ตอนที่ 3 หมดความมั่นใจ1

1463 คำ
สำนักวิหคบุปผาตั้งตระหง่านบนยอดเขาไป๋ซานทิศตะวันออกของแดนเหนือต้าซาน อากาศโดยรอบเย็นเยียบชวนเหน็บหนาวถึงกระดูก ทว่าภายในห้องกลับอบอุ่นและผ่อนคลาย สบายอกสบายใจ หลินเล่อเจินค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นนั่งหลังจากลืมตาและเริ่มได้สติแจ่มชัดขึ้นมา หลังจากดื่มชานางก็หลับไป จากนั้นก็ถูกซิงเยียนผู้เป็นน้องสาวเอาตัวมาไว้ที่นี่ ด้วยวิธีลักพาตัวมา! เมื่อระลึกได้ หลินเล่อเจินจึงยกมือขึ้นคลึงขมับอย่างกลัดกลุ้ม น้องสาวผู้นี้ซุกซนยิ่ง เฮ้อ! “เจินเอ๋อร์อย่าโกรธน้องเลย เจ้าไม่ยอมรับปากว่าจะมาอยู่กับแม่ น้องถึงได้ลงมือเช่นนี้อย่างไรเล่า” เสียงนั้นดังมาจากทางประตูหน้าห้อง หลินเล่อเจินเงยหน้ามองจึงได้เห็นเจ้าของเสียงคือสตรีรูปลักษณ์งดงามโฉบเฉี่ยวผู้หนึ่ง อีกฝ่ายสวมชุดสีแดง ท่าทางคล่องแคล่วปราดเปรียว ค่อยๆ เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มดุจจันทร์ฉาย ทั้งนุ่มนวลและร้อนแรงแสบตาประหนึ่งบุปผารัตติกาลในคืนวสันต์ร้อนระอุ เสน่หาอันยวนตาพาใจถวิลหานี้แน่นอนว่าย่อมมอบให้ลูกๆ คนละครึ่ง และแน่นอนว่าในส่วนที่นุ่มนวลอ่อนโยนล้วนมอบให้บุตรีคนโตจนสิ้น หลินเล่อเจินเบิกตายิ้มกว้าง “ท่านแม่!” กัวรั่วหลานนั่งลงบนเตียงนอน รั้งร่างบุตรสาวมากอดแนบอก ลูบแผ่นหลังบางเบาๆ “หยุดแบกปัญหาเอาไว้กับตัวเถิด เจ้าน่ะอ่อนหวานบอบบางเกินกว่าจะเอาทั้งชีวิตไปจมปลักเพื่อต้านทานลมฝนให้สกุลหลิน เชื่อแม่เถิดนะ เจ้าหยุดรับทุกความผิดเอาไว้กับตัวเสียที ตัดทุกคนออกไป โดยเฉพาะคู่หมั้นของเจ้าผู้นั้น” เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลินเล่อเจินที่กำลังอมยิ้มพริ้มตาซุกอ้อมอกมารดาซึมซับความอบอุ่นพลันเบิกตาตื่นตะลึงขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านรู้หรือเจ้าคะ?” กัวรั่วหลานพยักหน้า “เยียนเอ๋อร์เล่าให้ฟังหมดแล้ว เจ้าต้องตัดคู่หมั้นออกไปจากชีวิต ส่วนเรื่องต่างๆ หลังจากนี้ เจ้าแค่เชื่อมือน้องสาวก็พอ ตกลงหรือไม่?” “ท่านแม่ไม่ชอบคู่หมั้นของข้าหรือเจ้าคะ?” “ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่เขาตึงมือเจ้าเกินไปต่างหาก คนแบบนั้นต้องเจอกับเยียนเอ๋อร์ถึงจะถูก” “จะดีหรือเจ้าคะ?” “ดีสิ เอาตามนั้นแหละ เชื่อฟังแม่นะ” หลินเล่อเจินยู่หน้าซุกซบมารดาอย่างออดอ้อน “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าเชื่อท่านแม่...” เรื่องราวของหลินเล่อเจินแท้จริงมิได้ซับซ้อนอะไร ครอบครัวที่ได้เกี่ยวดองหมั้นหมายก็นับว่าดีเลิศ ฟื้นฟูค้ำจุนสกุลหลินได้ตลอดไป คู่หมั้นยังเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของใต้เท้าลู่ ผู้เป็นถึงเสนาบดีกรมคลัง ลู่อี้นับเป็นขุนนางตงฉิน ครอบครัวสามัคคีปรองดอง สกุลลู่เองก็ไม่เคยถือว่าตนมีอำนาจพรั่งพร้อมด้วยยศศักดิ์มาร้อยปีอันใด คุณงามความชอบมากล้นจนได้เลื่อนขั้นแค่ไหน ยังคงยอมรับสตรีมาเป็นสะใภ้เพียงเงื่อนไขไม่กี่ข้อ นั่นก็คือนิสัยดี เที่ยงธรรม ดูแลเรือนหลังได้ ฐานะสูงต่ำล้วนไม่สำคัญ แน่นอนว่าด้วยรูปลักษณ์ นิสัยใจคอของหลินเล่อเจิน ล้วนเข้าตาพวกท่านอย่างยิ่ง ตัวคู่หมั้นของหลินเล่อเจินเองก็ถือว่าเป็นบุรุษที่ดี สุภาพเรียบร้อย อบอุ่นอ่อนโยน สง่าผ่าเผย ไม่เย่อหยิ่งถือตัว นับเป็นคนหนุ่มที่น่าคบหาคนหนึ่ง นามว่าลู่อวิ้น ตั้งแต่หมั้นหมาย หลินเล่อเจินกับลู่อวิ้นก็มีไมตรีที่ดีให้แก่กันเสมอมา มักไปมาหาสู่กันอย่างเปิดเผย เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันถึงความสัมพันธ์อันงดงาม มั่นคงยากสั่นคลอน ตัวลู่อวิ้นเองก็รักถนอมและให้เกียรติหลินเล่อเจินเป็นอย่างดี แม้แต่มือยังไม่เคยผลีผลามทำรุ่มร่ามหรือแตะต้อง ได้แต่มองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ดวงตาเผยแต่ความหวังดี ท่าทีที่แสดงออกเช่นนั้น ล้วนบอกได้ว่าเขาชมชอบหลินเล่อเจินมาก รักใคร่นางอย่างลึกซึ้งด้วยใจจริง เพียงหลินเล่อเจินที่เหมาะสมเป็นภรรยาของเขา คู่ควรให้ยกย่องเชิดชูทะนุถนอมตลอดไป กระทั่งวันหนึ่ง หลินซิงเยียนไปเที่ยวเมืองหลวง บังเอิญเจอว่าที่พี่เขย จึงลอบติดตามอย่างนึกสนุกตามวิสัย คิดเพียงอยากทำให้ตกใจ เนื่องจากอีกฝ่ายเพิ่งส่งพี่สาวถึงจวนกับมือแท้ๆ หากนางมาโผล่ตรงหน้า ว่าที่พี่เขยคงสงสัยว่าเหตุใดพี่สาวถึงมาอยู่ตรงนี้อีกได้อย่างไร แค่คิดก็สนุกแล้ว ทว่าท้ายที่สุด กลับเป็นหลินซิงเยียนเองที่ต้องตะลึงอย่างคาดไม่ถึง เมื่อแอบตามจนได้รู้ว่าลู่อวิ้นแอบเลี้ยงดูสตรีไว้นอกเรือนคนหนึ่ง สตรีผู้นั้นเรียบร้อยอ่อนหวานและงดงามหยาดเยิ้มยิ่งกว่าสตรีทุกคนที่นางเคยเห็นมาเสียอีก หลินซิงเยียนแอบเฝ้าแอบมองว่าที่พี่เขยอยู่ทั้งคืน อีกฝ่ายก็ยังไม่ออกจากประตูเรือนของหญิงผู้นั้น เพียงเรียกเด็กรับใช้ยกอ่างน้ำกับผ้ามาให้ไม่ต่ำกว่าสี่ห้ารอบ ไม่บอกก็รู้ว่าชายหญิงในห้องหับกำลังทำอันใดกัน แน่ชัดว่าลู่อวิ้นลุ่มหลงสตรีคนนี้ปานใด รักใคร่แค่ไหน หลินซิงเยียนยังจำได้ พี่สาวเคยเล่าให้ฟังว่าลู่อวิ้นผู้นี้บอกรักพี่สาว รักมาก รักจากใจ จะดีกับพี่สาวแค่คนเดียว โกหกสินะ! คืนนั้น หลินซิงเยียนมีความคิดว่าจะพุ่งตัวเข้าไป จับกระชากชายหญิงบนเตียงแยกออกจากกันให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่นางติดขัดตรงที่บุรุษผู้นี้มิใช่คู่หมั้นของตน จึงต้องวิ่งแจ้นกลับไปขออนุญาตพี่สาวก่อน ขอแค่พี่สาวพยักหน้า นางจะพังเรือนลับของพี่เขยให้พี่สาวด้วยมือของนางเอง จากนั้นก็ถอนหมั้น แล้วเฟ้นหาผู้ชายใหม่ เอาคนที่เราชอบพอพึงใจและพิสูจน์แล้วว่าดีจริง มิใช่ใครก็ได้แบบนี้ ทว่าหลินซิงเยียนกลับต้องจนใจกับคำพูดของพี่สาว “จากประสบการณ์ของท่านพ่อท่านแม่ หากเราเลือกสามีที่พึงใจ ได้คู่ครองกับบุรุษที่รักใคร่จากใจจริง ยามผิดหวังย่อมเจ็บช้ำน้ำใจแสนสาหัส อาจถึงขั้นคิดไม่ตกจนฆ่าตัวตายก็เป็นได้ เช่นนั้น การแต่งงานที่ผู้อาวุโสเลือกให้ ย่อมดีที่สุด นอกจากธรรมเนียมปฏิบัติแต่โบราณแล้ว อย่างน้อย เราจะได้ไม่คาดหวังมากเกินไป แค่แต่ง ๆ ไป ไม่ต้องรัก อยู่ ๆ ด้วยกันไปตามหน้าที่ก็พอ เพราะรักแท้ไม่มีอยู่จริง ยิ่งไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสจับต้องได้ เพื่อสกุลหลิน ความมั่งคั่งอันมั่นคงที่ยั่งยืนต่างหากถึงควรยึดถือไว้ให้มั่น เจ้าอย่าได้ห่วง พี่ไม่เป็นไร” พูดง่ายๆ ก็คือ หลินเล่อเจินไม่สนว่าจะต้องแต่งงานกับบุรุษแบบใด ได้สามีแบบไหน ต้องคลอดลูกให้ใคร นางคิดว่าแค่ไม่สุขก็ไม่ทุกข์ สกุลหลินมั่นคงก็พอแล้ว หลินซิงเยียนแม้เข้าใจดีแต่กลับไม่อาจทำใจได้ นางรักพี่สาวมาก จึงรู้สึกปวดใจเหลือเกิน เป็นแค่ดอกไม้ราตรีบอบบางแท้ๆ แต่แสร้งทำเป็นดอกไม้น้ำแข็ง ไร้รักย่อมไม่เจ็บหรือ? แล้วหากผูกพันกันขึ้นมาเล่า? เมื่อถูกความแสบร้อนของขอบตากัดกร่อนทรวงอกจนหัวเราะไม่ออกร้องไห้มิได้เช่นนี้ วิธีเดียวคือควบม้าวิ่งโร่กลับสำนักวิหคบุปผา ร้องไห้ฟ้องมารดาทั้งน้ำตานองหน้า เมื่อกัวรั่วหลานได้ฟังก็เกิดอาการเดียวกันคือเข้าใจดี แต่ไม่อาจทำใจได้เช่นกัน หลินเล่อเจินเป็นผู้หญิงที่ดีเกินไป นางไม่ควรต้องแต่งงานกับใครก็ตามที่บังอาจหยามน้ำใจเยี่ยงนั้น สองแม่ลูกจึงช่วยกันเฟ้นหาบุรุษที่ดีเลิศยิ่งกว่าลู่อวิ้น จากนั้นหลินซิงเยียนก็ลักพาตัวหลินเล่อเจินมาที่นี่ ระหว่างที่พี่สาวมีมารดาคอยดูแล หลินซิงเยียนจึงไปจัดการส่วนที่เหลือยังจวนหลิน แน่นอนว่าหากไม่ลงมือถึงขั้นลักพาตัวกันขนาดนี้ย่อมไม่ได้ผล สตรีเช่นหลินเล่อเจินย่อมแบกหม้อก้นดำ[1]ไปตลอด ไม่ยอมปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ [1]แบกหม้อก้นดำ เป็นสำนวนหมายถึง แบกรับความผิดแทนคนอื่น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม