“อึก... จะมารับทำไมเนี่ย!”
“..พ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าบาทพลัดตกลงมาจากชั้นสามจะให้กระหม่อมยืนอยู่เฉย ๆ รึพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไอ้บ้า! ฉันอุตส่าห์จะได้ฆ่าตัวตายดี ๆ แล้วเชียว!”
การเข้าไปช่วยด้วยความหวังดีก็กลายเป็นว่าโดนตำหนิเสียอย่างนั้น อัศวินหนุ่มรูปงามจ้องมองท่าทางดิ้นโวยวายด้วยสีหน้านิ่งเรียบไม่ต่างจากเดิมเหมือนกับหุ่นเชิด ขณะอีกฝ่ายเอาแต่ร้องตะโกนโหวกเหวกไม่สบอารมณ์ที่การตายครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จไปตามคาด
“เฮ่อ น่าเบื่อชะมัด ปล่อยลงได้แล้ว!”
“พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อถูกโวยวายใส่เข้า ชายหนุ่มร่างสูงก็ค่อย ๆ ประคองร่างของราชินีผู้ถูกตนเองอุ้มเอาไว้วางลงอย่างระมัดระวัง “ขออภัยฝ่าบาทที่กระหม่อมล่วงเกิน” เขาโค้งคำนับด้วยความนอบน้อมและน้ำเสียงโทนต่ำ
“ช่างเถอะ บางทีพระเจ้าอาจยังไม่ให้ฉันตายตอนนี้ก็ได้”
“ทำไมพระองค์ทรงทำเช่นนี้?”
“...เลิกถามมากได้แล้ว นายเป็นใครกันเนี่ย?”
เมื่อถูกเอ่ยถามถึงชื่อเสียงเรียงนาม อัศวินหนุ่มก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าแล้วกล่าวขานด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงถึงชื่อของเขา
“ขอถวายด้วยเกียรติแด่องค์จักรพรรดินี กระหม่อมสเปซ เกรย์เออร์ พึ่งได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นอัศวินผู้พิทักษ์องค์จักรพรรดินีนับตั้งแต่นี้พ่ะย่ะค่ะ”
“...ฮ่ะ แต่งตั้ง? ฉันจำได้ว่าหน่วยนี้เรามีอยู่แล้วถ้าไม่...แม่งเอ๊ยไอ้เวรควอนซีเรียส”
ว่าแล้วก็นึกขึ้นมาได้ ว่าตั้งแต่เช้าเมอลิเซนแทบไม่เจออัศวินหนุ่มสองคนที่พึ่งร่วมรักกันไปเมื่อวานนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว และก็พอจะเดาได้ทันทีว่าคงโดนจักรพรรดิหิ้วไปเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้าสุดซังกะตายยืนกระตุกส้นเท้าไปมาด้วยท่าทางหงุดหงิด เขาไล่สายตามองไปยังสเปซผู้ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของเขาราวกับรอรับคำสั่งเหมือนสุนัขตัวโต
“ลุกขึ้นมา”
“พ่ะย่ะค่ะ” เขาลุกขึ้นยืนตัวตรงท่าทางสง่าผ่าเผย จ้องมองทางตรงหน้าไม่แม้แต่จะมองมาที่เมอลิเซนจนเหมือนหุ่นกระบอกไปแล้วจริง ๆ
“นี่ มองมาทางนี้” นัยน์ตาสีน้ำเงินทึบจ้องตอบรับมายังดวงตาสองสีตามคำสั่งอย่างว่าง่าย “อืม...ควอนมันโง่หรือเปล่าที่แต่งตั้งอัศวินหน้าตาดีมาแทนที่คนเก่า”
เมื่อนั้นเองเมอลิเซนก็บรรจงเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาอัศวินหนุ่มหล่อคนดังกล่าว สีหน้าของสเปซกระตุกอยู่เล็ก ๆ ในบางจังหวะ ปลายนิ้วเรียวเล็กค่อย ๆ ไล่ขึ้นไปสัมผัสเนินอกผ่านชุดเสื้อผ้าที่ขั้นกลางระหว่างฝ่ามือขึ้นไปยังปกเสื้อแข็ง ๆ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ? อึก” มือดึงคอเสื้อให้กระชับเข้าใกล้ ริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบจูบกันในทันที สเปซยังคงปิดปากขณะที่ลิ้นเล็กพยายามดันเข้าไปเพื่อรุกล้ำด้านในโพรงปากของเขา
“เปิดปากสิ”
“องค์ราชิ- อืม..” ลิ้นเรียวถูกสอดใส่เข้ามาเพียงแค่ริมฝีปากเปิดออกเล็กน้อยราวกับว่ามันกำลังรอจังหวะนี้อยู่ ความหวานเล็ก ๆ แผ่ซ่านเข้าไปด้านในโพรงปากของชายหนุ่มผู้ไม่ทันตั้งตัวต่อการกระทำของคนตรงหน้าที่ยากจะคาดเดา
“อ..อื้มม~ หงึ”
มือหนาพยายามโอบรั้งเอวเล็ก ๆ นั่น แต่เขาก็ไม่อาจลุ่มหลงไปกับน้ำเสียงหวาน ๆ เอื้อนคลออย่างแผ่วเบาอยู่ในลำคอ ลิ้นคืบคลานสอดใส่พยายามเกี่ยวเพื่อลองเชิงให้คนตรงหน้าต้องยอมจำนนแต่มันก็ไม่อาจเป็นไปได้ดั่งใจเลยสักนิด
“ชิ เสียเวลาชะมัด” ราชินีท่าทางหมดความหวัง เขาผละริมฝีปากออกจากจูบแห้ง ๆ ที่ไม่สามารถให้เขานั้นสุขสมได้ “จูบห่วยแตกขนาดนี้อย่ามาเข้าใกล้ฉันเชียว”
“..กระหม่อมขออภัยเป็นอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านแม่?”
เสียงของเด็กชายเอ่ยขึ้นจากด้านหลังราวกับเป็นตัวนำพาให้เขาทั้งสองต้องละความสนใจจากเรื่องดังกล่าว พวกเขาจ้องมองไปยังเจ้าของเสียงผู้เอ่ยทักและวิ่งเข้ามาด้วยเท้าเล็ก ๆ คู่นั้น
“ท่านแม่!”
“...เชอร์รีส?”
เมอลิเซนยืนนิ่งจ้องมองเด็กชายผิวขาววัยสี่ขวบผู้มีเรือนผมสีดำขณะดวงตาเป็นสีฟ้าสว่างทอประกายเหมือนกับดวงตาสีฟ้าด้านหนึ่งของเขา อัศวินหนุ่มไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ เขาจ้องมองเด็กน้อยที่วิ่งเข้ามากอดขาราชินีเอาไว้แน่น
‘เร็น..เด็กคนนี้ตัวเท่าเขาเลยแฮะ’
“ท่านแม่ ทำไมดวงตาของท่านแม่ถึง...” เจ้าของใบหน้าพริ้มเพราค่อย ๆ ย่อตัวลงเพื่อจ้องมองเด็กน้อยดวงตากลมโตให้เห็นใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน เขาลืมที่จะตอบคำถามเด็กชายเพียงแต่ไล่มือลูบไปยังแก้มนุ่ม ๆ เหมือนซาลาเปาทั้งสองข้างแล้วดึงมันเล็กน้อย
“น่ารักจังเราน่ะหื้ม”
“อ๊ะ~ ท่านแม่อย่าดึงแก้มผมสิฮะ~”
“ก็เรามันน่ารักนี่หื้ม แล้วก็ไม่เรียกแม่ให้เรียกปะป๊านะ” ว่าแล้วก็เข้าไปกอดเด็กน้อยแล้วอุ้มตัวลอยลิ่ว
“ป..ปะป๊ะ? ท่านปะป๊า? ทำไมถึงให้ผมเรียกแบบนี้ล่ะฮะ?”
“ไม่ ปะป๊าก็พอ แบบนี้น่ารักกว่าเรียกแม่อีก เรียกแบบนี้นะตกลงไหม?”
“อืมมมม” เด็กชายขมวดคิ้วพลางใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อื้อ! ถึงจะไม่คุ้นเท่าไหร่ แต่เชอร์รีสจะพยายามฮะปะป๊า!” เด็กน้อยหรี่ยิ้มเอ่ยเรียกคำนั้นซ้ำอีกครั้งด้วยท่าทางดีใจ ขณะผู้เป็นแม่ค่อย ๆ อุ้มเดินออกไปจากสวนด้านนอกเพื่อพาไป ณ ห้องนอนของเขา แต่ระหว่างนั้นก็ได้ปรายตามองกลับไปยังสเปซที่ยังคงยืนอยู่กับที่แทบไม่ขยับไปไหน
“จะไปไหนก็ไปเจ้าไร้น้ำยา” พูดไล่ส่งอัศวินหนุ่มแทบไม่สนใจเลยสักนิด จากนั้นก็เดินกลับไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
หนุ่มอัศวินผู้มีรูปร่างสูงและไหล่กว้างยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขาจ้องมองแผ่นหลังบาง ๆ เดินหายจนลับสายตาของเขาไป ขณะนัยน์ตาสีน้ำเงินเริ่มแปรเป็นสีฟ้าใสของน้ำทะเลจากจิตใจของเขาที่ไม่อาจมั่นคง แต่แล้วก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นทาบริมฝีปากด้วยความประหม่า
“ไหนใครว่าเรียบร้อยแสนดีไงเล่า นี่มันหมาบ้าชัด ๆ แถมยัง..เอาจูบแรกของเราไปอีก.. จักรพรรดินีแห่งเฮเลสสเตเฟอร์เหรอ? ...น่าสนใจ”
“ฝ่าบาท จะทรงไปที่เยือนใดหรือเพคะ?”
“อยู่ในวังแล้วเหม็นขี้หน้าผู้ชายน่ารำคาญที่เอาแต่ส่งจดหมายเชิญทานข้าวมาทุกวันน่ะสิ ว่าจะออกไปเดินเล่นในเมือง”
“ถ้าเช่นนั้นให้องครักษ์หรืออัศวินติดตามไปด้วยเถอะเพคะ”
“ไม่ล่ะ ฉันจะไปเงียบ ๆ ขืนพาไปด้วยมีหวังชาวเมืองแตกตื่นกันพอดี ถ้าเรื่องถึงหูควอนจะทำยังไง? เธอก็รู้อยู่ช่วงนี้เจ้านั่นผีเข้าผีออกอยู่บ่อย ๆ น่ะสิ”
“แต่ว่-”
“นาร์ซิสซา” นัยน์ตาสีแดงและฟ้าจ้องมองหญิงสาวด้วยความกดดันจนเธอถึงกับหน้าซีด “ฉันไปไม่นานจะรีบกลับ”
“...เพคะ ถ้าเช่นนั้นโปรดรักษาพระวรกายด้วยเพคะ อย่าไปนานนะเพคะแล้วก็พกเงินเพียสติดตัวไว้ด้วยเพคะ”
“ครับ ๆ รู้แล้ว~ ไปแล้วนะ”
ได้จังหวะหนีออกมาเที่ยวด้านนอกโดยไร้ความกังวลดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที เมอลิเซนสวมชุดของคนสวนในวังที่ไปหยิบยืมมาพร้อม ๆ กับเสื้อคลุมเพื่ออำพรางผู้คนไม่ให้จำตนเองได้ ไหนจะดวงตาอันโดดเด่นที่ต้องปกปิดเอาไว้ หากถูกใครพบเข้าก็คงเป็นเรื่องลำบากจนถึงหูควอนเป็นแน่แท้
“ว้าว..บรรยากาศเมืองดีจัง เหมือนในนิยายเลยแฮะ”
เมืองเต็มไปด้วยผู้คนเดินไปมาจนเต็มถนน ร้านค้าเรียงรายอยู่ตามทางไม่มีร้านไหนเลยที่ไร้ลูกค้า มันช่างสงบและไม่มีเหล่าทหารหรือองครักษ์เดินราดตระเวนแต่ก็ดันไม่มีเรื่องการปล้นหรือชิงทรัพย์กันให้เห็นจนน่าแปลกใจ
“นับถือเลยแฮะ.. การบริหารบ้านเมืองของหมอนี่สุดยอดจริง ๆ ถ้าตัดเรื่องศีลข้อสาม.. ไม่สิเรามันก็พอ ๆ กันนั่นแหละ” ไม่ว่าจะไปที่ใดก็แทบไม่มีเรื่องแปลก ๆ ที่มักเกิดขึ้นกับโลกที่ตนเองจากมาจนน่าแปลกใจ แม้แต่ตามตรอกซอกซอยก็แทบไม่เจอเลยสักนิด
“ชิ ไม่มีปล้นฆ่ากันเลยเหรอ? แบบนี้น่าเบื่อแย่เลยสิโลกสงบขนาดนี้น่ะ อะ..”
ระหว่างเดินไปเรื่อยเปื่อยท่ามกลางเมืองแสนสุข สายตาของเขาก็พลันมองไปยังป้ายประกาศว่าจ้างกำจัดสัตว์ร้ายนอกพื้นที่ที่แทบไม่มีใครสนใจจะแลมันเลยสักนิด เขายืนจ้องมองใบประกาศที่เขียนด้วยภาษาของโลกใบนี้แต่มันกลับอ่านได้ง่ายจากความทรงจำเก่าของเมอลิเซน องค์ราชินีตัวจริงผู้เคยอยู่อาศัยในร่างนี้ได้หลงเหลือเอาไว้ให้
“ล่ามังกรในป่าทางทิศใต้ รางวัลนำจับสามล้านเพียส ถ้าตามเงินในโลกเราก็...สามล้านห้า? เยอะอยู่นะเนี่ย น่าสนใจ ลองรับดีไหมนะไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว” เมื่อตัดสินใจได้ในทันทีทันใด ว่าแล้วก็ดึงใบกระดาษรางวัลค่าหัวของมังกรไฟที่ค่าตัวสุดแสนแพงโดยไม่ต้องคิด “จะว่าไป ไม่มีอาวุธเลยสิ ถ้าเป็นตรีมยุคต่างโลกประยุกต์แบบนี้น่าจะมีร้านตีดาบอยู่นะ.. โอ๊ะนั่นไง”
สายตาเฉียบแหลมจ้องไปยังร้านตีดาบที่อยู่ไม่ไกล มันเป็นร้านเดียวที่แทบไม่มีใครเข้าไป คงเพราะว่าที่นี่ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากลูกค้าจะมีน้อยหรือไม่มีเลย นอกจากเหล่าทหารอัศวินหรือองครักษ์จากในวังที่คงนาน ๆ ครั้งจะออกมาให้ช่างตีดาบขัดเกลาดาบของพวกเขา
ฝีเท้าก้าวตรงไปยังร้านดังกล่าวสุดแสนจะเงียบเชียบ มันให้บรรยากาศแอบคล้ายกับโลกปกติที่มักจะมีร้านค้าอาวุธถูกกฎหมายที่ถึงแม้จะมีลูกค้าแวะเวียนมาอยู่บ้างแต่ก็มักจะเป็นลูกค้าผู้ทำงานเฉพาะทางเสียส่วนใหญ่
“ได้มีจดหมายอนุญาตจากทางการมาหรือไม่? ทางร้านของเราจะขายอาวุธให้กับผู้ที่มีใบอนุญาตจากทางหน่วยอัศวินชั้นสูงหรือผู้ที่มีประสบการณ์เช่นนักล่าค่าหัวเท่านั้นครับ”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวแทนใบหน้าคมเข้มเข้ากับดวงตาสีเขียวเอ่ยถามทันทีเมื่อเมอลิเซนก้าวเท้าเข้ามาภายในร้าน นัยน์ตาสีเขียวจดจ้องไปยังลูกค้าปริศนาผู้เดินตรงเข้ามายังหน้าเคาน์เตอร์ไม้สลักที่ซ่อนใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมผืนยาว
“เรากำลังมองหาดาบที่ดีที่สุดภายในร้านนี้”
“แน่นอนครับ ดาบทุกเล่มในร้านล้วนถูกรังสรรค์มาอย่างดีโดยฝีมือช่างตีดาบอันดับหนึ่งของเมืองนี้อย่างท่านพ่อของผม แต่สิ่งที่ผมต้องการจากคุณผู้ชายคือใบอนุญาตทางการของอัศวินครับ”
“เท่านี้พอหรือเปล่า?” ร่างบางหยิบถุงเงินจำนวนหนึ่งวางไว้ตรงหน้า เหรียญสีทองจำนวนมากไหลล้นออกมาจากถุงช่างล่อตาล่อใจเสียเหลือเกิน
“...คุณผู้ชายครับ ถึงคุณจะมีอำนาจหรือเงินมากขนาดไหนผมก็ไม่สามารถขายให้ได้หรอกนะครับ ถ้าคุณไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ” พ่อค้าหนุ่มกล่าวย้ำอีกครั้ง เขาแทบไม่สนจำนวนเงินตั้งมากที่กองอยู่ตรงหน้าเขา พลางใช้สายตาเฉียบแหลมจ้องตอบไปยังลูกค้าแปลกหน้าผู้มาเยือน
“ถ้าผู้ที่ได้รับอนุญาตเป็นคนชนชั้นสูงจากในวังแบบนั้นก็ได้ใช่ไหม?”
“จะต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยอัศวินขึ้นไปจนถึงชนชั้นกษัตริย์เท่านั้นครั-”
ผ้าฮู้ดคลุมที่ปกปิดศีรษะและใบหน้าค่อย ๆ ร่นลงมาจนเผยให้พ่อค้าหนุ่มได้เห็นว่าแขกผู้มาเยือนนั้นเป็นผู้ใด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะรีบก้าวออกมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์เพื่อลงมาโค้งคำนับองค์จักรพรรดินีแล้วกล่าวตำหนิตนเอง
“ขอถวายด้วยเกียรติแด่องค์จักรพรรดินี..กระหม่อมขออภัยที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวใช้ถ้อยคำสามัญชนกับองค์ราชินีพ่ะย่ะค่ะ!”
“ลุกขึ้นเถอะ เรื่องถ้อยคำไม่จำเป็นหรอกเราไม่ได้มาแบบเป็นทางการ เช่นนั้นแล้วไม่อยากให้เรื่องที่เรามาเยือนร้านนี้แพร่ออกไปให้คนภายนอกรับรู้จะดีที่สุด”
“กระหม่อมจะปิดปากตัวเองให้สนิทพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์อยากได้ดาบที่ดีที่สุดละก็ กระหม่อมขอแนะนำดาบเล่มนี้พ่ะย่ะค่ะ” ชายร่างสูงรีบตรงไปหยิบดาบเล่มหนึ่งวางประดับไว้บนหิ้งที่ดูดีที่สุดภายในร้านลงมาให้อีกฝ่ายได้เชยชม
“....อืม เล่มนี้ดูดีอย่างที่ท่านพ่อค้าว่าจริง ๆ” ราชินีหนุ่มขยับกายเข้าไปใกล้พ่อค้าผิวแทนอีกสักหน่อย ท่าทางของอีกฝ่ายก็เริ่มตื่นตัวพยายามเลี่ยงถอยหนีทีละน้อยแต่ไม่วายก็ยังถูกขยับใกล้เข้ามาจนชิดกับเคาน์เตอร์ด้านหน้า
“อ..อ่า! ราชินีพ่ะย่ะค่ะ ก..ใกล้ไปแล้ว”
“ใกล้เหรอ? เราว่ามันยังใกล้ไม่มากพอด้วยซ้ำ” เขายื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ นัยน์ตาทั้งสองสีที่ชวนให้ดึงดูดเพียงแค่ได้จ้องมองกลิ่นฟีโรโมนก็ถาโถมเข้ามารุนแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว “ไม่อยากลองใกล้กับเราอีกสักนิดหนึ่งเหรอท่านพ่อค้า... รู้ไหมหุ่นแบบท่านน่ะดึงดูดเราตั้งแต่ตอนก้าวเข้ามาในร้านแล้วนะ”
“อ..ราชินี”