บทที่ 01
ผู้มีพระคุณ [2]
“อับโชคตายแล้วเหรอ” เมษารินทร์รีบเดินออกไปถาม ตอนแรกเธอเกือบจะเดินกลับขึ้นห้องอยู่แล้ว แต่พอได้ยินว่าอับโชคตาย เธอก็รู้สึกตกใจ นึกถึงเสียงปืนที่ได้ยินก่อนจะหมดสติขึ้นมาทันที
“ยัยคนสวย”
ทุกคนพากันมองมาที่เธอ สายตาดูตกใจที่เห็นเธอก้าวออกมาจากหลังบ้าน เพื่อนของเขาคนหนึ่งทำตาโตใส่ จ้องตาเธอไม่กะพริบ
“วอร์ม” เธอไม่ได้สนใจสายตาของเพื่อนเขาเลยสักนิดเพราะอยากรู้เรื่องของอับโชคมากกว่า
“อับโชคเป็นอะไร ถูกยิงเหรอ พวกมันยิงอับโชคใช่ไหม”
“เธอรู้จักไอ้อับโชคด้วยเหรอ”
“ใช่หมาตัวสีดำไหม”
“อืม ตัวสีดำ ผอมๆ หางตั้งๆ นั่นแหละ”
“ไอ้จิหุบปาก”
เธอจะจำเอาไว้ว่าผู้ชายหน้าตี๋ๆ ผิวซีดๆ ตัวเล็กๆ คนนั้นชื่อจิ
“พวกมึงกลับไปก่อนไป”
“เดี๋ยวสิ ฉันอยากรู้เรื่องอับโชค มันตายแล้วเหรอ มันตายเพราะฉันรึเปล่า” เธอรีบถามต่อให้รู้เรื่อง แต่กลับไม่มีใครกล้าพอจะพูดต่อสักคน สีหน้าดูหวาดๆ แล้วพากันมองไปที่เจ้าของร้านกันหมด
“วอร์ม ตกลงว่าอับโชคตายแล้วจริงๆ เหรอ”
“เป็นบ้าเหรอ ตัวอื่นมีเยอะแยะ หยิบตัวนี้มาใส่ทำไม” เขาทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามเธอ เดินไปคว้าเสื้อแจ็คเก็ตที่วางพาดอยู่ที่โซฟาด้านหลังมาส่งให้
“รับไปสิ”
พอเธอไม่รับ เขาก็แทบจะเอามันปาใส่หน้า
“ใส่” ดุเธออีกต่างหาก
เมษารินทร์รีบสวมเสื้อคลุมของเขาทับเอาไว้อีกชั้น จะคิดว่าเป็นเพราะเสื้อด้านในมันสั้นหรือดูโป๊ก็ไม่น่าใช่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาโมโหอะไร
“ตัวเก่งของนายเหรอ ขอโทษที ฉันเห็นว่ามันอยู่ด้านในสุดก็เลยคิดว่านายคงไม่ชอบมัน”
“ก็ไม่ชอบน่ะสิ”
เขาจะพูดจาดีๆ กับเธอหน่อยไม่ได้หรือไง อีกอย่างตัวเองก็เป็นคนอนุญาตให้เธอเปิดตู้เสื้อผ้าเองแท้ๆ ทำไมไม่บอกก่อนว่าตัวไหนใส่ได้ ตัวไหนใส่ไม่ได้หรือไม่อย่างนั้นก็หยิบออกมาให้เธอเสียก็สิ้นเรื่อง
“ลายน่ะ ลาย”
น้ำเสียงคนพูดฟังดูท้อแท้กับชีวิต ได้ยินแบบนั้นเธอจึงก้มมองลายเสื้อที่เป็นลายสกรีนทั่วๆ ไป จะอะไรนักหนากับอีแค่รูปร่างผู้หญิงสวมบิกินี สำหรับเธอมันไม่เห็นจะแปลกตรงไหน อีกอย่างที่เธอเลือกตัวนี้มาใส่ก็เพราะมันเป็นลายนี้นั่นแหละ บุคลิกอันธพาลอย่างเขาไม่น่าจะชอบใส่แน่ๆ ดีไม่ดีอาจจะยังไม่เคยใส่เลยด้วยซ้ำ ทำไมกลับกลายเป็นชักสีหน้าเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่นไปได้ก็ไม่รู้
“มองเหี้ยอะไรกันล่ะ ยังไม่รีบไปอีก”
หากเขาไม่หันหน้าไปทางเพื่อนของเขา เธอคงคิดว่าเขาด่าเธอแน่ๆ
จบคำเพื่อนของเขาก็พากันเดินส่ายหัวออกไป ตอนนี้จึงเหลือแค่เธอที่กลายเป็นเป้าหมาย ถูกเขามองด้วยสายตาไม่พอใจ
“เรื่องอับโชค ฉัน...”
“ตายไปแล้วก็ช่างหัวมันเถอะ” เขาพูดเหมือนไม่ใส่ใจ พูดจบแล้วก็เดินกลับไปนั่งเย็บรองเท้าต่อเงียบๆ ท่าทีซึมๆ แบบนี้ไม่รู้ว่าเป็นปกติไหม แต่เห็นแล้วเธอรู้สึกผิด
“วอร์ม”
“ของกินอยู่ในครัว หากินเอาเองแล้วกัน อิ่มแล้วก็รีบๆ ไปซะ”
ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากไล่เธอจริงๆ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะดูไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนเขา แต่คงไม่มีใครอยากเดือดร้อนเพราะช่วยคนแปลกหน้าหรอก
“ฉันไม่หิวหรอก” เธอปฏิเสธเสียงอ่อย ตั้งใจจะขอยืมโทรศัพท์ของเขาเพื่อติดต่อพ่อ แต่พอเห็นว่าเขามองมา เส้นเสียงก็เหมือนจะอักเสบ ต้องรีบก้มหน้ามองพื้นเพื่อตั้งสติ
“บ้าจริง” ตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นว่าที่พื้นเลือดเปื้อน และมันน่าจะมาจากฝ่าเท้าของเธอ พอลองมองย้อนกลับไปทางด้านหลังก็ชัดเจนเลยว่าใช่ เพราะมีเลือดเปื้อนอยู่ที่พื้นตามทางที่เธอเดินมาจริงๆ
ก่อนลงมาเธอมั่นใจว่าทำความสะอาดแผลจนสะอาดดีแล้ว ไม่ได้ใส่ยาเพราะกลัวว่าเวลาเดินมันจะเปื้อนพื้น แต่ไม่ทันคิดว่ามันจะเปื้อนเลือดแทน น่ากลัวกว่าเดิมอีกทีนี้
“นั่ง”
กำลังสอดส่องสายตามองหาทิชชูมาซับเลือดที่เท้า เสร็จแล้วจะได้รีบทำความสะอาดพื้นให้เขา แต่กลับโดนเขาจับได้เสียก่อน เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็โดนจ้องด้วยสายตาไม่พอใจ ทำหน้าตาโกรธเกรี้ยวใส่เธอไม่เลิก ชี้นิ้วไล่เธอไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังอีกต่างหาก
“เดี๋ยวฉันถูพื้นให้ก็ได้”
เขาฟังเธอพูดเสียที่ไหน ไม่รู้โกรธอะไรนักหนาทั้งที่เธอก็ไม่ได้จะปัดความรับผิดชอบสักหน่อย
เมษารินทร์เดินกะเผลกๆ มานั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กๆ ส่วนเขาเดินเข้าไปหลังบ้าน หายไปไม่นานก็เดินออกมาพร้อมกับไม้ถูพื้น ถูพื้นไป ถอยหายใจไปไม่หยุด
“หนีตายก่อนกู ฉลาดนักนะไอ้อับโชค”
ตั้งใจบ่นอับโชคหรือหลอกด่าเธอก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ต้องรีบยกเท้าขึ้นเมื่อเขาถูมาจนถึงพื้นบริเวณที่เธอนั่งอยู่ สะอาดแล้วก็เอาไม้ถูพื้นไปเก็บ ก่อนจะเดินมาหาเรื่องเธอต่อด้วยการยกเก้าอี้ตัวเล็กอีกตัวมาวางตรงหน้า ใช้สายตาสั่งให้เธอยกเท้าวางข้างบน ซึ่งต่อให้จะกลัวว่าจะทำเก้าอี้เขาเปื้อนมากแค่ไหน แต่กลัวเขาจะเอาเก้าอี้ฟาดหน้ามากกว่าอยู่ดี
“ทำแผลไม่เป็นเหรอ”
“เป็น”
“แล้วทำไมไม่ปิดแผล”
“ในถุงไม่มีผ้าก๊อซ พลาสเตอร์ยาก็ไม่มี”
“ไอ้เวร”
“ฉัน...”
“ไม่ได้ด่าเธอ”
อย่างนั้นเขาคงด่าใครสักคน แต่จะใครล่ะในเมื่อมีแค่เธอกับเขาที่นั่งมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ
“นายจะทำอะไร” เธอรีบร้องถามเมื่อจู่ๆ เขาก็นั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวที่เพิ่งจะลากมา แล้วทำท่าเหมือนจะจับเท้าเธอ
“แก้ปัญหาพื้นเลอะที่ต้นตอ”
เขาหมายถึงเช็ดเลือดที่แผลให้เธอใช่ไหม จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่อยไม่ได้หรือไง แล้วทำไมต้องพูดเหมือนหงุดหงิดตลอดเวลา
ไม่ทันร้องห้ามเขาก็โยนหมอนอิงมาให้ใบหนึ่ง ก่อนจะยกเท้าเธอวางลงบนตักของเขา นาทีนี้เธอไม่รู้ว่าควรตกใจกับอะไรก่อนระหว่างจู่ๆ เขาก็มาทำแผลให้กับหมอนอิงที่เขาโยนใส่หน้ามาเมื่อครู่
“โตมายังไงวะ”
“อาหารหลักห้าหมู่” เถียงทั้งที่ไม่กล้าเสียงดัง ท่าทางของเขาเหมือนหัวหน้าแก๊งอันธพาลในซีรีส์เกาหลีที่ชอบดักรีดไถเงินนักเรียนหญิงไม่มีผิด
“ไอ้เบียร์เรียนอยู่ป.2 มันยังทำแผลเก่งกว่าเธอเสียอีก”
“คนเรามีความถนัดไม่เหมือนกัน”
“เถียง?”
“อธิบาย”
“เหอะ”
เธอได้ยินเขาแค่นหัวเราะในลำคอ แต่ไม่เห็นว่าทำสีหน้าอย่างไร เพราะเขาเอาแต่ก้มหน้ามองแผลที่ฝ่าเท้าของเธอ จับพลิกขึ้นมาเสียจนเธอกลัวว่าข้อเท้าของเธอจะหมุนได้สามร้อยหกสิบองศา ดึงกระดาษทิชชูแผ่นแล้วแผ่นเล่ามาซับเลือดให้เธออย่างใจเย็น ผิดกับท่าทางที่ดูเป็นคนหัวร้อนง่าย
“นั่งเฉยๆ อย่าเดิน” สั่งเสียงเข้มราวกับเป็นเจ้าชีวิตเธอ พูดจบก็วางเท้าเธอลงอย่างเบามือ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ดูหงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัว จะมือเบาได้ขนาดนี้
“นายจะไปไหน”
“ไปซื้อผ้าก๊อซ”
“ไม่ต้องหรอก”
“ฉันไม่ว่างมาเดินเช็ดพื้น”
คำตอบของเขายังค่อนไปทางประชดประชันเธออยู่ตลอด แต่จะให้เธอพูดอย่างไรว่าจริงๆ แล้วเธอก็แค่ไม่อยากให้เขาไปไหนเพราะกลัวว่าคนพวกนั้นอาจจะยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้
“ร้านขายยาอยู่สามแยกนี่แหละ”
จู่ๆ เขาก็บอกทางเหมือนพูดแล้วเธอจะรู้ว่าสามแยกมันอยู่ตรงไหน ต่อให้เขาจะบอกว่าอยู่แค่นี้ เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่าแค่นี้ของเขามันใกล้หรือไกลจากที่นี่
“อืม นายรีบกลับมาก็แล้วกัน” เธอบอกเสียงอ่อย
เขามองหน้า แต่ไม่ตอบ จ้องอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้าสองสามทีแล้วก็เดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในลิ้นชักโต๊ะตัวใหญ่ที่เธอเห็นว่าเขานั่งซ่อมรองเท้าอยู่เมื่อครู่
“เดี๋ยววอร์ม”
“อะไร”
“ฉันขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหม จะลองติดต่อพ่อน่ะ โทรศัพท์ฉันอยู่ในกระเป๋าแต่ว่าถูกพวกมันขโมยไป”
ท่าทางที่ดูใจเย็นลงของเขาทำให้เธอกล้าที่จะเอ่ยปากขอยืม ซึ่งเขาก็ทำเหมือนจะให้ยืม แต่พอเอามือสองข้างตบกระเป๋ากางเกงแล้วกลับยืนนิ่ง ทำตาโตใส่
“เวร”
“หายเหรอ?”
“อืม น่าจะตกตอนอุ้มเธอกลับมา เดี๋ยวฉันลองกลับไปหาดูก่อนแล้วกัน ไม่น่ามีใครขโมยไปหรอก เก็บได้ก็ต้องเอาไปซ่อม ไม่คุ้ม” เขาอธิบายเพิ่มเติมเหมือนอยากให้เธอสบายใจ ซึ่งเธอเชื่อทันทีว่าเขาไม่ได้โกหกเพราะสีหน้าของเขาตอนที่รู้ว่าตัวเองทำโทรศัพท์หายดูตกใจมากจริงๆ
พอเขาพูดมาแบบนั้นเธอจึงได้แต่ยิ้มแห้ง ความหวังเหมือนจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ แต่เดี๋ยวถ้าเขาไม่เจอโทรศัพท์ ก็น่าจะขอยืมโทรศัพท์เพื่อนมาให้เธอยืมได้นั่นแหละ เอาไว้ค่อยๆ แก้ปัญหาไปทีละอย่าง พูดมากตอนนี้เดี๋ยวคนหงุดหงิดเพราะทำโทรศัพท์หล่นหายจะหัวร้อนขึ้นกว่าเดิม
“อะ” บางอย่างที่เขายื่นมาให้ดึงเธอออกจากภวังค์ความคิด
“อะไร”
“นกหวีด”
อยากจะเอาสายนกหวีดในมือพันคอคนพูดเสียจริง ถ้าทำได้จะรัดให้แน่นเลย
“ใช้เป็นไหม”
“เป่า”
“ก็ไม่โง่นี่หว่า” บ่นพึมพำพลางเอามันคล้องลงมาบนหัวเธอเพราะเธอยังไม่ยอมรับ เสี้ยววินาทีนกหวีดตัวนั้นก็กลายเป็นเครื่องประดับชิ้นใหม่ของเธอมาแบบงงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาไปค้นหรือไปหยิบมันมาจากตรงไหนเพราะไม่ทันได้มอง
เมษารินทร์ก้มมองนกหวีดตัวเล็กๆ ตัวนั้นอย่ครู่หนึ่ง มันมีขนาดประมาณเหรียญห้า สายคล้องคอทำมาจากอะไรก็ไม่รู้ ใส่แล้วจะลอกหรือเป็นสนิมไหมก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
เคยได้ยินมาว่านกหวีดเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำหรับขอความช่วยเหลือยามฉุกเฉิน หากเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดหรือตกอยู่ในอันตราย ก็เป่าให้เสียงดังเข้าไว้ ไม่คิดหรอกว่าเธอจะมีโอกาสได้ใช้จริงๆ และไม่อยากจะลองใช้มันด้วย
“ฉันจะล็อกประตูข้างนอกเอาไว้ ถ้าฉันกลับมาจะไขเข้ามาเอง”
“อืม” เธอพยักหน้าทั้งที่มือยังจับนกหวีดที่คอเอาไว้ราวกับมันเป็นของล้ำค่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ไม่น่าพึ่งพาได้เท่ากับหลวงพ่อนกหวีดที่คอแล้วตอนนี้
“วอร์ม”
เริ่มจะเรียกเขาบ่อยเสียจนคนถูกเรียกหันมามองด้วยสีหน้าดูเบื่อหน่าย
“เรื่องอับโชค ฉันเสียใจด้วยจริงๆ นะ”
“บอกแล้วไงว่าช่างหัวมัน บนดาวหมาอาจจะสบายกว่าบนโลกก็ได้” พูดจบเขาก็เดินออกไปทันที ท่าทางที่ภายนอกดูเย็นชาแต่นัยน์ตาอ่อนไหวทุกครั้งที่พูดถึงอับโชคทำให้เธอยิ่งรู้สึกผิด นั่งมองแผ่นหลังของเขาที่ห่างออกไปกระทั่งถูกกั้นด้วยประตู
“อ้าว จะออกไปไหนเหรอวอร์ม”
มีเสียงผู้หญิงดังมาจากด้านนอก แต่ตอนนี้เมษารินทรท์มองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว นอกจากบานประตูไม้ที่เพิ่งจะถูกปิด
“ร้านขายยา”
“นายไม่สบายเหรอ เป็นอะไรมากไหม”
“แมวหลงมาน่ะ”
สังหรณ์ใจว่าแมวตัวนั้นจะต้องหมายถึงเธอแน่ๆ เธอมีหางตั้งแต่เมื่อไรกัน
คิดแล้วก็ได้แต่ทำปากคว่ำ ก่อนหน้านี้ก็ต้องเป็นหมาอับโชคเพื่อเอาตัวรอด ตอนนี้ก็ต้องเป็นแมวเพื่อยาอีก เอาเถอะ ไม่ว่าเขาจะให้เธอเป็นตัวอะไร เธอก็ต้องเป็นนั่นแหละ
ถอนหายใจพลางก้มมองนกหวีดที่คอเพราะจนถึงตอนนี้เธอก็ยังกำมันเอาไว้หลวมๆ ตลอดเวลาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกอุ่นใจ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากเกิดเรื่องกับเธอขึ้นจริงๆ แล้วเธอเป่ามันจนหมดแรง จะมีใครได้ยินไหม เขาจะกลับมาทันหรือเปล่า แต่ตอนนี้มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย