#3หนีดิคร๊าบ...รอไร

1820 คำ
หนีดิคร๊าบรออะไร? แกร๊ก… ผมยืนมองไอ้พี่ต่อยดันโผล่มาแบบไม่บอกกล่าวสวนกับไอ้นุ๊กที่พึ่งเดินออกไป ถามว่าหงุดหงิดมั้ย? หงุดหงิดมากแต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะได้แต่จ้องหน้าพี่ชายด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่ต้องการต้อนรับ ผมอยากออกไปหาไอ้นุ๊กครับคิดในใจว่ายังไงผมก็ต้องคุยกับมันให้รู้เรื่อง ผมไม่ยอมให้เรื่องมันจบค้างคาแบบนี้หรอกนะ “เป็นไรจ้องยังกับจะแดกหัวกู? ...กินข้าวยังกูซื้อมาเผื่อ” พี่ต่อยชูถุงข้าวกล่องก่อนจะเดินเข้าไปที่ครัว ไม่สะเทือนกับสายตาผมสักนิด บ้านนี้ผมอยู่คนเดียวครับ… พ่อแม่พี่ชายทั้งสองคนย้ายไปอยู่บ้านใหม่กันหมดมีผมที่ดื้อด้านอยู่ที่นี่คนเดียว คงไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร นานๆ ทีแม่ถึงจะมาเยี่ยมแต่พักหลังมานี่ไอ้พี่ต่อยมาหาผมบ่อยสุดไม่รู้คิดถึงผมอะไรนักหนา “คุยไรกับไอ้นุ๊ก” “ยังไม่ทันได้คุยเลย…กูก็ทักทายน้องมันปรกติว่าแต่มึงเหอะทะเลาะกันรึเปล่า” “ก็ไม่เชิง…” ผมถอนหายใจเดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าวรอพี่ชาย “มึงสองคนนี่มันยังไงกันวะ?” พี่ต่อยยกจานข้าวมาวางตรงหน้าผม “มาทำไม?” ผมเลือกจะไม่ตอบคำถามพี่ต่อยเพราะผมเองก็ยังไม่ค่อยมันใจเหมือนว่าต่อจากนี้มันจะยังไง “เอ๊าไอ้นี่…” “มีอะไรทำไมจะมาไม่บอกก่อน” “นี่ก็บ้านกูป่ะ” “แม่ไล่มึงออกจากบ้านแล้วนะ” “ไม่ต้องแดกแล้วมั้งข้าวกูเนี่ย” “ล้อเล่น…” ผมยกมุมปากยิ้มให้พี่ชาย เราห่างกัน5ปีได้แต่ก็สนิทกันมากทั้งสามคนพี่น้อง พี่ต่อยเป็นพี่ชายคนโต พี่ตุ้ยและผมเป็นน้องคนเล็ก ประเด็นดราม่าอ่อนไหวของพี่มันคือเรื่องที่มันทะเลาะกับแม่แล้วโดนไล่ออกจากบ้านครับ อยากเป็นช่างสักดื้อด้านไม่ยอมไปเฝ้าร้านเพชรสาขาที่แม่ยกให้เรื่องมันผ่านมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังตึงใส่กันอยู่ผมรู้ว่าแค่ฟอร์มใส่กัน “เสาร์นี้มีนัดกินข้าวนะ” “เรื่องแค่นี้ไลน์มาก็ได้” “กูคิดถึงกูอยากเจอหน้ามึงพอใจยัง!” พี่ต่อยเริ่มเสียงดัง “ว่าแต่…นัดอะไรวะ?” ผมมองหน้าพี่ชาย “ปะป๊า….เนเน่คิดถึงลุงต่อยกับอาตั๊นเมื่อไหร่ปะป๊าจะพามาเล่นกันเนเน่สักที…” พี่ต่อยบีบเสียงตัวเองให้เล็กแหลมเลียนแบบเนเน่หลานสาววัยอนุบาลที่กำลังช่างพูดช่างคุย “อื่ม” ผมพยักหน้ารับ ยิ้มออกมาเล็กๆ เมื่อนึกถึงหน้าเนเน่ ทุกคนในบ้านหลงเธอกันทั้งนั้นความฉลาดช่างพูดขี้อ้อนตกทุกคนในบ้านจนเนเน่กลายเป็นศูนย์กลางของครอบครัว มืออาหารเงียบเสียงลงไปเมื่อผมตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง มันจะหนีผมมั้ยวะ? ผมกลับมาคิดเรื่องไอ้นุ๊กใหม่ ด้วยนิสัยผมว่ามันต้องชิ่งหนีหาวิธีที่จะหลบหน้าผมแน่ๆ มันไม่ชอบปะทะ ไม่ชอบเอาปัญหามาขบคิดให้หนักหัว กองทุกอย่างค้างคาอยู่อย่างนั้นเพราะถ้ามันจริงจังนิหน่ากับมันคงเลิกกันหรือพัฒนากันไปจนถึงขั้นมั่นคงลงตัว จะบอกว่าแม่งนิสัยไม่ดีก็ไม่ได้ ผมว่ามันนิสัยดีเพียงแต่เฉื่อยชากับเรื่องที่คนอื่นคิดว่ามันไม่ควรจะเฉื่อยชา ชีวิตมันน่าจะมีแต่เรื่องเรียนกับแดกเหล้า ต่อโม เขียนแบบ ร้านเหล้า เข้าเรียน วงจรชีวิตไหลเวียนแบบนี้ ผมส่งไลน์ไปหามัน… นั่งลุ้นอยู่ค่อยวันแม่งก็ยังไม่อ่าน ไม่ใช่ว่าแม่งตั้งใจหนีผมนะแต่เป็นเรื่องธรรมดาที่มันแทบจะไม่จับมือถือคนอื่นนี่อวัยวะชิ้นที่33ของร่างกายแต่สำหรับไอ้นุ๊กมือถือเอาไว้ใช้ทับกระดาษ บางทีอ่านไปเป็นชาติแม่งยังไม่คิดจะตอบเลย แล้วคิดว่าผู้หญิงที่ไหนจะทนแม่งได้มันเหมาะกับผู้ชายอย่างผมเท่านั้นผู้ชายที่พร้อมจะเข้าใจและเข้าไปดูแลมัน ผมจะให้เวลามันหนีความจริงไปอีกสักพัก ชีวิตผมต้องไปไงต่อวะ? ... ถามตัวเองหลังจากไม่เคยถามจริงจังมาพักใหญ่ๆ เพราะเชี่ยตั๊นคนเดียวที่ทำให้ผมต้องมาคิดอะไรที่ซับซ้อน สรุปก็คือผม ผมต้องย้ายครับ.. นั่นเป็นทางออกเดียวที่ผมนึกได้ในตอนนี้ผมต้องหนีหน้ามันอีกพักใหญ่เดียวมันลืมผมลืมก็กลับมาเป็นเพื่อนกันได้เอง คนนิสัยใจร้อนและเอาแต่ใจอย่างมันในช่วงนี้คงจะตามมาวุ่นวายในชีวิตผมไม่ยอมเลิก ลองมันประกาศย้ำว่าผมเป็นเมียมันซะขนาดนั้นมีหวังได้มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาในชีวิตผมไม่จบแน่ เพราะเป็นเพื่อนกันมานานผมจึงรู้จักมันดีพอๆ กับที่รู้จักนิสัยตัวเอง เพราะฉะนั้นต้องห่างกันไว้ก่อนและหาไม้กันหมาเอามาไว้คุ้มกันผมก่อนครับ “ไง…” ผมมองหนุ่มตี๋มาดกวนเจ้าของห้องที่ตอนนี้ผมหอบข้าวของหนีไอ้ตั๊นมาขอแชร์ห้องกับมัน นี่โจโฉครับ… เพื่อนที่คณะผมเองในกลุ่มผมมีกันอยู่สี่คนคือผม โจโฉ นิว บงบงแต่คนที่สะดวกให้ผมพึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนี้คือมันนี่แหล่ะไอ้โจโฉ หนุ่มนครสวรรค์คารมดีลูกเจ้าของคณะเชิดสิงโตอันเก่าแก่เมืองปากน้ำโพ ผมมองสภาพห้องที่โคตรจะไม่เป็นระเบียบแต่ก็เข้าใจได้เพราะห้องผมก็ดูไม่ต่างเท่าไหร่ มองโต๊ะดราฟที่ว่างเปล่าแต่ที่พื้นเต็มไปด้วยกระดาษร่างที่กระจายอยู่ทั่วห้องยังไม่รวมเศษโมซึ่งคือขยะสำหรับคนอื่นแต่กับเราเด็กสถาปัตย์มันคือสมบัติอันล้ำค่า “รกหน่อยนะมึง” มันว่าพลางใช้เท้าเขี่ยขยะตรงทางเดินให้ผมยกกระเป๋าเข้ามา ห้องแคบสำหรับหนุ่มสถาปัตย์สองชีวิต รู้สึกเครียดนิดๆ แต่ก็ค่อยๆ คิดอีกที “ขอบใจนะที่มึงให้กูอยู่ด้วย” “ไม่เป็นไร…ว่าแต่มึงย้ายออกจากบ้านมาทำไมวะ?” “กูมีปัญหานิดหน่อย…” ผมตอบเลี่ยงๆ ไม่อยากจะให้ใครรู้เรื่องผมกับไอ้ตั๊นเลยครับยิ่งพวกมันรู้จักผมยิ่งต้องปิดปากให้สนิท “ปัญหาไรวะมึงทะเลาะกับที่บ้านเหรอ” “เปล่า” “เอ๊า? ...” ไอ้โฉทำหน้างงคนอยากรู้อยากเห็นอย่างมันคงกำลังอึดอัดใจ “เออน่ามึงไม่ต้องรู้หรอก” “โอ๊ย! ...ฆ่ากูดีกว่าไอ้นุ๊กมึงก็รู้ว่ากูขี้เผือก…” ไอ้โฉครวญครางประหนึ่งว่าถ้าไม่รู้เรื่องผมแล้วมันจะตายเอาได้ “มึงนี่นะ” ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ “ไอ้นุ๊ก…บอกมาเร็วก่อนที่กูจะอกแตกตาย…” เอาไงดีล่ะครับ? ผมมองหน้าไอ้โฉอย่างตั้งคำถามและใช้ความคิดอย่างหนัก ผมควรบอกมันดีมั้ยครับหรือก็เก็บเป็นความลับต่อไป จะให้ผมบอกเพื่อนว่าไง? หนีผัว! มันใช่มั้ยล่ะ! คิดแล้วก็เครียดแต่จะไม่บอกอะไรเลยก็ไม่ได้ไม่อยากให้มันคิดเยอะว่าผมเห็นมันไม่สำคัญ หรือว่า… ความขี้เผือกของมันจะช่วยผมได้ “กูหนีไอ้ตั๊น…เพราะงั้นถ้ามันมาถามมึงห้ามบอกมันเด็ดขาดว่ากูอยู่ที่นี่” ผมตัดใจพูดในส่วนที่พูดได้ออกไปแล้วกันไหนๆ ก็ตั้งใจจะใช้มันเป็นไม่กันหมาอยู่แล้ว “มีเรื่องอะไรกันวะ” “มึงไม่ต้องรู้หรอก” “โอ๊ย…อะไรของมึงเนี่ย” ไอ้โฉขัดใจเกาหัวแกร๊กๆ เดินวนไปวนมาผมก็ได้แต่มองเพื่อนที่มันยังมีสีหน้าหงุดหงิด กูผิดที่ไม่ให้มึงเผือกถูกมั้ย “ใจเย็นมึง” ผมปลอบ “มึงอ่ะ! ...คิดจะเล่าก็ต้องเล่าให้หมดดิวะ!” “กูทะเลาะกับแม่งไม่อยากเจอหน้ากันสักพัก…จบนะเคลียร์ยัง?” “โคตรปัญญาอ่อนมึงสองคนนี่นะ…สถาปัตย์กับวิศวะห่างกันแค่ถนนกั้นมึงจะหนีไปไหน บ้านก็อยู่ใกล้กันเรียนก็เสือกเรียนที่เดียวกันมึงจะหนีไปไหนบอกกูดิ” ไอ้โฉย้อนซึ่งแม่งก็จริงอย่างที่มันว่า “เออว่ะ!” ผมลืมเรื่องพวกนี้ไปได้ไงชีวิตผมกับไอ้ตั๊นผูกติดกันมาแต่เด็กไม่เคยได้แยกออกจากกัน ผมเจอมันพอๆ กับเจอสมาชิกในครอบครัว แต่ถึงงั้นมันก็มีวิธีที่ผมจะเลี่ยงมันดิ ไม่กลับบ้านก็ไม่เจออยู่ที่คณะก็ไม่ไปนั่งโง่ๆ ที่โต๊ะประจำก็จบแล้วป่ะ หรือว่ามันต้องมากกว่านั้นแล้วผมต้องหนีหน้ามันนานแค่ไหนกันล่ะต้องถึงขนาดย้ายออกจากบ้านมาอยู่หอมั้ยเนี่ย หึหึ… แค่คิดก็รู้แล้วครับว่าต้องเจอกับอะไรแม่ก็คงด่าหาว่าผมดัดจริต เรื่องเยอะหรือติดเพื่อนแน่ๆ เพราะบ้านผมน่ะอยู่ใกล้มอขับรถมาเรียนไม่ถึงชั่วโมงอันนี้คือรวมรถติดแล้วด้วยนะ มันดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลยถ้าจะย้ายออกมา ผมต้องหาเรื่องโกหกที่บ้าน… เพราะมึงเลยนะไอ้ตั๊นทำให้กูต้องพาลโกหดคนอื่นไปทั่วแบบนี้เนี่ย เอาวะ! ... ผมคิดได้เท่านี้จริงๆ ครับ สมองที่ถูกใช้ไปกับการคิดแบบงานถูกใช้ในการหาทางหนีทีไล่ไอ้ตั๊นเป็นครั้งแรก ผมรู้ว่าการหนีไม่ใช่ทางออกที่ดีแต่ทำไงได้ผมยังไม่พร้อมขอหนีมาตั้งหลักก่อนแล้วกัน “มึงช่วยกูหาหอหน่อยดิ” ผมหันไปคุยกับไอ้โฉอย่างจริงจัง “ทำไมมึงจะลงทุนออกมาเช่าหอรึไง?” รู้ว่ามันประชดแต่! ... “เออ…” ผมตอบรับ ไปแล้วมันก็ต้องไปให้สุดสิครับ “เชี่ย! ...ไอ้นุ๊กมึงเล่ามาเถอะมึงทะเลาะอะไรกันมึงถึงต้องลงทุนขนาดนี้เนี่ยกูอยากรู้จริงๆ นะๆ กูขอร้องล่ะ” ไอ้โฉยกมือไหว้ “ไม่เอา!” ผมปัดมือมันลงเฉไฉไปทำอย่างอื่น “โอ๊ย! ...มึงมีปัญหาอะไรกันเนี่ยบอกกูหน่อยกูอยากรู้…” ไอ้โฉโวยวายไม่หยุดมันเดินตามประกบผมที่เริ่มรื้อของออกจากกระเป๋า ให้ตายกูก็ไม่บอกมึง! ... หันไปทำหน้าบึ้งใส่มันที่ยังส่งสายตาอ้อนวอนอยากฟังเรื่องของผม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม