Chapter 2
แต่ถึงจะบอกตัวเองแบบนั้น ปริญญ์ก็ยังคงหมั่นแวะเวียนมาที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการของตุลย์อย่างสม่ำเสมอทำแบบนี้จนเข้าวันที่สองแล้ว โดยตอนนี้ชายหนุ่มเข้าพักที่รีสอร์ตของเพื่อนสนิทยังดีที่งานของเขานั้นทำจากที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทให้วุ่นวาย
หลังหมดเวลาเยี่ยมปริญญ์ก็ขับรถกลับที่พัก ระหว่างทางก็มองเห็นขบวนรถบิ๊กไบค์หลายสิบคัน ซึ่งแปดในสิบน่าจะเป็นรถที่บริษัทเขานำเข้า เพราะใจรักบิ๊กไบค์เขาจึงตัดสินใจเปิดธุรกิจนำเข้ารถประเภทนี้และก็มีสะสมเป็นของตัวเองหลายสิบคัน
ชายหนุ่มขี่รถสปอร์ตคันสวยที่นานๆ จะขับสักครั้งไปตามถนนเส้นรองกระทั่งผ่านจุดเกิดเหตุเมื่อหลายวันก่อนก็ได้แต่ภาวนาให้ชายปริศนาที่รู้เพียงแค่ชื่อคนนั้นได้สติในเร็ววัน ปริญญ์ขับรถมาเรื่อยๆ กระทั่งรีสอร์ตของวริช
“เด็กนั่นได้สติหรือยัง” เจ้าของรีสอร์ตระดับสี่ดาวเอ่ยถามปริญญ์ขึ้นทันทีที่เจอหน้า
“ยัง”
“สลบไปนานเหมือนกันนะนั่น หวังว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรง”
“อืม...อย่างน้อยตอนนี้หมอก็ให้ออกจากห้องไอซียูได้แล้ว” ปริญญ์เองก็หวังแบบนั้น ก่อนที่ทั้งสองจะไปนั่งกินมื้อเย็นด้วยกัน ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ครอบครัวของวริชทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมและรีสอร์ตมาหลายรุ่น ส่วนครอบครัวของปริญญ์นั้นก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้ารถยนต์หรูเช่นกัน
ทั้งคู่มีพื้นฐานทางครอบครัวค่อนข้างสมบูรณ์ ไม่ได้ขาดเหลืออะไร แต่ก็เลือกที่จะเดินออกมาสร้างหนทางด้วยตัวเองกันทั้งคู่ กว่าจะมีวันนี้ก็เจ็บตัวกันมาไม่น้อย แต่ดูเหมือนปัญหาพวกนั้นจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะมันสามารถทำให้ปริญญ์หน้านิ่วคิ้วขมวดได้ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขากรอกเหล้าเข้าปากราวกับน้ำเปล่า
“เบาๆ เดี๋ยวเมา”
“แค่นี้ไม่เมาหรอก”
“ลืมไปว่านายคอทองแดง แต่ดื่มหนักขนาดนี้กลุ้มใจอะไรไหนเล่ามาให้ฟังสิ”
“ที่บ้านอยากให้เราแต่งงานวะ” หลังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกระดกเหล้าเพียวๆ ไปอีกหลายอึก ในที่สุดปริญญ์ก็ยอมพูดออกมา
“กับใคร”
“ลูกสาวเพื่อนคุณพ่อ เห็นว่าพึ่งเรียนจบจากเมืองนอก” นั่นคือสิ่งที่ปริญญ์ได้รู้มาเมื่อเดือนก่อน ครั้งแรกที่ครอบครัวเรียกเข้าไปคุยเรื่องนี้เขายอมรับว่าตกใจพร้อมกับคัดค้านเรื่องแต่งงานแบบคลุมถุงชนนี่ทันที และนั่นก็ทำให้พ่อโกรธจนไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็คล้ายจะเข้าใจแต่ก็ยังเอนเอียงไปทางพ่ออยู่ดี
“เคยเจอตัวจริงหรือยัง”
“ยัง...แต่กลับไปคงได้เจอ นี่มันสมัยไหนกันแล้ว ทำไมพวกผู้ใหญ่ต้องจัดแจงเรื่องพวกนี้ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ คิดแล้วปวดหัวฉิบ”
“เขาคงอยากให้นายได้เจอคนดีๆ มั้ง อีกอย่างการแต่งงานแบบนี้ส่วนใหญ่จะแฝงผลประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมาด้วย”
“นั่นแหละยิ่งไม่ชอบ นายก็รู้จักเราดี ว่าเราไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนได้ทั้งนั้น”
“เรารู้ แต่คนอื่นเขาไม่รู้นี่หว่า” วริชรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของปริญญ์เป็นแบบไหน เพราะเขาเองก็เป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน
“งั้นก็คงถึงเวลาทำให้คนอื่นรู้”
“แววบ้านแตกมารางๆ” เอ่ยจบวริชก็ตบบ่าของปริญญ์หนักๆ ดูท่าแล้วอีกฝ่ายจะกลุ้มใจเรื่องนี้มากไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่เครียดขนาดนี้
เพราะเท่าที่เขารู้มาทางครอบครัวยังไม่มีใครรู้เรื่องรสนิยมความรักเพศเดียวกันของปริญญ์ ส่วนคนนอกที่รู้ก็มีเขากับบรรดาเพื่อนๆ อีกไม่กี่คน ซึ่งทุกคนก็ปิดปากเงียบมาหลายปี จะว่าไปเพื่อนทุกคนในกลุ่มก็ล้วนแต่มีรสนิยมเรื่องเพศคล้ายกัน เขาก็มั่นใจด้วยว่าไม่มีใครเปิดเผยความลับของอีกฝ่ายแน่นอน
“แล้วเรื่องที่โรงพยาบาลเอาไง”
“ลูกหมาลูกแมวหลงทางมายังให้ข้าวให้น้ำกินต่อชีวิต นี่คนถูกฆ่าเชียวนะ ดีที่คืนนั้นเราไม่ชนตายไปเสียก่อน”
“ไม่มีญาติที่ไหนติดต่อมาบ้างเหรอ”
“ยังไม่มี หลักๆ ตอนนี้คือต้องรอให้ฟื้นมาก่อน จะเอายังไงก็ค่อยให้เจ้าตัวตัดสินใจ”
“คนดี”
“อ้าว! พูดแบบนี้ที่ผ่านมาเหมือนเราเลวชอบกล” คำพูดของปริญญ์ทำให้วริชหัวเราะออกมา เพื่อนเขาหรือคนเลวถ้าปริญญ์เรียกว่าเลวบนโลกใบนี้คงไม่มีคนดีหลงเหลือ
ทั้งสองนั่งดื่มเหล้าและคุยกันอยู่หลายชั่วโมงกระทั่งแยกย้ายกันพักผ่อน ปริญญ์เดินกลับมายังห้องพักยังไม่ทันจะได้หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอเห็นว่าใครโทรมาชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะกดรับสาย เพราะนี่มันก็ดึกมาแล้วถ้าไม่มีเรื่องด่วนคงไม่โทรมาแน่
“ครับคุณพ่อ”
“เมื่อไหร่จะกลับกรุงเทพฯ” น้ำเสียงนิ่งๆ ของโกมลเอ่ยถาม นั่นเพราะอยากให้ปริญญ์ทำความรู้จักกับว่าที่สะใภ้มากนั่นเอง
“อีกสามสี่วันครับ”
“หนูศศิกลับมาเมืองไทยก่อนกำหนด พ่ออยากให้ปริญญ์ไปเจอน้อง ทำความรู้จักกันไว้เสียแต่ตอนนี้เพราะอีกหน่อยก็จะแต่งงานกันแล้ว ส่วนเรื่องกำหนดวันแต่งงาน พ่อจะเป็นคนหาฤกษ์ให้เร็วที่สุด เตรียมตัวให้พร้อมแล้วกัน”
“คุณพ่อครับ คุณพ่อ” ปริญญ์เอ่ยเรียกผู้เป็นพ่อแต่ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับตัดบทด้วยการกดวางสายไปแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างกลัดกลุ้มก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแล้วยกแขนขึ้นก่ายบนหน้าผากตัวเอง หัวคิ้วหนาทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันดูยุ่งเหยิง
แต่ไม่นานใบหน้าเคร่งเครียดก็ผุดรอยยิ้มขึ้นตรงมุมปาก ในเมื่อพ่อบีบบังคับให้เขาอับจนหนทางแบบนี้แล้วคงไม่เป็นอะไรถ้าเขาจะลองเปลี่ยนแผนการรับมือดูสักครั้ง เพราะหากยอมแต่งงานตามที่พ่อบังคับคนที่ทุกข์ใจที่สุดไม่น่าจะมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น