่างถูกยกมาเสิร์ฟ เรื่องที่คุยกันอยู่จำต้องหยุดลง
เมื่อถูกคั่นด้วยของกิน เรื่องที่คุยกันต่อระหว่างกินก็เปลี่ยนไปเป็นประเด็นอื่น ส่วนมากจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของแต่ละคน มีเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ของแม่สาวที่อยู่ข้างไลท์แทรกเข้ามาประปราย แต่ก็เป็นเรื่องทั่วไปไม่ได้เป็นความลับอะไร อย่างเรื่องรู้จักกับไลท์ได้ยังไง หรือเรียนคณะอะไร อยู่ปีไหน บลาๆ จากนั้นก็จะวกไปหาไลท์กับปายเวียนวนกันอยู่แบบนั้น จนกระทั่งของกินในจานพร่องลงเกือบหมด คำพูดของแต่ละคนก็เริ่มน้อยลง บรรยากาศเข้าใกล้คำว่าชะงักงัน ผมรู้สึกว่าได้เวลาสมควรบอกลาแล้ว กำลังจะเอ่ยปากเสียงปายก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“พรุ่งนี้ผมมีธุระ ต้องกลับแล้ว อยู่นานกว่านี้กลัวตื่นไม่ไหว”
“พอดีเลย พี่เองก็จะกลับแล้วเหมือนกัน” ผมบอก ยังไม่ทันจะยกมือขึ้นเรียกพนักงานมาคิดเงิน ไลท์ก็พูดขึ้น
“อยู่ก่อน ผมมีเรื่องอยากคุย”
“หืม” ผมชะงัก ชำเลืองมองอย่างสงสัย เมื่อเห็นผมหยุดเคลื่อนไหวมันก็หันไปพูดกับแม่สาวข้างกายด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงขอร้อง
“บีกลับไปก่อนนะ เดี๋ยวให้ปายไปส่ง”
“อ๊ะ... เอ่ออืมได้ค่ะ” แม่สาวทำท่าจะโต้แย้งแต่พอสบเข้ากับสายตาจริงจังของไลท์เธอก็กลืนคำพูดลงคอพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
ไม่ใช่แค่แม่สาวคนนั้นที่ยินยอมแต่โดยดี แม้แต่ปายที่ถูกโยนภาระให้กะทันหันก็พยักหน้าตอบรับคำไหว้วานของไลท์อย่างง่ายดาย
ผมสงสัยว่าปายกับไลท์น่าจะเตี๊ยมกันมาแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร มองส่งปายกับแม่สาวคนนั้นไปจนถึงประตูร้านค่อยย้ายสายตากลับมาจ้องหน้าน้องชายแท้ๆ ด้วยสายตาเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก
“ปายกลายเป็นลิ่วล้อของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่” ไม่ใช่แค่สายตาที่จริงจังกระทั่งน้ำเสียงผมก็ไม่มีแววล้อเล่นอยู่เลย บรรยากาศอ่อนโยนเป็นกันเองก่อนหน้านี้เป็นแค่ภาพที่ผมสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกลำบากใจ แต่ตอนนี้มีแค่ผมกับไลท์ ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีก
ไลท์กระตุกมุมปาก เหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม สายตาที่มันใช้มองผมแฝงแววเย็นชา “พี่ก็ดีแต่ใส่ใจเรื่องคนอื่น”
ผมแค่นยิ้ม “โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กไปได้”
ไลท์จากที่หน้าเข้มอยู่แล้วก็เข้มหนักกว่าเดิมเหมือนนั่งอยู่ในที่ที่แสงไฟส่องไม่ถึงยังไงยังงั้น
“ใครกันแน่ที่เด็ก”
ผมเลิกคิ้ว มองสายตาเสียดแทงของน้องชายอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ขี้เกียจจะแกล้งมันแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ
“มีอะไร พูดเรื่องของมึงมา”
ไลท์มีสีหน้าโกรธขึ้งแวบหนึ่งก่อนกลับมาสงบนิ่ง เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกดข่มอารมณ์ “ถ้าไม่มีธุระ พี่ก็ไม่คิดคุยกับผมเหรอ”
ไอ้เด็กนี่
ผมผ่อนลมหายใจยาว มองสำรวจใบหน้าน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีเต็มสองตาชัดๆ
จำได้ว่าตอนผมออกจากบ้านมันยังเป็นเด็กมัธยมต้นอยู่เลย แต่เพราะมีสายเลือดชาวต่างชาติอยู่ครึ่งหนึ่งจึงตัวสูงใหญ่เป็นหนุ่มกว่าเด็กในรุ่นเดียวกัน ถึงตอนนั้นหน้าตามันจะไม่ได้แย่แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ได้โตตามรูปร่างมองมุมไหนก็เด็กโข่งดีๆ นี่เอง
แต่ตอนนี้มันถึงขั้นเรียนจบและทำงานแล้ว เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เค้าโครงหน้าคมเข้ม คิ้วดกดำ ดวงตาคมลึกดุดันแฝงปมในใจยิ่งมองยิ่งมีเสน่ห์ ไม่รู้ว่ามีสาวๆ ตกหลุมพรางไปกี่คนแล้ว
คนที่โตเป็นควายแถมยังหน้าหล่อเข้มขนาดนี้กำลังมองผมด้วยสายตาประชดประชัน เห็นแล้วขัดหูขัดตาจริงๆ
“พี่? เราสองคนยังเป็นพี่น้องกันอยู่เหรอ” ผมถามตรงประเด็น ตอนที่พ่อไล่ออกจากบ้าน ประกาศตัดสายเลือด ใช่ว่าผมจะเชื่อฟังทั้งหมด ไม่คุยกับพ่อก็ได้ แต่น้องชายผมยังติดต่อถามไถ่ข่าวคราวบ้าง ทว่ามันนั่นแหละที่เป็นฝ่ายปฏิเสธผม ห้ามไม่ให้ผมส่งข้อความหามันเพราะไม่อยากขัดคำสั่งพ่อ ตั้งแต่นั้นมาผมก็เลิกสนใจมัน ต่างคนต่างอยู่ ไม่คิดติดต่อไปอีก
หลังผมถามไปแบบนั้น อารมณ์ขุ่นเคืองขุมหนึ่งก็แวบผ่านใบหน้าของไลท์ทันที มันมองผมราวกับว่าจำต้นสายปลายเหตุที่เราสองคนหมางเมินกันไม่ได้แล้ว หนำซ้ำยังจ้องผมเขม็งเหมือนกำลังยัดเยียดความผิดให้
พี่น้องไม่ได้เจอกันเกือบสิบปี พอเจอกันที กลับไม่ได้โอบกอดกันด้วยความคิดถึง มีเพียงท่าทีที่เย็นชาต่อกัน
“พี่ไม่เคยสำนึกเลย”
“ไม่ต้องพูดแล้ว มีอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องอ้อมค้อม”
ไลท์สูดหายใจลึก มองผมด้วยสายตาพลุ่งพล่านชั่วขณะก่อนเปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็น สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม
“พ่อไม่สบาย”
“หืม”
“เป็นเนื้องอกในสมอง”
“....” ผมเงียบ ยอมรับว่าตกใจและอดกังวลไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเขาเกลียดผมขืนผมโผล่หน้าไปให้เห็นอาการจะไม่กำเริบยิ่งกว่าเดิมเหรอ
“ตอนนี้รักษาตัวอยู่ แต่พ่ออายุมากแล้ว รักษาหายก็กลับมาทำงานไม่ได้ ต่อให้อยากทำก็ให้ทำไม่ได้เพราะต้องรักษาสุขภาพ”
“แล้ว?” ผมเลิกคิ้ว ฟังจากน้ำหนักแล้วเหมือนประเด็นไม่ได้อยู่ที่คนป่วยแต่เป็นเรื่องงาน
“ผมอยากให้พี่มาช่วยงานที่บริษัท”
“อย่าเลย ขืนพ่อรู้ได้ช็อกตายกันพอดี” ผมปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด ก่อนจะเอ่ยเสริม “หรือบริษัทขาดคน”
ไลท์ส่ายหน้าเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่ใช่ แต่คนอื่นก็ไม่สู้คนในครอบครัว อย่างน้อยก็ไว้ใจได้กว่า”
ผมหัวเราะร่วนทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “ฮ่าๆ อย่าลืมว่ามึงไม่ได้เจอพี่ชายคนนี้เกือบสิบปีแล้ว รู้ได้ยังไงว่ากูไว้ใจได้”
“....”
ปาย : พี่คุยกับไลท์แล้วใช่ไหม
ข้อความจากปายเด้งขึ้นในตอนบ่ายของวันต่อมา
ไนท์ : อืม มึงรู้อยู่แล้ว?
ปาย : (สติ๊กเกอร์แมวเหมียวค้อมหัวขอโทษ)
ไนท์ : ไม่เป็นไร
ปาย : แล้วพี่ตอบมันว่าไง
ไนท์ : มึงไม่รู้?
ปาย : ผมจะรู้ได้ยังไง
หลังจากนั้นมันก็วีดีคอลมาเหมือนร้อนใจ ผมไม่ได้ตั้งตัวแต่ก็ไม่ติดขัดอะไร จึงกดรับสาย
[พี่]
“อืม” ผมมองผ่านกล้องอย่างไม่ใส่ใจ
[ผมไม่รู้จริงๆ ตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้คุยกับมันเลย]
“ทำไมไม่รอถามกับมันล่ะ”
ได้ยินคำถามผม ฝ่ายตรงข้ามก็ชะงักงันไปชั่วครู่
[ผมทำพี่โกรธหรือเปล่า]
“เปล่า แค่ประหลาดใจ ไม่คิดว่ามันจะใช้มึงเข้าหากู”
[พี่… ยังโกรธเรื่องเมื่อตอนนั้นอยู่ใช่ไหม]
“กูเคยพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ ช้าเร็วมันก็ต้องเกิดขึ้น”
[แต่ถ้าตอนนั้นผมไม่…] ปายหยุดคำพูดตัวเองกลางคัน แววตาที่มองมายังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด […ผมควรปกป้องพี่]
ผมแทบขำกลิ้งกับท่าทางเอาจริงเอาจังของมัน แต่ก็ระงับเอาไว้กระตุกยิ้มมุมปากน้อยๆ
“เด็กน้อย ตอนนั้นมึงอายุเท่าไหร่ คิดจะปกป้องกู”
ถูกผมพูดใส่ ปายก็ถึงกับวางสีหน้าไม่ถูก ผมไม่อยากแกล้งมันแล้ว เอ่ยอย่างจริงจัง
“เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วจะฟื้นฝอยหาตะเข็บทำไม เลิกโทษตัวเองได้แล้ว กูไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย”
[ผมคิดว่าพี่โกรธ… ตลอดมาผมไม่กล้าไปเจอพี่ ผมขอโทษ] มันใช้โอกาสนี้ขอโทษขอโพยผมชุดใหญ่ แววตาแสดงออกชัดถึงความจริงใจ อยากที่จะชดเชยความผิดตัวเอง ทว่าผมไม่ได้ต้องการอะไรจากมันเลย
“อืม กูยกโทษให้ เลิกฟูมฟายได้ยัง” ผมบอกอย่างหงุดหงิด ดูเหมือนถ้าไม่พูดออกไปชัดๆ อีกฝ่ายก็คงจะโทษตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น แววตาของปายทอประกายเหมือนปลาได้น้ำทันที
[งั้น… งั้นผมคุยกับพี่ได้ใช่หรือเปล่า]
ผมชะงัก ไม่แน่ใจว่าขอบเขตของคำว่า ‘คุยกับพี่’ ของปายคือแค่ไหน แต่ช่างเถอะ คุยกันในระดับไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะมาใคร่ครวญให้เสียเวลา พยักตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ
“อืม”
หลังจากวันนั้นปายก็โทรหาผมบ่อยๆ ผมไม่ใช่คนเสียมารยาทกับเด็กน้อยหน้าตาดี คุยเล่นเป็นเพื่อนมันพอหอมปากหอมคอ
[วันนี้ผมว่าง แถวที่พี่อยู่มีอะไรเด็ดๆ บ้าง]
“ร้านกูไง”
[ไม่เอาดิ ผมอยากกินข้าว]
“ร้านกูมีข้าวขาย”
[ฮ่าๆ กินข้าวกลางดึกเหรอ ผมได้เป็นกระเพาะกันพอดี]
“หึ” ผมยิ้มมุมปาก ยังไม่ทันเอ่ยอะไร ปายก็พูดต่อ
[ผมไปหาพี่ แล้วทำอะไรกินเองดีไหม]
“หืม…” ผมคิดไม่ถึง ยังไม่ทันย่อยคำพูดของปาย อีกฝ่ายก็รีบเอ่ยต่อเหมือนกลัวผมปฏิเสธ
[หรือว่าจะมาห้องผมก็ได้ …ถ้าพี่ว่าง]
ผมเลิกคิ้ว คำชวนนี่จะให้คิดว่ายังไง ขณะที่ยังไม่แน่ใจกับเจตนาของอีกฝ่าย ผมควรสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน
“กินหมูกระทะดีกว่า”
[….]
ร้านหมูกระทะ
ผมล่วงหน้ามาก่อนแล้วส่งพิกัดไปให้ปาย รออยู่หน้าร้านไม่นานมันก็มาถึง ผมเลือกร้านนี้เพราะอยู่ละแวกเดียวกับร้านผม ไม่ต้องไปไกล อีกอย่างอยู่ใกล้มหาลัย คนที่มากินก็มีแต่นักศึกษา มองแล้วเบิกบานตา
“คนเยอะเหมือนกันนะนี่” ปายกวาดตามองไปรอบๆ โต๊ะถูกจับจองเกือบหมดแล้ว
“อืม วันนี้คนเยอะจริง ดีที่เรามาไว” ผมเองก็ไม่ค่อยได้มาเหมือนกัน แต่เวลาเลี้ยงเด็กๆ ในร้านพวกมันก็มักจะพาผมมาที่นี่ ก็เลยพลอยรู้จักกับเฒ่าแก่ร้านไปด้วย เพราะมาทีก็จะยกโขยงกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ย่อมต้องจ่ายหนัก เลยได้รับความสนใจเป็นธรรมดา
เด็กในร้านหมูกระทะที่จำผมได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
“วันนี้มากี่คนครับเฮีย”
“สอง”
“ครับๆ ทางนี้ครับ มีโต๊ะว่างพอดี อาหารอยู่ฝั่งนั้นตักได้ตามใจเลย เดี๋ยวจะมีคนมาตั้งเตาให้ เอ้อเฮียรับเครื่องดื่มเพิ่มหรือเปล่า ถ้าเป็นน้ำหวานน้ำอัดลมรวมอยู่ในบุฟเฟ่ต์อยู่แล้ว เติมได้ตลอด” พนักงานพูดรัวอย่างไม่มีติดขัด
“เอาอะไร เบียร์ เหล้า โซดา” ผมหันไปถามปายที่ดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกแล้วทิ้งตัวลงนั่งเรียบร้อย
“ขอเป็นน้ำปกติแล้วกัน งดของแสลงสักวัน” มันตอบอย่างเกรงใจ สุ้มเสียงมีแววล้อเล่นเจืออยู่
“งั้นไม่เป็นไร ไม่รับอะไรเพิ่ม” ผมหันไปบอกพนักงานที่รออยู่
“ครับเฮีย งั้นเชิญตามสบายนะครับ”
หลังพนักงานมาตั้งเตาให้ ผมกับปายก็ลุกไปตักอาหารมาปิ้งย่าง กินไปคุยไป ใครจะไปนึกว่าระหว่างที่ลุกออกไปตักอาหารเพิ่มจะดันเหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยเข้าโดยบังเอิญ