บทที่ 2 ชะตาแต่งงานของข้า

1137 คำ
            ฮูหยินใหญ่ตระกูลฟ่าน จ้งชิงเยียนนึกถึงปัญหาของบุตรชายก็ได้แต่กลัดกลุ้ม ฟ่านหลี่เจี๋ยเป็นลูกที่นางภาคภูมิใจมาตลอด เขาขยันร่ำเรียน สุภาพเรียบร้อย ในยามว่างมักจะวาดภาพ ใบหน้างดงามของลูกทั้งสองถอดแบบมาจากนางทั้งสิ้น ช่างน่าภาคภูมิใจที่ทุกคนต่างชื่นชม             ใต้เท้าฟ่านสามีของนางกว่าจะฝ่าฟันมาจนได้เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายคนสำคัญของราชสำนักช่างยากลำบาก แต่ก็อย่างที่เขาเคยบอก ยิ่งมีอำนาจและตำแหน่งสูงก็ยิ่งต้องระวังตัว             “ข้าคงจะมีอำนาจมากเกินไปเสียแล้ว”             “ทำไมหรือท่านพี่?”             “ฮ่องเต้คงไม่ไว้พระทัยอีกต่อไป ต้องชิงลาออกเสียก่อน” เมื่อเขาบอกกล่าวนางเช่นนั้น จึงได้ยื่นหนังสือขอลาออกอ้างว่า ต้องการไปพักผ่อนใช้ชีวิตอย่างสงบ และเลี้ยงดูหลานๆ             ทว่าฮ่องเต้กลับไม่ปล่อยสามีนางไปโดยง่าย บังคับให้ย้ายบุตรชายคนโตจากสังกัดเดิมมาอยู่สำนักตรวจการเพื่อให้มาทำงานแทนบิดา ฮูหยินใหญ่รู้ว่าบุตรชายของนางอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบ ใต้เท้าฟ่านซื้อที่ดินนอกเมืองไว้กว้างมากพอที่จะทำบ้านพักตากอากาศ ฟ่านหลี่เจี๋ยจึงมักปลีกวิเวกออกไปพักที่นั่นในช่วงวันหยุด                    หลังจากบุตรชายอายุครบยี่สิบ นางพยายามหารูปสตรีในตระกูลต่างๆ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อมาให้ฟ่านหลี่เจี๋ยเลือกเป็นฮูหยินสักคน แต่บุตรชายมิใส่ใจสตรีเหล่านี้ ยังคงเก็บตัวอ่านหนังสือและวาดภาพต่อไป ปีนี้เขาอายุย่างยี่สิบเจ็ดแล้ว นับว่าเป็นชายอายุมากที่ยังไม่แต่งงานผู้หนึ่งในเมืองหลวง ทุกคราที่นางไปร่วมวงสนทนาสมาคมฮูหยินใหญ่ทั้งหลาย นางไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร?             ล่าสุดมีฮูหยินผู้หนึ่งพูดถึงวัดหยกสวรรค์ว่าที่นี่สามารถขอพรแล้วเป็นจริง โดยเฉพาะการขอในวันพระจันทร์เต็มดวง ถ้ามีโอกาสได้ยันต์ที่อดีตท่านเจ้าอาวาสเขียนไว้เป็นที่กล่าวขานกันว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ฮูหยินใหญ่จ้งชิงเยียนจึงเร่งมา             “ฮูหยิน ท่านมาขอสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”             “เจ้าคิดว่า ข้ามีความกังวลใดอีกเล่า? ปีนี้หลี่เจี๋ยอายุย่างยี่สิบเจ็ดแล้ว ขอให้มีบุตรสาวจากตระกูลดีๆ ยอมรับการทาบทามก็แล้วกัน”             “ฮูหยิน ข้าว่าท่านทำให้คุณชายใหญ่ยอมรับให้ได้ก่อนเถอะ” ไป๋สวง สาวใช้อาวุโสที่อยู่กับฮูหยินมาตั้งแต่วัยสาวบ่นพึมพำ             “อืม...ข้าก็พยายามอยู่ แต่เจ้าก็เห็นนี่ว่า ลูกชายของข้าเป็นเยี่ยงไร เห็นทีคงจะต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างจริงจังแล้ว”             เมื่อฮูหยินจ้งชิงเยียนเริ่มต้นกราบพระแล้วขอพร จู่ๆ ฟ้าก็มืดครึ้ม ลมกรรโชกแรงขึ้นจนใบไม้ปลิวว่อนทั่วลานวัด             “ฮูหยินท่านดูสิ ฟ้ามืดมิด ซ้ำลมแรงเยี่ยงนี้ไม่นานฝนคงตกหนักเป็นแน่” สิ้นคำกล่าวของไป๋ส่วงฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก จนพวกนางไม่อาจออกจากศาลาใหญ่ที่มีพระประธานองค์ใหญ่ตั้งอยู่ได้ “นั่นปะไร! ท่านเข้าไปหลบด้านในก่อนเถิดฮูหยิน ฝนสาดแรงเสียด้วย”             ประตูใหญ่ของศาลานั้นสูงและกว้าง เพราะเปิดไว้ทุกบานยามฝนตกแรงจึงสาดเข้าด้านใน จ้งชิงเยียนกับไป๋ส่วงรีบขยับเข้าไป ภายในศาลาเหลือเพียงแสงเทียนวอมแวมที่ปักอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ภายนอกมืดครึ้มฝนฟ้าคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบถี่ขึ้นๆ ทันใดนั้นเอง             เปรี้ยง!!!             “กรี๊ด!” ฟ้าผ่าอย่างแรงลงกลางลานวัด หน้าศาลาใหญ่ ฮูหยินจ้งชิงเยียนและสาวใช้กรีดร้องขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่ผวาเข้าเกาะแขนกันแน่น             ร่างของภิกษุชราถือเทียนเล่มใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลัง             “ตกใจมากหรือโยม”             ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก! หันขวับกลับไปมอง เมื่อเห็นเป็นภิกษุวัยชราจึงถอนหายใจเฮือกออกมาพร้อมกัน             “อ้อ...หลวงพ่อ ฟ้าผ่าแรงมากเจ้าค่ะ” ฮูหยินจ้งตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่น             “ฮูหยินมาที่นี่เพื่อขอพรอันใดหรือ?”             “ข้าน้อยมาเพื่อขอพรให้บุตรชายคนโตฟ่านหลี่เจี๋ยเจ้าค่ะ”             “เจ้าเอาวันเกิดปีเกิดเขามาด้วยหรือไม่?”             “เอามาเจ้าค่ะ” ฮูหยินคิดจะสอดกระดาษนั้นไว้ใต้ฐานพระหลังจากจุดธูปอธิษฐาน ทว่ายังไม่ทันได้ทำ ฝนก็ตกลงมาเสียก่อน             “เจ้าเอามาให้อาตมาเถิด”             เมื่อฮูหยินจ้งส่งที่จดวันเดือนปี เวลาตกฟากของบุตรชายให้กับภิกษุชราไป ท่านจึงยื่นแผ่นยันต์สีเหลืองให้ “เจ้ารับยันต์แผ่นนี้ไป จงเอาไปสอดไว้ใต้ที่นอนของบุตรชายอย่าให้เขารู้ตัว แล้วพรที่ขอไว้จะสมหวัง”             ฮูหยินจ้งรับยันต์ด้วยความยินดี “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”             เปรี้ยง!!!             “ว้าย!” ทั้งสองหลับตาร้องออกมาพร้อมกัน พร้อมขยับเข้าเกาะแขนกันแน่น ครั้นลืมตาขึ้นมา ร่างภิกษุชราผู้นั้นกลับหายไปจากศาลาแล้ว             “อ๊า! ฮูหยิน นักบวชหายไปแล้ว” ไป๋ส่วงเนื้อตัวสั่นเทา             ฮูหยินจ้งตบแขนไป๋ส่วงไว้ แล้วส่ายหน้ามิให้เอ่ยออกมา ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น จู่ๆ ฝนก็หยุดและเมฆดำก็เคลื่อนหายไปอย่างรวดเร็ว แสงแดดยามบ่ายสาดเข้ามาในศาลา             “เร็วเข้าเถิดฮูหยิน ข้าแทบจะไม่ไหวแล้วเจ้าคะ” นางร้องลั่น แทบจะกลั้นปัสสาวะไม่ไหวด้วยความหวาดกลัว ‘วัดหยกสวรรค์สมกับเป็นวัดเก่าแก่ ข้าคิดแล้วไม่ควรจะมาวันพระจันทร์เต็มดวง’             เมื่อฮูหยินกับไป๋ส่วงกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฟ่าน จึงแอบพากันเอายันต์ลวดลายแปลกตาที่เขียนบนผ้าสีเหลืองขนาดใหญ่เท่าสองฝ่ามือไปสอดไว้ใต้ฟูกนอนของฟ่านหลี่เจี๋ย             ตกดึกคืนนั้น ฟ่านหลี่เจี๋ยฝันประหลาดนัก เขาเดินไปบนบันไดสูงชันขึ้นไปถึงวัดแห่งหนึ่งทั้งศาลาขนาดใหญ่และเจดีย์ล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ภิกษุชรายืนยิ้มรอที่หน้าเจดีย์กล่าวทักทายด้วยเสียงกังวาน             “มาแล้วหรือ กำลังรออยู่เทียว”             “รอข้าทำไมหรือขอรับ?”             “ชะตาของแคว้นหมิงยามนี้ จำเป็นต้องหยิบยืมชะตาเจ้ามาช่วยแก้ไข ปีนี้เจ้าจำเป็นต้องแต่งงานเพื่อช่วยให้แคว้นนี้ผ่านพ้นภัยพิบัติ”             “หา! การแต่งงานของข้า จักเกี่ยวอันใดกับชะตาเมืองเล่า?” ฟ่านหลี่เจี๋ยรู้สึกตกใจ เขาเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ ในราชสำนักเท่านั้น             “การแต่งงานของเจ้าจะเปลี่ยนเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในแคว้นนี้ได้”              *************************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม