๒
ไม่มีคำร่ำลา
ลมพัดมาวูบหนึ่ง ปลุกโรสรินทร์ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวช้อนลูกน้อยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน พร้อมกันนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อของตนเองออกเพื่อให้นมลูกตามปกติ แววตาที่มองเขายามนั้นจึงทั้งรักและห่วงใยเป็นที่สุด
เด็กชายรติกานต์ หรือน้องรัน คือลูกชายตัวน้อยที่อายุเพียงห้าเดือน ยิ้มเก่ง กินจุ ว่านอนสอนง่าย ยากมากที่พ่อหนูน้อยจะร้องไห้ หากเขาไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดท้องหรือไม่สบายตัวจริงๆ โรสรินทร์แทบจะไม่ได้ยินเสียงร้องของลูกชายเลยสักแอะ...
“คนเก่งของแม่” หญิงสาวโน้มใบหน้าลงจูบแก้มยุ้ยๆ ของลูกชาย เขาเป็นทั้งหมดในชีวิตของหล่อน ชีวิตนี้จึงอุทิศแด่พ่อตัวน้อยนุ่มนิ่มเพียงคนเดียว
ให้นมเสร็จ พ่อหนูตัวน้อยๆ ก็หลับปุ๋ยอีกครั้ง หญิงสาวจึงลุกขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าตัวเล็กตัวน้อยที่ตากเอาไว้มานั่งพับใกล้กับเปลของลูกชาย เวลานั้นหญิงสาวไม่รู้เลยว่ามีใครบางคน มาด้อมๆ มองๆ อยู่นอกรั้ว
ที่ ศศิกานต์ กรุป
ตื๊ดด ตื๊ดดด...
เรวัตเงยหน้าจากเอกสาร เขาตวัดตามองไปยังโทรศัพท์มือถือส่วนตัว ข้อความดังติดกันหลายครั้งจึงเลื่อนมือไปหยิบมาดู คิ้วหนาเข้มขมวดเข้าหากันทันทีที่ข้อความถูกเปิด ภาพของคนในโทรศัพท์ทำให้เขานิ่งงัน แต่ภาพต่อๆ มาทำให้หัวใจที่เคยกระด้างแกว่งวูบ เกิดความรู้สึกสับสนกับภาพที่ได้เห็น
ตั้งแต่ตกพุ่มหม้ายใหม่ๆ เขากลายเป็นหนุ่มเนื้อหอม เขากลับไปคบหากับจริยาอีกครั้งแต่ไม่ได้ตัดสินใจลงเอยกับอีกฝ่ายในทันทีทันใด ประสบการณ์ล้มเหลวในชีวิตคู่ทำให้เขาต้องคิดอย่างรอบคอบขึ้น จึงยังไม่ยอมลงเอยกับจริยาแม้ฝ่ายนั้นจะรบเร้า
ทุกอย่างควรเป็นไปตามที่คาดการณ์ เพราะหลังจากหย่ากับโรสรินทร์ทำให้เขามีอิสระในการใช้ชีวิตอย่างล้นเหลือ แต่ก็ต้องแลกกับความเฉยชาที่ได้รับจากมารดา ท่านไม่เหยียบย่างมาที่บ้านของเขาอีก ไม่โทร.มาหา เป็นเขาที่มักจะโทรศัพท์ไปถามข่าวคราวของท่านเสมอ และทุกครั้งที่โทร.ไป เขาจะได้รับการปฏิเสธพูดคุยทุกครั้ง เขาเข้าใจว่ามารดาคงจะแค่โกรธ สักพักก็คงจะหาย แต่นานไปท่านก็ยังไม่ยอมพูดกับเขา ทำให้ชายหนุ่มนึกพาลไปถึงโรสรินทร์
จนกระทั่งเมื่อสี่ห้าเดือนก่อน แม่ของเขาโพสต์รูปภาพเด็กอ่อนคนหนึ่งลงอินสตาแกรม เขาคงไม่แปลกใจถ้าแม่จะลงแค่หนึ่งหรือสองภาพและเพียงครั้งเดียว แต่นี่แม่ของเขาลงภาพเด็กคนนั้นทุกอาทิตย์ ครั้งละหลายภาพ แต่เมื่อถามคนในบ้านของท่าน คนเหล่านั้นกลับไม่มีใครให้ความกระจ่างได้สักคน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องค้นหาความจริงด้วยตนเอง
ชายหนุ่มหลุบตามองรูปถ่ายในจอโทรศัพท์ของตนอีกครั้ง เจ้าคนตัวอ้วนในอ้อมแขนของโรสรินทร์ ทำให้เขาคิดถึงคืนสุดท้ายก่อนที่หญิงสาวจะหิ้วกระเป๋าจากไปโดยที่เขาไม่คิดจะทัดทานหล่อนแม้แต่คำเดียว
คืนนั้น พวกเขาทะเลาะกัน...
“คุณไม่คิดถึงโรส ก็ควรคิดถึงคุณแม่ของคุณบ้างนะคะ คุณพาเธอเข้ามาในบ้านของเราแบบนี้ ท่านจะคิดยังไง”
เรวัตเหยียดยิ้ม ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความสะใจที่เห็นคนตัวบางร่างเล็กทำท่าโกรธจัดเมื่อเขาพาจริยาเข้ามาในบ้าน
“อย่าเอาคุณแม่ท่านมาอ้างดีกว่าโรส เธอต่างหากที่ยุแยงตะแคงรั่ว ทำให้ท่านเชื่อว่าฉันเป็นคนไม่ดี ที่แท้เธอนั่นแหละที่อยากจะเข้ามาแทนที่ฉันใจจะขาด!”
โรสรินทร์นัยน์ตาวาบลึกเมื่อถูกปรักปรำ
“เธอรู้อยู่แก่ใจจริยา ว่าทำอะไรมาบ้าง” หญิงสาวโต้กลับ ก่อนตวัดตามองไปยังสามีด้วยสายตาปวดร้าว “คุณก็เหมือนกัน คุณควรสำนึกบ้างว่าตอนนี้เรายังไม่ได้หย่าขาด การที่คุณพาผู้หญิงคนนี้เข้ามา ก็เหมือนเอาชู้เข้าบ้าน!”
เรวัตถึงกับหัวเราะ ทว่าแววตาของเขาวาวโรจน์
“เป็นเธอเองไม่ใช่หรือไง ที่ไม่ยอมหย่า”
“ถึงอย่างนั้นแกก็ไม่มีสิทธิ์พานังหน้าไหนเข้ามาทั้งนั้นตาเร!!”
เสียงทรงอำนาจดังขึ้นพร้อมกับร่างอวบของคุณผกามาศที่เดินเข้ามาพร้อมคนสนิทของท่าน สายตาคู่คมปลาบมองไปยังจริยา ฝ่ายนั้นหลบตาท่านวูบหนึ่งก่อนยกมือไหว้ ทว่าถูกผู้มาใหม่เชิดหน้า ไม่ยอมรับไหว้
“กองไว้ตรงนั้นเถอะ!”
จริยาหน้าม้าน ดวงตาวาววับ แต่ต้องก้มหน้าหลุบตากดข่มอารมณ์ของตนเอาไว้
“คุณแม่” น้ำเสียงทุ้มต่ำเตือนมารดา ทว่ากลับถูกท่านสะบัดสายตามอง ซ้ำยังตอกหน้าเขากลับด้วยคำพูดเจ็บแสบ
“แกนี่มันตาต่ำ มีเมียที่ดีพร้อมอยู่ทั้งคน กลับไปคว้าผู้หญิงพรรค์นี้กลับมา บางทีฉันก็อยากให้แกความจำเสื่อมไปตลอดชีวิตเสียยังจะดีกว่ากลับมาจำได้แล้วเป็นแบบนี้!”
ชายหนุ่มหน้าตึง ริมฝีปากเม้มสนิท ขณะที่จริยาเบียดตัวกอดแขนเขาแน่น ซ้ำยังตัวสั่นราวลูกนก น้ำตาก็ไหลราวกับเขื่อนพัง ยิ่งทำให้เรวัตโกรธมารดาและภรรยามากขึ้น
“ชีวิตของผม ผมเลือกเอง แต่ถ้าสุดท้ายมันจะไม่เป็นอย่างที่คิดอย่างน้อยผมก็เลือกเอง ส่วนเธอ” เขามองไปยังโรสรินทร์ด้วยสายตาเย็นชา “ขอโทษนะที่ต้องบอกว่าไม่เคยรู้สึกอะไรกับเธอ แค่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าคนที่อยู่ด้วยไม่ใช่คนที่คิดไว้มันก็ทรมานจะแย่ ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่แม่กับโรสต้องยอมรับเสียที”
จริยายิ้มออกมาอย่างสะใจ ขณะที่โรสรินทร์หน้าเผือดซีด เมื่อเขาบอกว่าต้องทนอยู่กับหล่อนอย่างทรมาน...
“โรส” คุณผกามาศขยับชิดลูกสะใภ้ ไม่เพียงโรสรินทร์ที่สะเทือนใจกับคำพูดของเรวัต แต่คนเป็นแม่แท้ๆ เองยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่หญิงสาวต้องเผชิญ ทั้งยังรู้สึกผิดที่เป็นคนลากอีกฝ่ายเข้ามาพบเจอกับเรื่องนี้ ถ้าท่านไม่ขอให้โรสรินทร์แต่งงานกับลูกชายในตอนนั้น ก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“แม่ถามจริงๆ เถอะ แกจำได้ไหมว่าช่วงปีแรกที่แต่งงานกับโรส แกเคยมีความสุขมากแค่ไหน แกต้องจำได้สิ”
คำถามของมารดาทำให้เรวัตนิ่งเงียบ แววตาไหววูบ สีหน้าแปรเปลี่ยนแต่ก็เพียงช่วงสั้นๆ ก่อนกลับไปเป็นเรวัตผู้เย็นชาและเอาแต่ใจคนเดิม ขณะเดียวกันจริยาเองก็กระตุกแขนคนรักเพื่อดึงสติเขาเอาไว้
“ผมไม่คิดว่าจำเป็นต้องจำ เพราะมันไม่เคยเป็นเรื่องจริง เรื่องของผมกับจ๋าต่างหาก ที่เป็นเรื่องจริง!”
จริยาลอบแสยะยิ้มใส่โรสรินทร์ ต่างจากท่าทางที่สั่นสะท้านหวาดหวั่น
หญิงสาวมองดวงตาปลิ้นปล้อนของจริยาแล้วกำมือแน่น ก่อนสบตาคมกริบที่มองหล่อนราวกับคนที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อกันด้วยความช้ำใจ ไม่อยากเชื่อว่าการกลับไปเจอกับจริยาเพียงไม่นาน จะทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้
“คุณจะบอกว่าคุณลืมสิ่งดีๆ ที่เราเคยมีต่อกัน เคยทำร่วมกันทั้งหมด”
เรวัตนิ่ง ไม่ตอบคำถาม เช่นเดียวกับแววตาคมเข้มที่มองเลยไปไม่ยอมสบตาหญิงสาว
ดวงตาคู่งามเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา ก่อนจะสบตาผู้หญิงที่เคยเป็นคนรักเก่าของสามี แต่กำลังจะกลับมาเป็นคนรักในปัจจุบันอีกครั้งด้วยสายตาเย็นชา ในขณะที่ฝ่ายนั้นแสดงออกถึงความมีแต้มต่ออย่างชัดเจน
“สักวัน แกจะต้องเสียใจกับสิ่งที่แกทำลงไป” คุณผกามาศเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกระด้างแกมสั่นเครือ ก่อนจะมองคนข้างกายด้วยสายตาห่วงใย หญิงสาวจึงยิ้มให้ท่านพลางบอก
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ในเมื่อคุณเรตัดสินใจแบบนี้ โรสก็จะยอมรับ”
เรวัตหันมาสบตางดงามที่เจือความเศร้าหมองของโรสรินทร์อีกครั้ง แต่คนที่หัวใจแข็งประดุจหินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงสิ่งใดออกมานอกจากความเย็นชา
“ในเมื่อนี่คือสิ่งที่คุณต้องการ โรสจะยอมหย่า ขออย่างเดียว อย่าเพิ่งพาคนรักของคุณเข้ามาในบ้านหลังนี้ รอให้ฉันไปเสียก่อน หลังจากนั้นคุณจะทำอะไรก็เป็นสิทธิ์ของคุณเต็มที่”
หญิงสาวรักษาเกียรติและหน้าตาของเขารวมถึงมารดาเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะพอทำได้ ไม่อยากให้ใครๆ เอาไปลือว่าเขาพาผู้หญิงอื่นเข้าบ้านทั้งที่ยังมีเมียอยู่ทั้งคน เกรงว่าคุณผกามาศจะอับอายยามออกงาน จะกลายเป็นที่ซุบซิบนินทาของคนอื่น เรวัตก็จะพลอยหมดความน่าเชื่อถือไปด้วย ส่วนหล่อนคงไม่มีใครสนใจนัก เพราะแทบไม่มีใครรู้จัก
จริยาที่ร้องไห้อย่างหนักก็นัยน์ตาวาววาบขึ้นอย่างดีใจ ต่างจากคุณผกามาศที่กัดฟันกรอด ดวงตาที่มองลูกชายมีหยาดน้ำคลอออกมาด้วยความผิดหวังเสียใจ ทำให้ชายหนุ่มเมินหลบไม่สบตาท่าน แต่ต้องเจอกับสายตาของโรสรินทร์ที่กำลังมองเขาด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว พลันหัวใจของเขากลับหวั่นไหวแปลกๆ
คืนนั้น เขายอมทำตามคำขอร้องสุดท้ายของโรสรินทร์ โดยการพาจริยากลับไปส่งและกลับมานอนที่บ้าน พอเช้ารุ่งขึ้น หญิงสาวก็ลงมารอเขาที่ห้องรับแขก พร้อมเอกสารเตรียมหย่าเรียบร้อย เขากวาดตามองหามารดาแต่กลับไม่พบ
“คุณแม่ท่านกลับไปแล้วค่ะ ทีนี้ก็เหลือแค่โรสกับคุณ เรา...ไปทำให้มันจบๆ กันเถอะค่ะ”
ร่างอ้อนแอ้นที่ดูจะบอบบางลงของโรสรินทร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง วันนี้หล่อนอยู่ในชุดสีดำราวจะไว้อาลัยให้กับชีวิตแต่งงานที่บัดซบระหว่างเขากับหล่อน จากนั้นเดินนำออกไปก่อน ขณะที่เขานิ่งงันอยู่ตรงนั้น ราวกับลังเลอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจก้าวตามหล่อนออกไปในที่สุด
เมื่อหย่าเรียบร้อย เรวัตคิดว่าโรสรินทร์คงจะอยู่ที่บ้านเพื่อเตรียมเก็บข้าวของโดยใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งอาทิตย์ แต่กลายเป็นว่าช่วงบ่ายของวัน โรสรินทร์ก็ลากกระเป๋าเพียงใบเดียวออกจากบ้านของเขา หล่อนสบตาเขา มองนิ่ง ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก เช่นเดียวกับเขาที่เงียบงัน ไม่มีคำร่ำลา มีเพียงเช็คหนึ่งใบที่ส่งให้หญิงสาว ทว่าหล่อนเพียงยิ้มและปฏิเสธที่จะรับ ก่อนจะขับรถยนต์ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของหล่อนออกไปจากบ้านของเขาเงียบๆ
เรวัตมองหล่อนจากไปด้วยความรู้สึกอื้ออึงในใจ เขาควรจะรู้สึกปลอดโปร่งยินดีสิ ทว่าในความจริงกลับมีแต่ความอึดอัด แต่ถึงอย่างนั้นเขายังบอกกับตนเองว่าทำถูกแล้ว ถ้าไม่รัก ก็ควรปล่อยหล่อนไป เพื่อที่หล่อนจะได้มีโอกาสในการพบเจอคนที่ใช่สำหรับหล่อน ส่วนเขาก็คงทำตามแผนที่วางเอาไว้เช่นเดียวกัน...
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวขณะหลุบตามองภาพคู่แม่ลูกดูอีกครั้ง ทุกวันที่ผ่านไป เขาได้ตระหนักว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าเด็กคนนั้น อาจเป็นลูกของเขา...
เรวัตยกมือของตัวเองขึ้นลูบใบหน้าเบาๆ ปิดภาพของโรสรินทร์และเด็กน้อยในอ้อมแขน
ถึงเวลาที่เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างเสียที