เพราะโตขึ้นจึงได้รู้ว่าความรักไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนอีกต่อไป แต่มันหมายถึงคนรอบข้าง ครอบครัว สังคม การศึกษา และความเข้ากันได้ในฐานะ รวมถึงทัศนคติการใช้ชีวิต
และสุดท้าย...คือคนสองคนจะจับมือกันแน่นมากพอเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคหรือเปล่า
มันคือความคิดที่หมุนวนเป็นระลอกคลื่นอยู่ในอกมาเนิ่นนาน และกระเพื่อมแรงขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง ความตื่นเต้นยินดีถูกกลบด้วยความกังวลต่ออนาคตที่จะต้องเผชิญในวันข้างหน้า ลุกลามกลืนกินจนจิตใจไม่อาจสงบต่อไปได้อีก
เพราะสับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี การเตรียมใจตั้งรับที่เคยวางแผนเอาไว้ล่มไม่เป็นท่าเมื่อได้เจอสถานการณ์จริง เช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้เก็บกระเป๋ากลับมากรุงเทพฯ โดยที่ไม่ได้บอกใครสักคำ ไม่ได้ตั้งใจจะหนีก็แค่ว่าจะกลับมาตั้งหลักเพื่อดึงสติตัวเองเท่านั้น
...จริงๆ นะ
“อ๋อเหรอ? มึงตกใจมากที่ได้เห็นหน้าผัวเก่า หัวใจมันกระวนกระวายจนทำตัวไม่ถูก ก็เลยตั้งใจจะมาอยู่กับตัวเองเงียบๆ สงบสติอารมณ์ก่อน”
เนยพยักหน้าหงึกหงักระรัวให้กับแนนนี่เพื่อยืนยัน ลมหายใจพ่นออกมาแทบจะหมดปอดเมื่อแนนนี่เข้าใจได้สักที หลังจากที่พยายามจะอธิบายเป็นสิบรอบถึงเหตุผลที่หนีหายมาแบบนั้น แต่ก็โล่งใจได้แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เมื่อแนนนี่แว้ดใส่เสียงแหลม
“เชื่อมึงกูก็ออกลูกเป็นลิงแล้วอีเนย!!” ปลายนิ้วเรียวจิ้มจึกๆ บนหน้าผากมนของเนย ใครเชื่อคำพูดของอีเนยคือคนประสาทขอบอกเลย สงบสติอารมณ์บ้าบออะไร หอบผ้าหอบผ่อนหนีมาเหมือนคนหนีหนี้ แถมยังปิดโทรศัพท์หนีหายเหมือนตายจาก ถ้าวันนี้ไม่มีงานและเนยไม่ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ คิดว่าจะได้เจอหน้าไหม
เหอะ! ไม่มีทาง ฟันธง!!
“ถามจริงนะ มึงมีเรื่องอะไรกับโดมกันแน่ ทำไมมึงต้องทำตัวประสาทขนาดนี้ด้วย ถ้ามึงไม่โอเคที่จะรีเทิร์นมึงก็ปฏิเสธตรงๆ ไปเลย” ร่ายยาวเพราะหมั่นไส้ปนรำคาญเต็มทน อาลัยอาวรณ์ขนาดนี้แท้ๆ แต่พอเขามาก็เผ่นแน่บ เธอละปวดหัวกับเพื่อนตัวเอง
“รีเทิร์นอะไรเล่า! กูยังไม่ได้เลิกกันซะหน่อย”
เสียงงึมงำอันแสนกระเง้ากระงอดและใบหน้างอเง้าของเนย ทำเอาคิ้วของแนนนี่ขมวดมุ่น ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความฉงน
“มึงหมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความอย่างที่บอกนั่นแหละ” ไม่ได้อยากจะตีรวน แต่มันรู้สึกกระดากยังไงก็ไม่รู้ที่จะเปิดปากพูดในเชิงลึกเอาป่านนี้ ทั้งที่เงียบสนิทมาตลอดสี่ปี
“อย่ากวนกูนะเนย มึงดูหน้ากูด้วยว่ามันกำลังซีเรียส และพร้อมจะมีตีนกาขึ้นเหยียบบนหน้ามากแค่ไหน มึงง้างปากคายทุกอย่างออกมาเดี๋ยวนี้!!” หมุนเก้าอี้ให้หันมาเผชิญหน้าพร้อมกับส่งสายตากดดัน ถ้าวันนี้เธอไม่ได้คำตอบที่สงสัยมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา แถลงข่าวเรื่องการแต่งงานสายฟ้าแลบวันนี้ก็เตรียมล่มไปได้เลย เพราะเธอไม่สนและจะไม่แคร์อะไรทั้งนั้น
“ทำไมมึงชอบยุ่งจังวะ” แกล้งทำเป็นหงุดหงิดเพื่อกลบเกลื่อน แต่ความจริงคือไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหน รังสีกดดันที่สาดมาอย่างไม่ลดละทำให้ต้องเหลือบตาไปมอง ก่อนที่จะต้องรีบหลบเป็นพัลวัน
ไม่กล้าสู้หน้าเลยอ่ะ ฮือ…
“อี...”
“เออๆ กูรู้แล้ว ไม่ต้องทำเสียงแบบนั้นใส่กู”
เนยกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย ใบหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง และหันกลับไปเผชิญหน้ากับแนนนี่อย่างจำยอม จากนั้นเรื่องราวที่เก็บงำมาเนิ่นนานก็ถูกถ่ายทอดออกไปช้าๆ อย่างไม่ให้มีเนื้อหาใดตกหล่น
“มึงอย่าเงียบดิวะ ก็เล่าให้ฟังแล้วไง” เนยถึงกับหน้าเจื่อน เมื่อแนนนี่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยสักคำหลังจากที่ฟังจบ สองมือจับลงบนหัวเข่าแนนนี่แล้วเขย่าเบาๆ หัวใจฝ่อไปไม่น้อยเลย แม้จะคิดไว้อยู่แล้วว่าถ้าวันไหนที่แนนนี่รู้ความจริง อีกฝ่ายจะต้องโกรธมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็รับมือไม่ถูกอยู่ดี
“เอาตรงๆ ไหม? กูอยากตบมึงมากตอนนี้” แนนนี่ขึงตาใส่ พยายามอย่างมากในการบังคับไม่ให้ตัวเองมือไว เอื้อมไปตบกะโหลกของไอ้เพื่อนรัก ที่กล้าดีเหลือเกิน กล้าปิดบังเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับเธอมาตั้งหลายปี อารมณ์ตอนนี้บอกเลยว่าบรรยายไม่ถูก โกรธก็ไม่ใช่ ตกใจก็ไม่เชิง น้อยใจก็มีบ้างนิดหน่อย แต่โดยรวมคือแยกไม่ค่อยออกสักเท่าไรว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ อาจจะเพราะเรื่องมันนานด้วยล่ะมั้ง
“กูไม่ได้อยากจะปิดมึงนะเว้ย! แต่ว่ากูกลัว”
“กลัว?”
“กูกลัวว่ามึงจะเกลียดโดม”
คำตอบพร้อมกับสีหน้าที่หมองลง และแววตาที่สั่นไหวอย่างรุนแรงของเนย ทำให้แนนนี่หลุดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะนิ่งเงียบและทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี รอคอยเนยเอ่ยความนัยอย่างใจเย็น
“ตอนนั้นกูมืดแปดด้านไปหมด หันไปไหนก็เจอแต่กำแพงสูงๆ ที่ไม่มีทางออก กูโคตรอึดอัดเลย จะบอกมึงก็ไม่ได้กับพี่กู้ยิ่งไม่ต้องพูด กูแม่งไม่กล้าบอกอะไรกับใครเลย กูไม่อยากให้ใครมองโดมไม่ดี กููไม่อยากให้คนที่กูรักเกลียดโดม”
ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย และสีหน้าทรมานของเนยเป็นเครื่องยืนยันชั้นดี ว่าสิ่งที่ต้องกักเก็บเอาไว้มาตลอดนั้นมันสร้างความอึดอัดให้กับตัวเองแค่ไหน
แนนนี่รับฟังการระบายอย่างอัดอั้นตันใจของเนยแล้วก็ได้แต่เงียบ มันไม่ผิดไปจากที่เนยคาดเดาเลยสักนิด ถ้าหากเมื่อสี่ปีก่อนเธอได้รับรู้ถึงสิ่งที่โดมเคยทำในอดีต เธอคงเกลียดชายหนุ่มจนไม่อยากอยู่ร่วมโลก และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหมอฟลุ๊คคงตัดขาดจากกันตั้งแต่วันนั้นอย่างแน่นอน จะมีกี่คนกันเล่าที่ทำใจให้นิ่งเฉยได้ และเธอในตอนนั้นก็คงทำไม่ได้
หากแต่วันนี้ ในวันที่เธอเองโตขึ้น มองโลกอย่างเข้าใจมากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในวันนี้ ไม่ใช่ความโกรธเคืองหรือเกลียดชัง แต่มันคือความเห็นอกเห็นใจ และสะเทือนใจไปในเวลาเดียวกัน กับชะตากรรมที่คนทั้งคู่ต้องเจอ
“ขอโทษนะเว้ย ที่กูไม่รู้อะไรเลย” หากจะมีสิ่งไหนที่เป็นตะกอนในหัวใจของแนนนี่ก็คงจะเป็นเรื่องนี้ มันเป็นความรู้สึกเศร้าอยู่ในอกในฐานะของความเป็นเพื่อน ที่เวลานั้นเธอไม่โตมากพอให้เนยวางใจ จนอีกฝ่ายต้องแบกความทุกข์ทรมานไว้คนเดียวมาเนิ่นนาน
“ก็กูไม่ได้บอกนี่หว่า” เนยฉีกยิ้มกว้าง ปลายเสียงสั่นนิดๆ คล้ายว่าจะคุมไม่อยู่ น้ำสีใสคลอที่หน่วยตา หากไม่นับกู้ที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ชีวิตก็แทบจะไม่มีใครแล้วที่เป็นหลักพึ่งทางใจนอกจากแนนนี่ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่เสมอที่กล้าปิดบังกับอีกฝ่าย
“เออ! ไม่ต้องมาซึ้งใส่กูหรอก กูน่ะแค่ทางผ่านเข้าด่าน แต่ด่านใหญ่ที่มึงต้องเจออ่ะ รู้ใช่ไหมว่ามันลำบากแค่ไหน”
คำพูดของแนนนี่ไม่ได้ต่างอะไรจากก้อนหินขนาดใหญ่ ที่ถ่วงในใจให้หนักอึ้งเลยสักนิด ก็สิ่งนี้แหละที่เนยเป็นกังวลที่สุด มากกว่าการกลับไปสานต่อความสัมพันธ์ที่เคยเว้นระยะห่าง ก็คือการที่จะบอกกับกู้อย่างไรดีถึงความจริงทั้งหมด
“เอาน่ามึง บางทีมันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็ได้ พี่กู้เขาโตกว่ามึงและเข้มแข็งกว่ามึงอีกนะ” แนนนี่ตบไหล่ของเนยปุๆ ให้กำลังใจ
“แต่เรื่องนี้มัน...”
“กูรู้ว่ามึงจะพูดอะไร แต่เชื่อกูสิ เพศแม่น่ะอ่อนหวานก็จริง แต่ความสตรองไม่ได้แพ้ผู้ชายอกสามศอกหรอกนะ ยิ่งหวานแหววแบบมึงเนี่ย ยังห่างไกลนัก หัวใจของผู้หญิงคืออัญมณีที่แกร่งยิ่งกว่าเพชรซะอีก มึงไม่รู้หรือไง”
เนยขมวดคิ้วมุ่น ต่อต้านคำพูดของแนนนี่อยู่ในใจ เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินในสิ่งที่แนนนี่ว่ามาเลยสักนิด หัวใจแกร่งกว่าเพชร ขี้โม้ชัดๆ
“หน้าตามึงนี่บอกมาเลยนะว่ากำลังนินทากูในใจ เดี๋ยวก็ตบกะโหลกร้าวซะเลย เดี๊ยะๆ” ขึงตาใส่พร้อมกับมือเรียวที่ง้างขึ้นสูงอย่างข่มขู่ อารมณ์ซาบซึ้งเห็นใจเมื่อไม่กี่นาทีก่อนถูกพัดปลิวหายจนหมดสิ้น มันเป็นอย่างนี้ให้ได้ตลอดสินะระหว่างเธอกับเนย จะดีๆ เป็นผู้เป็นคนกับเขาเกิน 5 นาทีไม่ได้เลย ชักจะท้อใจแล้วนะ
“อย่าทำหน้าบึ้งน่า เดี๋ยวมึงต้องออกไปแถลงข่าวกับสื่อนะ ว่าที่เจ้าสาวรอยย่นขึ้นหน้าจะหาว่ากูไม่เตือนไม่ได้นะเว้ย!” เนยแกล้งเย้า ผลที่ได้คือดวงตาที่แต่งแต้มอย่างสวยงามของแนนนี่ที่ถลึงใส่มากกว่าเดิม
“เรื่องกวนตีนกูน่ะเก่ง ทีเรื่องตัวเองไม่เห็นเก่งแบบนี้” ตาคู่สวยจิกใส่ ก่อนจะคว้ากระจกขึ้นมาเช็กใบหน้าของตัวเอง
“มันคนละเรื่องนี่หว่า”
“จ้า!! คนละเรื่อง”
เนยหน้ามุ่ยเล็กน้อยเมื่อเจอแนนนี่แดกดันด้วยความจริงที่ไม่อยากจะยอมรับ ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ไม่ใช่เขาไม่ดีใจสักหน่อยที่ได้เจอหน้า แต่พอสติมันกลับเขาร่าง หัวใจ ร่างกาย มันทำงานไม่สัมพันธ์กันไปซะหมด จู่ๆ ก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาซะอย่างนั้น ไหนจะเรื่องในอนาคตที่จะต้องเผชิญอีก มันหลายเรื่องจนตั้งรับไม่ทันจริงๆ ที่บอกว่ากลับมาตั้งหลักเพื่อสงบสติอารมณ์น่ะ มีความจริงอยู่ในนั้นเกินครึ่งเลยนะ เพราะถ้าเขายังขืนอยู่ต่อ เขาอาจจะสติแตกก็ได้
ที่มากไปกว่านั้น เขายังไม่ได้เอ่ยปากว่าให้โดมมาเจอหน้ากันเลยสักนิด แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงได้มาโผล่แบบไม่ให้สุ้มให้เสียงกันเล่า! จะเอาเวลาที่ไหนไปเตรียมตัวเตรียมใจทัน ทั้งที่ตั้งใจว่าถ้าเจอกันอีกครั้ง โดมจะต้องได้เจอเขาในรูปแบบที่ต่างไปจากอดีต แต่นี่อะไร...แผนล่มไม่เป็นท่า
คอยดูนะ! เจอหน้าอีกที เขาจะบิดให้เนื้อเขียว!