๑๓
ระหว่างความฝันกับความจริง
เรวัตรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ได้ยินเสียงประตูปิด เขาตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อที่ชุ่มโชก ก่อนมองไปยังเตียงนอนพร้อมกับถอนหายใจยาว
เขาฝันไปหรอกหรือ...
ดวงตาสีเข้มมองไปยังโรสรินทร์ เห็นพี่เลี้ยงเด็กกำลังนำของใช้ที่เอามาจากบ้านจัดเก็บเข้าตู้ ชายหนุ่มขยับตัวนั่งตรง ใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมา โรสรินทร์หันมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะลงจากเตียงแล้วไปดูของที่พี่เลี้ยงสาวนำมา
ขณะที่มองตามร่างบางของหญิงสาว เรวัตคิดถึงความฝัน จนถึงตอนนี้ภาพทุกอย่างยังชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้น แววตาที่มองโรสรินทร์จึงเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างหนัก
“แนนมาแล้ว คุณเรกลับก่อนได้เลยนะคะ”
เสียงหวานๆ ที่กล่าวออกมาทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ เขาขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาหลุบมองไปที่ข้อมือกลมกลึงข้างขวาแล้วใจกระตุก คิ้วหนาขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มสนิท หัวใจเต้นแรงขึ้นอีกระดับ เพราะรอยแผลเป็นที่เขามองเห็นอยู่ในตอนนี้เหมือนกับแผลเป็นที่เกิดขึ้นตรงกับในความฝันก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
เรวัตเงียบงันไปอึดใจใหญ่ ขณะที่สองสาวได้แต่ลุ้นว่าคราวนี้เขาจะรวนอะไรอีก แต่กลายเป็นว่าชายหนุ่มไม่ได้ทำอย่างที่ทั้งคู่นึกหวั่น
“ถ้ามีอะไร รีบบอกฉัน” คราวนี้โรสรินทร์ยอมสบตาคนพูด ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวตรงไปยังประตูและกลับออกไปเงียบๆ
ทำเอาแนนถึงกับลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก โรสรินทร์มองพี่เลี้ยงสาวแล้วยิ้มออกมานิดๆ บอกตนเองว่านับจากนี้เป็นต้นไปหล่อนจะไม่ใส่ใจเขาอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แม้ว่าเรวัตจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับโรสรินทร์ในระยะหลัง ทั้งยังมีความฝันมาเป็นตัวกระตุ้นให้เขาเกิดความรู้สึกที่แม้แต่ตัวของเขาเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ชายหนุ่มยังคงติดต่อกับอภิญญา เขาเริ่มรับส่งหล่อนอีกครั้ง สิ่งแรกที่กลับคืนมาระหว่างคนทั้งสองคือมิตรภาพ ความเป็นเพื่อนที่ยังคงมีอยู่ในหัวใจไม่เคยจางหาย แต่สำหรับความรัก ความห่วงหาอาทรยังเป็นอีกเรื่องที่ทั้งสองต้องทบทวนความรู้สึกที่เคยมีต่อกันให้ถี่ถ้วน
เช่นเดียวกับอภิญญา แม้จะรู้สึกดีกับเขามากเพียงใด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตทำให้หญิงสาวต้องยับยั้งความต้องการของตนเอาไว้ ไม่ให้เผลอหวั่นไหวไปกับเขากว่าที่เป็นอยู่ แม้เวลานี้เรวัตจะกลายเป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์มาก มั่นใจในตัวเองสูง ไม่ยอมให้ใครมาชี้นำหรือแม้แต่ทำให้เขาต้องหยุดยั้งตัวเองลงอย่างไม่ต้องการ แต่ประสบการณ์บอกกับหล่อนว่าอย่าผลีผลามวางใจ เพราะตราบใดที่คุณผกามาศยังเกลียดหล่อน ต่อให้เรวัตเด็ดขาดแค่ไหน แต่ชีวิตของหล่อนก็คงจะพบความสงบสุขได้ยากยิ่ง
เพื่อนร่วมงานของอภิญญาต่างกระเซ้า เพราะเมื่อถึงเวลาพักเที่ยง มักจะมีหนุ่มหล่อมารอรับหญิงสาวออกไปรับประทานอาหารเป็นประจำ แม้หญิงสาวจะไม่ยอมบอกว่าทั้งคู่คบหากันในฐานะอะไร แต่ใครต่อใครต่างฟันธงว่าทั้งสองกำลังคบหากันในรูปแบบคนรัก และมีบางคนเกิดคุ้นหน้าคุ้นตาชายหนุ่ม จนกระทั่งในที่สุดก็ได้รู้ว่าเขาเป็นลูกชายนักธุรกิจชื่อดัง ตัวเขาเองก็มีผลงานโดดเด่นไม่เป็นรองใคร ยิ่งได้รู้ว่าฐานะของชายหนุ่มนั้นเป็นปึกแผ่นมากแค่ไหน สาวๆ ต่างอิจฉาอภิญญาเป็นทิวแถว ส่วนหนุ่มๆ ต่างอกหักทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มจีบ ที่สำคัญ เรวัตเพิ่งมีข่าวการหย่าร้างกับอดีตภรรยา สรุปคือฝ่ายชายนั้นเป็นพ่อหม้าย ส่วนฝ่ายหญิงก็เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ดูๆ แล้วก็เหมาะสมกันไม่น้อย
แต่ไม่มีใครรู้ว่าคนทั้งสองเคยเกือบจะได้ร่วมชีวิตกันมาแล้วครั้งหนึ่ง
“พี่อ้อนนี่โชคดีเนอะ เข้ามาทำงานได้ไม่ทันไร ก็มีหนุ่มหล่อมาตกหลุมรัก แถมรวยมาก ถ้าพี่อ้อนตกลงใจขึ้นมา ฉันว่าต้องสบายไปทั้งชาติแน่”
พนักงานโรงแรมเปรยขึ้นอย่างนึกอิจฉาผู้จัดการสาวสวย ได้แต่แอบมองความเพียบพร้อมของคนทั้งคู่
“วันเสาร์อ้อนว่างหรือเปล่า”
อภิญญาสบตาคนถามขณะรับประทานอาหาร
“ช่วงบ่ายอ้อนมีนัดกับน้องแอลลี่ค่ะ ว่าจะพาแกไปเลือกซื้อสมุดวาดภาพกับพวกหนังสือระบายสี”
คนฟังยิ้มจาง เขากำลังคิดถึงเด็กหญิงที่มีใบหน้าละม้ายคนตรงหน้า
“ถ้าอย่างนั้นผมไปรับอ้อนกับลูก แล้วพาน้องแอลลี่ไปซื้อของที่อยากได้กันก่อน แวะกินข้าวเย็นแล้วค่อยพาไปส่งที่บ้านดีไหม”
อภิญญานิ่งเงียบเมื่อชายหนุ่มขันอาสา ดวงตาคู่สวยหลุบมองช้อนในมืออย่างครุ่นคิด มารดาของหล่อนยังไม่รู้ว่าตอนนี้หล่อนกับเขากลับมาคบหากันอีกครั้ง แม้ว่าสถานภาพจะยังไม่ชัดเจน แต่หากมารดาทราบท่านคงไม่สบายใจนัก
ท่าทางนิ่งเงียบครุ่นคิดของหญิงสาวทำให้เรวัตรับรู้ได้ว่าหล่อนคงยังไม่พร้อม
“อ้อนไม่สะดวกใช่ไหม”
อภิญญาสบตาเขาอีกครั้งพร้อมยิ้มออกมา
“อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่อ้อนยังไม่อยากให้แม่รู้ เพราะหากท่านรู้เรื่องของพวกเราท่านคงไม่สบายใจ”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างยอมรับในที่สุด
“ผมเข้าใจ” เขาบอกเสียงเบา ก่อนจะตักกับใส่จานให้กับหญิงสาวอย่างเอาใจใส่ พลันภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนเป็นภาพของเขากับโรสรินทร์ ความฝันยังตามหลอกหลอนเขามาจนวินาทีนี้ ภาพนั้นคือภาพที่หญิงสาวตักอาหารให้กับเขา และเขาก็ตักให้กับหล่อน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข มีทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังคลอกันไป บางครั้งก็เป็นภาพที่เขานั่งโอบไหล่หล่อนเอาไว้บนโซฟาหน้าทีวี หล่อนเอนซบไหล่ของเขา มือกุมกัน ก่อนจะตัดมาในวันที่เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับความทรงจำเดิมที่ฟื้นคืน แต่กลายเป็นว่าเมื่อเขาได้ความทรงจำเก่าคืนมา ความทรงจำใหม่ในช่วงเวลาปีแรกที่อ่อนหวานกลับหายไป จากภาพความรักความอบอุ่น จึงถูกแทนที่ด้วยภาพของคนที่กำลังเกรี้ยวกราดเพราะคิดว่าถูกหักหลังจากคนที่รักและไว้ใจ...
อาการนิ่งเงียบเหงื่อตกและหน้าซีดของเรวัตทำให้อภิญญาต้องเอื้อมมือไปแตะหลังมือของชายหนุ่ม เพราะหล่อนเรียกเขาถึงสองครั้งแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว
“เรคะ”
ชายหนุ่มกะพริบตา แล้วดึงสติกลับมาที่จุดเดิม
“เอ่อ ขอโทษที เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”
หญิงสาวมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้าเป็นรอยยิ้มอ่อน
“อ้อนถามคุณว่า คุณยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นหรือเปล่า”
ดวงตาคู่สวยที่มองเขาราวจะชวนรำลึกความหลัง ทำให้เรวัตหลุบตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากได้รูปแต้มยิ้มจาง
“ใช่ ผมยังอยู่ที่นั่น”
เมื่อได้รับคำตอบ ทำให้อภิญญารู้สึกผิดอย่างท่วมท้น ดวงหน้างามหม่นหมองลงเพราะความละอาย หล่อนทิ้งเขาไปโดยไม่คิดร่ำลาหรืออธิบาย ปล่อยให้ทั้งเขาและเรือนหอหลังนั้นร้างเจ้าสาว ส่วนตัวเขาก็เกือบตายเพราะหล่อน...
“อ้อน ขอโทษและอยากให้เรรู้ว่าเสียใจกับเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมามากแค่ไหน อ้อนควรอยู่กับเรแต่...”
น้ำเสียงสั่นหวิวและสีหน้าหมองๆ ทำให้เขามั่นใจว่าหล่อนไม่ได้โกหก แต่เขาก็ไม่อยากรื้อฟื้นความหลังที่เจ็บปวดขึ้นมาอีก
“อย่าคิดมากเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว มองที่ปัจจุบันดีกว่า”