ตอนที่ 7
เรื่องราวในอดีต
“ห้ะ!วันนี้คุณมุกต้องไปทำงานที่บ้านใหญ่ด้วยเหรอเจ้า” กบแทบจะลุกออกจากเก้าอี้โต๊ะของโต๊ะอาหารในโรงอาหารเพราะเจ้าหล่อนกำลังตกใจในสิ่งที่ปิ่นมุกได้บอกไป “ใช่จ้ะ เช้าวันพุธฉันถึงหน้าโทรมไปทำงานไง” พูดถึงเรื่องเมื่อวาน
หลังจากที่เธอตอบตกลงข้อเสนอใหม่ของเขาแล้ว แค่เขาโทรหาคนของเขาแค่กริ๊งเดียวทุกอย่างก็เข้าล่องเข้าลอยโดยที่ตัวเธอไม่ต้องลำบากอะไร มีแค่ต้องทำขนมไปส่งที่ร้านเบเกอรี่เท่านั้น และเธอก็เลือกส่งขนมทุกวันพุธเพราะไม่อยากรบกวนป้าพรที่เริ่มแก่ชราลงและไก่ที่ต้องตื่นเช้าไปเรียนทุกวัน
“ถ้างั้นเดี๋ยวกบไปส่งนะเจ้า พอดีจะออกไปหาพ่อกับแม่ด้วย”
เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง รถมอเตอร์ไซค์เกียร์ออโต้สีขาวขนาดพอเหมาะก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านใหญ่ของเจ้าของฟาร์มและไร่ดำรงรักษ์ เมื่อกบและปิ่นมุกบอกลากัน รถคันเดิมก็แล่นออกไป
หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของชายหนุ่มพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบขนาดพอดี เธอกดกริ่งเล็กน้อยไม่นานนักเด็กสาวก็เดินมาเปิดให้ “อ้าวพี่มุก!”
“ทำไมวันนี้ถึงมาที่นี่ได้ล่ะจ๊ะพี่” ไก่เดินเข้ามาที่ครัวเพื่อมาหาป้าพรพร้อมกับปิ่นมุก เมื่อหญิงสาววางกระเป๋าลงเด็กสาวก็ถามขึ้นทันที
“พอดีพ่อเลี้ยงเขาเพิ่มเวลางานของพี่น่ะจ้ะ”
“เอ้า ทำไมล่ะจ๊ะ แค่ทำงานที่ฟาร์มก็เหนื่อยแล้วนะพี่”
ปิ่นมุกเพียงแค่ยิ้มตอบน้องไป เธอไม่ได้พูดอะไรต่อไก่จึงเดินออกไปตามยายของตนที่กำลังเก็บผักที่ปลูกไว้เองข้างครัวนอก ซึ่งพอหลานสาวบอกว่าใครมาก็นึกขึ้นได้ว่าภูผาได้บอกนางไว้แล้วว่าปิ่นมุกจะมาอยู่ที่นี่ทุกวันพฤหัสบดีถึงวันอาทิตย์
“มา ๆ หนูมุกป้าจัดห้องไว้ให้แล้วลูก”
ป้าพรเดินนำปิ่นมุกมาหยุดอยู่ที่ห้องพักใต้บันได เป็นห้องพักห้องเดียวที่ภายในตัวของบ้านใหญ่ เพราะสองยายหลานนอนอยู่ที่ห้องอีกฝั่งที่ติดกับห้องครัวเป็นห้องแยกของท่านสองคน
ป้าพรเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูและเอากุญแจไขประตูสีเหลี่ยมบานสีขาวเข้าไป ห้องด้านในถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ เตียงนอนขนาดสามฟุตสีขาวเข้ากับเครื่องนอนสีขาวอย่างไม่มีที่ติ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างภายในล้วนเป็นสีขาวและสีเทาผสมกันไปไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะเก้าอี้ทำงาน โซฟานุ่นกลมหรือแม้แต่ผ้าม่านก็ยังเป็นสีขาว
“โหยาย เข้ามาทำตอนไหนเนี่ย แล้วห้องนี้มีด้วยเหรอ ไก่ไม่เห็นรู้เลย”
ไก่ที่อยู่ด้านหลังของปิ่นมุกชะโงกหน้าเข้าไปดู ไม่เห็นรู้เลยว่าห้องนี้จะเป็นห้องนอน เด็กสาวนึกว่าเป็นห้องเก็บของมาตลอด “ก็ทำตอนที่หนูไม่อยู่นั่นแหละ”
ผู้เป็นยายตอบ และหันมาหาคนข้าง ๆ
“หนูมุกมาที่นี่นะเจ้า ส่วนห้องน้ำก็อยู่ในห้องเลยนะลูก ประตูตรงนั้น”
“คือห้องนี้เป็นห้องของใครเหรอคะ ทำไมดูมีของครบทุกอย่างเลย”
“แล้วยังอยู่ในตัวบ้านใหญ่อีก”
“อ้อ สมัยก่อนเป็นห้องวาดรูปของคุณนายนงนุช คุณแม่ของพ่อเลี้ยงเจ้า แต่พอท่านเสียไปพ่อเลี้ยงก็ย้ายห้องวาดรูปไปไว้ข้างบนแทน เพราะไม่มีใครวาดแล้ว ห้องนี้เลยว่างไม่มีใครใช้ เมื่อวันก่อนตอนน้องไก่ไปโรงเรียน พ่อเลี้ยงก็ให้เด็ก ๆ เขายกของนู่นนี่มาไว้ในห้อง ป้าก็แค่เข้ามาทำความสะอาดก่อนเอาของเข้ามาแค่นั้นแหละเจ้า”
“แหม พ่อเลี้ยงเขาดูแลพี่มุกเป็นพิเศษเลยนะเนี่ย” ไก่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวตามประสาเด็กวัยรุ่นทำเอาปิ่นมุกไปต่อไม่เป็น ส่วนป้าพรก็ตีแขนหลานสาวเบา ๆ ไปหนึ่งที “โอ๊ยยาย ตีข้าเจ้าทำไมเจ้า” จนเจ้าตัวหลุดพูดเป็นภาษาถิ่น
“ไปแซวพี่เขากับเจ้านายแบบนั้นได้ยังไงเล่า ไม่ดีเลยลูก”
“ถ้าหนูมุกเก็บของอะไรเสร็จแล้วก็ไปทำงานตามที่พ่อเลี้ยงสั่งไว้ได้เลยนะลูก พ่อเลี้ยงกลับมาจะได้ไม่โดนบ่น” ว่ายิ้มแค่นั้นก็ดันตัวหลานสาวให้กลับเข้าไปทำการบ้านในห้องของตนเอง เมื่อสองยายหลานกลับออกไปแล้ว หญิงสาวก็เดินเข้ามาสำรวจดูในห้องโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้อง ภายในห้องมีแสงจากหน้าต่างผ่านเข้ามา ไม่มืดและไม่สว่างจ้าจนเกินไป
เธอล้มตัวนอนลงที่เตียงนุ่ม ผิวเนื้อที่สัมผัสกับสิ่งรองรับทำให้ความเหนื่อยล้าทางร่างกายค่อย ๆ ถูกไล่ออกจากตัว..สบายเกินไปจนรู้สึกง่วงนอนขึ้นมา
“ไม่ได้มุก นอนตอนนี้ไม่ได้” ด้วยความสามารถของพนักงานออฟฟิศเก่าทำให้เธอยันตัวเองให้ลุกออกจากเตียงในทันทีพร้อมกับโยนกระเป๋าเข้าตู้เสื้อผ้าก่อนจะออกไปทำหน้าที่ของตนเองให้เสร็จ
ตกดึก
ร่างของชายสูงร้อยแปดสิบหกเดินเข้ามาภายในบ้านของตนเองที่โคมไฟระย้าคริสตัลถูกเปิดไว้ต้อนรับเขาอยู่นานสองนาน
ภายในบ้านใหญ่เงียบสงบ เข็มนาฬิกาแตะเข้าที่เลขสิบเอ็ดอย่างพอดิบพอดีบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว เขามองซ้ายขวาไม่พบใครจึงเดินเข้าไปนั่งที่บาร์เครื่องดื่มไม่ไกลจากห้องครัวนัก มือหนาวางขวดไวน์สีสวยซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของทางไร่ดำรงรักษ์ลงบนบาร์เครื่องดื่มอย่างเบามือและเคลื่อนตัวเองเข้าไปหยิบแก้วไวน์ที่วางโชว์อยู่ที่ชั้นวาง
แก้ว pinot noir ทรงอวบถูกรับกับปากขวดได้องศาที่พอดีตามฉบับที่ถูกต้องราวกับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการลิ้มรสน้ำสีเข้ม ชายหนุ่มยกแก้วทรงอวบขึ้นมาและวนเบา ๆ พร้อมกับใช้จมูกโด่งเป็นสันค่อย ๆ ดมกลิ่นของเหลวภายในแก้วสีใสอย่างละเมียดละไมและยกขึ้นชิมรสชาติ
เมื่อชิมแล้วมีรสชาติที่พอใจ เขาจึงเริ่มดื่มมันเข้าไปทีละน้อยจนกลายเป็นเพลินไป เพลินในแบบที่เรียกว่าหมดขวดกำลังพอดี
“หืม แรงใช้ได้เลยนะเนี่ย” ฤทธิ์ของน้ำสีเข้มทำให้เขารู้สึกมึนขึ้นจนเขาต้องส่ายหัวไปมา ในขณะเดียวกันปิ่นมุกก็งัวเงียตื่นขึ้นมาดูว่าเจ้าของบ้านกลับมาแล้วหรือยัง
เธอเดินออกมานอกห้อง หันซ้ายแลขวาก็ไม่พบ จึงเดินมาเพื่อที่จะเข้าไปดื่มน้ำในครัว เธอก็พบเข้ากับภูผาที่นอนฟุบอยู่ที่บาร์เครื่องดื่ม “คุณภูผา?”
หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้และค่อย ๆ ใช้มือแตะอีกฝ่ายให้เขารู้สึกตัว
เธอมองขวดไวน์และแก้วไวน์ที่ตั้งอยู่ก็แทบร้องอ๋อออกมา ปิ่นมุกจึงจับแขนล่ำเขย่าอีกครั้งหนึ่งแต่ก็มีเพียงการเบี่ยงหลบเป็นปฏิกิริยาตอบกลับเท่านั้น
“เราปล่อยให้เขานอนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้อีก” เธอพูดกับตนเองว่าจะเอาอย่างไรดี สุดท้ายจึงตัดสินใจพยุงเขาขึ้นห้องนอนที่อยู่บนชั้นสาม ซึ่งกว่าจะถึงก็กินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง เพราะเธอต้องใช้ทั้งแรงพยุงคนตัวใหญ่กว่าและใช้แรงขึ้นบันได
ถ้าเขาตื่นขึ้นมาเธอจะเสนอให้เขาทำลิฟต์จริง ๆ แล้วเนี่ย
“โอ๊ย!ออกกำลังกายยังเหนื่อยน้อยกว่านี้!”
ตัวเจ้าของบ้านถูกวางลงบนเตียงคิงไซส์สุดหรูในห้องของเขาด้วยแรงเฮือกสุดท้ายของคนพยุง เธอถือวิสาสะนั่งลงที่ข้างเตียงด้วยความเหนื่อยหอบ สักครู่หนึ่งเธอก็ลุกขึ้นกลับออกไปและกลับเข้ามาพร้อมกะละมังเล็กสีขาวขุ่น ในกะละมังมีน้ำเย็นสะอาดพร้อมกับผ้าผืนเล็กสำหรับเช็ดตัวหนึ่งผืน “คุณ” เธอนั่งลงข้างเตียง
“คุณภูผา” เธอลองเรียกเขาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับใช้มือแตะดูอีกครั้ง
“อือ” ตอบแค่นั้นก็นอนตะแคง “ร้อน” บ่นขึ้น
“ค่ะเจ้านาย” เธอตอบกลับอย่างประชดประชันแม้เขาจะไม่ได้สั่งโดยตรง มือเรียวเอื้อมไปหยิบรีโหมดเครื่องปรับอากาศขึ้นมาเปิดให้เขาและหันกลับมาที่เดิม
หญิงสาวเอื้อมมือทั้งสองข้างไปจับตัวของคนที่นอนตะแคงเมื่อครู่ให้หันกลับมานอนท่านหงายเช่นเดิมก่อนเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำส่วนบนออกเพื่อให้ง่ายต่อการเช็ดตัว แต่คิดอีกทีเขาใส่ทั้งเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นกับกางเกงยีนส์สีเข้มแบบนี้น่าจะอึดอัดพอตัว “ทำยังไงดีเนี่ย เราไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครเลย”
ปิ่นมุกมองไปมาอยู่เช่นนั้นสักครู่ก็ตัดสินใจได้
“เอาวะมุก ทำก็ทำ” ว่าจบก็พยายามปลดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกจนเหลือเพียงส่วนที่ควรจะต้องปกปิดไว้ พร้อมกับใช้ผ้าชุบน้ำค่อย ๆ เช็ดตัวให้เขาโดยเร็วไว พอเสร็จก็รีบไปคว้าเอาเสื้อยืดสีเทาพร้อมกับกางเกงนอนขายาวสีดำออกมาใส่ให้เขาเสียเสร็จสรรพ เรียกได้ว่าดูแลอย่างดีเหมือนกับแม่ดูแลลูกกันเลยทีเดียว
“นอนหลับเป็นตายเลยนะคุณ” เธอบ่นให้คนที่นอนอยู่ แต่พอบรรยากาศนิ่งสงบ มีเพียงเสียงอืออึงเบา ๆ ของเครื่องปรับอากาศก็ทำให้เธอเพ่งมองดูใบหน้าอันคมคายของอีกฝ่าย “ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงพวกนั้นถึงชอบคุณ”
เธอว่าแค่นั้นและลุกขึ้นห่มผ้าให้เขา แต่เมื่อผ้าห่มแตะที่แผงอก คนที่เธอคิดว่าหลับไม่รู้เรื่องนั้นกลับจับมือเธอทั้งสองข้างดึงให้หญิงสาวนอนลงบนเตียงราวกับว่าเขากำลังคว้าเอาหมอนข้างมากอดไว้บนตัว “พ่อเลี้ยงภูผา!ปล่อยฉันนะ!”
“อือ”
“นี่คุณเมาจริงหรือเปล่าเนี่ย!”
“คุณภูผา?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่กำลังนอนกอดเธออยู่ ทำให้เธอค่อย ๆ ขยับตัวให้เขาคลายอ้อมกอดออก แต่พอเธอทำแบบนี้เขายิ่งกอดเธอแน่นขึ้น
“ถ้าคุณไม่ปล่อย ฉันจะข่วนหน้าคุณจริง ๆ ด้วยนะคะ”
“อือ..แก้ว”
“อะไรนะคะ?” ปิ่นมุกหยุดขยับตัวทันทีเมื่อภูผาเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง เขาพูดอะไรสักอย่าง..ชื่อของใครสักคน “แก้ว..”
“พี่กำลัง..พยายามอยู่”
ได้ยินชัดเต็มสองหู เขาเรียกชื่อใครคนหนึ่งพร้อมกับประโยคหนึ่งจริง ๆ และพอพูดจบกอดนั้นก็คลายออก ทำให้เธอหลุดรอดออกมาได้ เธอตัดสินใจห่มผ้าให้เขาอีกครั้งและเดินออกมาโดยที่ไม่ลืมล็อคประตูให้เขาด้วย
“แก้ว..ใคร?”
รุ่งเช้าเจ็ดนาฬิกาตรง ความสงสัยไม่ได้ถูกลบไปพร้อมกับความง่วง เธอหลุดพูดออกมาในขณะที่กำลังทำข้าวกล่องให้ไก่อยู่จนในที่สุดน้ำร้อนเจ้ากรรมก็ลวกมือของเธอเข้า “โอ๊ย!”
“พี่มุกเป็นอะไรจ๊ะพี่!” ไก่ที่แต่งตัวเสร็จพอดีว่าจะเดินเข้ามาเอาข้าวกล่อง แต่พอได้ยินเสียงของปิ่นมุกก็รีบวิ่งเข้ามาดู “น้ำร้อนลวกน่ะไก่ ไม่เป็นอะไรแล้วจ้ะ”
“อะนี่ข้าวกล่อง” เธอดันข้าวกล่องไม้น้ำตาลอ่อนที่มัดด้วยผ้ารองกันเปื้อนลายจุดสีขาวให้แก่เด็กสาว “โห สวยจัง ขอบคุณนะจ๊ะ แต่ว่าพี่มุกไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“ไม่จ้ะ สบายมากไก่”
“แล้วนี่เราไปโรงเรียนยังไงเหรอ ใครไปส่ง”
“ไปโรงเรียนจ้ะ ต้องขี่จักรยานออกไปจอดไว้หน้าทางเข้านู่นแล้วก็รออยู่ข้างหน้าให้รถโรงเรียนผ่านมา”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขี่จักรยานไปส่งเอง ตอนเย็นเรากลับกี่โมง?”
“ขอบคุณจ้ะพี่มุก กว่าจะถึงบ้านใหญ่ก็ห้าโมงเลยจ้ะพี่ แต่ถ้าวันไหนต้องทำกิจกรรมหรือเตรียมกิจกรรมนั่นนี่ช่วยครู พ่อเลี้ยงก็จะให้พี่แสนไปรับจ้ะ” ยิ้มบอก
“แต่ถ้าจะกลับช้าขนาดนั้นต้องบอกไว้ล่วงหน้าก่อนนะจ๊ะ จะได้รอดตัว เพราะพ่อเลี้ยงขี้บ่นมาก ยิ่งถ้าเป็นยายนะคูณสิบไปเลย” ป้องปากพูดเล่น
“เขาก็บ่นเพราะเป็นห่วงเราน่ะแหละ” เธอตอบยิ้ม
“งั้นพี่ทิ้งรถจักรยานไว้หน้าทางเข้าแล้วกันเนอะ พี่กลัวกลับมารับกลับบ้านใหญ่ไม่ทัน ไม่อยากให้เดินมันเหนื่อย”
“อ้าว แบบนี้พี่มุกก็ต้องเดินกลับมาที่บ้านใหญ่น่ะสิ พี่มุกไม่ลองขอเบิกจักรยานกับพ่อเลี้ยงดูล่ะจ๊ะ พี่ ๆ คนงานเขาก็มีกันนะ ที่นี่เขาไม่ค่อยใช้มอเตอร์ไซค์ในไร่กันจ้ะ ถ้าจะใช้ก็ใช้แค่ตอนที่ต้องขึ้นไปไร่ฝั่งที่อยู่เนินสูง ๆ นู่นแน่ะ” ชี้ไปที่จุดที่อยู่ใกล้กับภูเขา “ไม่เป็นไร พี่ชินแล้ว เดินแค่นี้สบายมาก”
“อีกอย่างพี่เองก็อยากเดินด้วย”
ว่าจบก็รีบพากันขี่รถจักรยานไปที่หน้าทางเข้า พอถึงก็พากันนั่งรอ
“เออไก่ พี่ถามอะไรหน่อยสิ” ในขณะที่นั่งรอ ปิ่นมุกก็ตัดสินใจหันหน้ามาถามไก่ “อะไรเหรอจ๊ะ” เด็กสาวตอบพร้อมกินแซนวิสรองท้อง
“รู้จักคนชื่อ..แก้ว..ไหม?”
“แก้ว? ..พี่มุกได้ยินจากใครล่ะจ๊ะ”
“ได้ยินจากพ่อเลี้ยงภูผาน่ะ”
“อ้อ ถ้าเป็นแก้วที่พ่อเลี้ยงภูผาพูด ก็คงจะเป็นคุณนายแก้วกานต์ ภรรยาของท่านผู้ว่าฯ จ้ะ ไก่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกนะ แค่จำได้ว่าคุณนายแก้วกานต์ ท่านเป็นคนรู้จักของพ่อเลี้ยงจ้ะ เออ!แล้วพ่อเลี้ยงภูผาก็ยังเป็นเพื่อนกับพ่อเลี้ยงอัคนี เจ้าของไร่แสงตะวันที่อยู่ข้าง ๆ กันด้วยจ้ะ ไก่จำได้ละ”
“ผู้ว่านทีธรเหรอ? แล้วเกี่ยวอะไรกับพ่อเลี้ยงอัคนี?”
“ผู้ว่าฯ ท่านเป็นน้องชายของพ่อเลี้ยงอัคนีจ้ะพี่ ถ้าพี่เคยอ่านข่าวค้ามนุษย์ที่ออกข่าวดังเมื่อหลายปีก่อน พี่ก็น่าจะคุ้นหูชื่อผู้ว่าฯ อยู่นะจ๊ะ นี่ ๆ ไก่เปิดให้ดู”
“ผู้ว่าฯ เขาเป็นผู้ว่าฯ ที่ชาวเมืองรักมาก ๆ เพราะตั้งใจจะพัฒนาจังหวัดจริงๆ แถมตอนได้เป็นสมัยแรก ๆ ยังเป็นหนุ่มอยู่ด้วย ตอนนี้ก็ยังดูหนุ่มอยู่เลยจ้ะ นี่ขนาดอายุเริ่มเยอะแล้วนะพี่” พูดด้วยความภาคภูมิใจ
“เป็นเพราะว่ารู้จักกันนี่เอง พี่เข้าใจละ ขอบใจนะจ๊ะ” เธอชะโงกหน้าดูข่าวบนหน้าจอสมาร์ทโฟนของเด็กสาว ทำให้เกิดสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาอีกจึงว่าจะถามคนข้าง ๆ ต่อ แต่ไม่ทันที่จะได้ถามรถโรงเรียนของเด็กสาวก็มาพอดี
“ข่าวค้ามนุษย์..น่าสนใจ เปิดดูหน่อยดีกว่า” ระหว่างที่เดินเล่นชิวอยู่ที่ทางเดินกลับบ้านใหญ่ในไร่ดำรงรักษ์ ปิ่นมุกก็เปิดแอพพลิเคชั่นอ่านข่าวขึ้นมา เพราะคงไม่มีใครแถวนี้ผ่านมาแล้วอยากได้ยินข่าวที่เกิดขึ้นภายในจังหวัดของตนเองสักเท่าไร “คนนี้น่ะเหรอผู้ว่าฯ นทีธร ส่วนคนนี้..อ้อ คนร้าย”
เธออ่านข่าวจนรู้เรื่องราว แต่แค่รู้เรื่องยังไม่พอ อ่านจบแล้วก็รู้สึกสงสาร
ภูผาขึ้นมาทันที เขาต้องต่อสู้คดีทั้ง ๆ ที่ตัวของเขาไม่ได้เป็นคนผิดเลยสักนิด แต่ด้วยบริบท ณ ตอนนั้นมันก็ชวนให้คิดว่าเขาคือคนร้ายจริง ๆ
“คุณแก้วกานต์..คงจะเป็นคนที่พ่อเลี้ยงภูผาแอบรัก” เธอสันนิฐาน
เอาล่ะ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เธอก็ไม่ควรพูดชื่อนี้หรือถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เขาระคายหูจะดีกว่า
แต่เมื่อเลื่อนหน้าจอจะกดออกจากแอพพลิเคชั่น เธอก็พบเข้ากับข่าวเก่าข่าวหนึ่งที่แสดงขึ้นในหัวข้อข่าวสืบสวน
‘คดีที่ถูกปิดตาย การหายตัวไปอย่างลึกลับของนักธุรกิจหนุ่มชื่อดัง ก้องเกียรติ ศิริภาสกุล ภรรยาสาว วิภาดา ศิริภาสกุลในป่าเขตชายแดน ตอนนี้อยู่หรือตาย ไม่มีข้อสรุป - เขียนเมื่อสิบปีที่แล้ว’
สิ่งที่ทำให้เธอหยุดดูไม่ใช่แค่เรื่องข่าว แต่เป็นรูปภาพของผู้หญิงที่ชื่อวิภาดาที่ดันหน้าเหมือนกับผู้หญิงที่ถ่ายรูปคู่กับคุณนายนงนุช มารดาของพ่อเลี้ยงภูผา
“ไม่ใช่แค่เหมือน แต่นี่มันคน ๆ เดียวกัน”
เธอรู้สึกใจตกลงตาตุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ จนต้องเก็บมือถือสมาร์ทโฟนลงกระเป๋าและเดินกลับไปที่บ้านใหญ่ทันที
“คุณมุกเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” ที่ฟาร์มดำรงรักษ์หลังพักเที่ยง ปิ่นมุกพยายามที่จะไม่คิดมากเรื่องข่าวที่ได้อ่านเมื่อเช้า แต่สุดท้ายก็อดคิดไม่ได้ เพราะปิ่นมุกเป็นคนที่อ่านแล้วก็จะจำได้เลยทันที กว่าจะหายออกไปจากหัวก็นานถึงสองสามวัน ยิ่งเป็นข่าวสืบสวนยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ คราวนี้เธอจะนอนหลับกันไหมล่ะนี่
แต่ความกลัวมักจะมาพร้อมกับความสงสัย เธอเองก็อยากรู้ว่าภูผาจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า เพราะนี่มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวชายหนุ่มมากพอสมควร
“แค่เปิดไปเจอข่าวสืบสวนเรื่องหนึ่งมาแล้วภาพมันติดตาน่ะกบ”
“เออจริง ๆ ที่นี่ก็มีข่าวเยอะเหมือนกันนะเจ้า แต่ทางที่ดีกบว่าคุณมุกอย่าไปอ่านมากดีกว่าจ้ะ จะได้ไม่กลัว”
“ฉันจะพยายามนะจ๊ะ”
แต่สุดท้ายแล้วเวลาก็ไม่ได้ทำให้ความสงสัยหายไปได้ เธอวางชาร้อนลงที่โต๊ะทำงานของภูผา ฝนด้านนอกยังคงตกลงมาพร้อมกับมีความมืดของยามดึกเข้าปกคลุม “มีอะไรหรือเปล่า?”
ในระหว่างที่ปิ่นมุกกำลังลังเลใจอยู่นั้น ภูผาก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของคนตรงหน้า ทำให้เธอหันมาสนใจเขาอีกครั้งหนึ่ง “คือฉัน..”
คนถามเงยหน้ามองพร้อมขมวดคิ้วกดดัน “มีอะไรก็พูดสิคุณ”
“คุณรู้จักคนที่ชื่อก้องเกียรติกับวิภาดาหรือเปล่า”