บทที่ 9

1880 คำ
เช้านี้ หนุ่ยมีนัดสัมภาษณ์เพื่อการฝึกงานในชั้นปีสี่กับบริษัทคอนซัลท์แห่งหนึ่งที่ภูวินทร์เป็นคนแนะนำให้ ชายหนุ่มรีบทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกจากบ้านพร้อมภูวินทร์ เพื่อให้เขาแวะลงระหว่างทาง แล้วต่อรถไปยังบริษัทดังกล่าว แม้ภูวินทร์จะอาสาให้คนขับรถไปส่งถึงที่ แต่หนุ่ยเกรงใจ เพราะเส้นทางอยู่กันคนละทิศ จึงยืนยันจะเดินทางไปเอง “ดู๊ ดู จะรีบอะไรขนาดนั้น! ดูซิ ยังมาทำหน้าทะเล้นอีก เจ้าหนุ่ยนี่!” ป้าสร้อยบ่นพลางส่ายหน้า เมื่อเห็นหนุ่ยรีบร้อนขึ้นรถแล้วหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ พร้อมรอยยิ้มสดใสและท่าทีคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง คะนึงนิจหัวเราะเบา ๆ กับภาพนั้น ส่วนภาคินทร์ในอ้อมกอดของเธอก็โบกมือหย็อย ๆ ลาพ่อกับน้าของตัวเองที่นั่งอยู่ในรถซึ่งแล่นออกไปแล้วด้วยท่าทีร่าเริง ปากเล็ก ๆ เอ่ยเสียงใส “บายพ่อ...บายพ่อ” ซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าเอ็นดู “เห็นหนุ่ยบอกนิจว่าบริษัทนี้น่าสนใจมากเลยค่ะ ถ้าได้ฝึกงานก็คงมีโอกาสออกนอกสถานที่ไปพบลูกค้าด้วย ดูแล้ว...น่าจะถูกจริตกับหนุ่ยนะคะ” “ป้าก็หวังให้หนุ่ยสมหวังเหมือนกัน” ป้าสร้อยพูดพลางยิ้มอ่อน “เห็นภูบอกว่า เขารู้จักกับเจ้าของบริษัท อาจพอจะช่วยพูดให้ได้” “นิจก็อยากให้หนุ่ยได้งานที่ชอบค่ะ” คะนึงนิจเสริมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ดูจากเกรดกับแฟ้มผลงานที่หนุ่ยเตรียมไป บริษัทน่าจะสนใจหนุ่ยนะคะ” คะนึงนิจรู้สึกโล่งใจอยู่ไม่น้อย เมื่อรู้ว่าบริษัทที่ภูวินทร์แนะนำให้หนุ่ยไปฝึกงานนั้น ไม่ใช่บริษัทเดียวกับที่หนุ่ยเคยไปฝึกงานเมื่อชาติก่อน เธอยังจำได้แม่นยำ...ราวกับภาพนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน บริษัทนั้นทาบทามให้หนุ่ยทำงานต่อหลังจบการฝึกงาน และนั่นเอง...คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่นำพาหนุ่ยไปสู่ความตาย คะนึงนิจเม้มริมฝีปากแน่น ความตั้งใจฉายชัดในแววตา ในชาตินี้...เส้นทางชีวิตของน้องชายเธอจะต้องไม่บรรจบกับผู้หญิงคนนั้นอีก ครั้งนี้ เธอจะเป็นนางมารร้ายที่ปัดเป่าเคราะห์ร้ายทั้งหมดให้พ้นจากน้องชายของเธอเอง ... “สวัสดีครับ พี่เอกภพ” ภูวินทร์เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสุภาพ เมื่อรับสายจากรุ่นพี่สมัยมัธยม แม้ทั้งคู่จะเรียนกันคนละสาขาในระดับมหาวิทยาลัย แต่ในแวดวงธุรกิจกลับมีโอกาสได้กลับมาร่วมงานและช่วยเหลือกันอยู่บ่อยครั้ง “หวัดดี จะโทรมาขอบใจนายหน่อย” เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากปลายสาย “วันนี้มีน้องนักศึกษาคนหนึ่งที่นายส่งมา สัมภาษณ์ฝึกงาน หน่วยก้านดีทีเดียว พี่ว่าจะรับเข้าฝึกงานเลยถ้าน้องเขาพร้อมนะ ไม่รู้นายไปคว้าเพชรเม็ดนี้มาจากไหน” ภูวินทร์หัวเราะเบา ๆ อย่างโล่งใจ “จริงหรือครับพี่ อย่าพูดเพราะเกรงใจผมนะครับ น้องคนนี้เขาอยากได้โอกาสด้วยความสามารถของตัวเอง ถ้าพี่เห็นว่าเหมาะก็รับได้เลย แต่ถ้าไม่เข้ากับสายงานก็ปฏิเสธได้เลยนะครับ ทางผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” “พี่ชอบเด็กคนนี้มากเลยนะ” เสียงของเอกภพเต็มไปด้วยความชื่นชม “วันนี้พี่กับผู้จัดการฝ่ายธุรกิจใหม่นั่งคุยกับน้องอยู่เป็นชั่วโมง ยิ่งพอดูแฟ้มผลงานก็ยิ่งประทับใจเข้าไปใหญ่ เห็นได้ชัดเลยว่าน้องมีความพยายาม ตั้งใจเรียนรู้ ไม่อ่อนปวกเปียก แถมยังถ่อมตัวอีกต่างหาก” เอกภพหัวเราะเบา ๆ ก่อนพูดต่อ “พี่กับผู้จัดการคุยกันแล้วว่าจะรับน้องคนนี้เข้าฝึกงานแน่นอน ถ้าผลงานออกมาดี...อาจทาบทามให้ทำงานประจำต่อหลังเรียนจบเลยก็ได้ สมัยนี้เด็กเก่ง ๆ แบบนี้หายาก เลยอยากโทรมาบอกข่าวดีให้นายรู้ไว้ก่อน” ภูวินทร์รู้สึกดีใจแทนน้องชายของภรรยา เขาเอ่ยขอบคุณรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณมากเลยครับ พี่เอก” เขาหัวเราะเบา ๆ อย่างเกรงใจ “จริง ๆ แล้ว น้องคนนี้เป็นน้องภรรยาผมเองครับ นิสัยดี ขยัน และวางตัวเหมาะสมทุกอย่าง ผมฝากพี่ช่วยดูแลน้องด้วยนะครับ ใช้งานได้เต็มที่เลย ให้เขาได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์” “อ้าวเหรอ เป็นคนกันเองนี่เอง” เสียงของเอกภพฟังดูอบอุ่น “นายไม่ต้องห่วงเลย พี่ชอบนิสัยเด็กคนนี้จริง ๆ จะดูแลให้อย่างดีแน่นอน” “ขอบคุณมากครับ พี่เอก” ภูวินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ หลังวางสายจากรุ่นพี่ เขารีบโทรหาหนุ่ยทันที เพื่อบอกข่าวดีให้น้องชายของภรรยาที่เขาเอ็นดูราวกับน้องแท้ ๆ ได้รับรู้ ใบหน้าของเขาในตอนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความภาคภูมิใจ “หนุ่ยครับ พี่ภูเองนะ พี่มีข่าวดีจะบอก ทางบริษัท C ตกลงรับหนุ่ยเข้าฝึกงานแล้วนะ” น้ำเสียงของภูวินทร์เปี่ยมด้วยความยินดี “จริงเหรอครับ พี่ภู!” เสียงของหนุ่ยดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ผมเพิ่งกลับถึงบ้านเมื่อกี้นี้เอง วันนี้ทางบริษัทสัมภาษณ์ผมตั้งชั่วโมงกว่า เกร็งจนเหงื่อแตกไปหมดเลยครับ ขอบคุณพี่ภูมากนะครับ ที่ช่วยผม” “พี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย หนุ่ยได้ด้วยความสามารถของตัวเองทั้งนั้น เจ้าของบริษัทเขาสนใจคุณสมบัติกับแฟ้มผลงานของหนุ่ยมาก” ภูวินทร์พูดพลางยิ้มอย่างภูมิใจ “ยังไงผมก็ต้องขอบคุณพี่ภูอยู่ดีครับ” หนุ่ยตอบเสียงหนักแน่น “ถ้าพี่ไม่ช่วยส่งประวัติให้ ผมคงไม่มีโอกาสดี ๆ แบบนี้แน่ ผมลองอ่านประวัติแล้วดูผลงานของบริษัทนี้ย้อนหลัง ผมชอบมากเลยครับ สัญญาเลยว่าจะตั้งใจฝึกงานให้เต็มที่ ไม่ทำให้พี่ภูต้องเสียชื่อเสียงแน่นอนครับ!” ภูวินทร์หัวเราะเบา ๆ กับความมุ่งมั่นของอีกฝ่าย “พี่เชื่อหนุ่ยอยู่แล้ว ทำให้เต็มที่นะ พี่จะคอยเอาใจช่วย” คะนึงนิจได้ยินที่หนุ่ยคุยโทรศัพท์กับภูวินทร์ก็รู้สึกดีใจแทนน้องชายที่สมหวังในสิ่งที่ตั้งใจไว้ เธอหัวเราะพลางเอ่ยแซว “ดีใจจนยิ้มไม่หุบเลยนะ แบบนี้คงไม่ต้องกินข้าวเย็นแล้วมั้ง” หนุ่ยที่ยังนั่งเหม่อยิ้มอยู่หันมาหัวเราะเขิน ๆ “พี่นิจก็... ผมดีใจต่างหากล่ะครับ กำลังคิดอยู่ว่าจะเริ่มไปฝึกงานเลยดีไหม ตอนนี้ปิดเทอมอยู่ มีเวลาว่างพอดี แต่พอเปิดเทอมสัปดาห์แรกจะยุ่งหน่อย ต้องไปมหาวิทยาลัย พบอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วก็ทำเรื่องลงทะเบียนให้เรียบร้อย พี่นิจว่าดีไหมครับ?” คะนึงนิจคิดตาม ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงใจเย็น “พี่ว่าหนุ่ยเริ่มฝึกงานหลังเปิดเทอมดีกว่านะ จะได้ไม่ฉุกละหุกมาก ช่วงนี้ก็ใช้เวลาเคลียร์ธุระต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ทั้งเรื่องงานที่คณะ แล้วก็เรื่องส่วนตัวของหนุ่ยเองด้วย” “อืม...ก็ดีครับ หนุ่ยจะได้มีเวลาเล่นกับน้องคินอีกสักหน่อย ดีไหมครับ น้องคิน?” “เล่น! เล่น!” ภาคินทร์พยักหน้ายิ้มกว้างตอบรับเสียงใส แม้จะไม่เข้าใจนักว่าผู้ใหญ่พูดถึงอะไร แต่พอได้ยินคำว่า เล่น ก็รีบพยักหน้ารับทันที “แน่ะ คุยรู้เรื่องกับเขาด้วยเหรอ หืม...หรือว่าห่วงแต่เล่นกันแน่คะลูก” คะนึงนิจแซวลูกชายตัวน้อยด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักเออออไปกับผู้ใหญ่อย่างไม่รู้เรื่องนัก แต่ดวงหน้าเล็กนั้นกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสดใสจนหัวใจของแม่อบอุ่นตาม หนุ่ยหัวเราะเบา ๆ ก่อนขยับตัวลงนั่งข้างหลานชายตัวน้อย “มาครับ วันนี้น้องคินอยากต่อตัวต่ออะไรดี เดี๋ยวน้าหนุ่ยช่วยต่อด้วย” เสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กน้อยดังคลอไปกับเสียงพูดของน้าชาย บรรยากาศในบ้านอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและความสุขเรียบง่าย … เสียงหัวเราะคุยกันหนุงหนิงของหญิงสาวสองคนดังลอดออกมาจากหน้าห้องทำงานของภูวินทร์ เขากำลังก้าวมาถึงพอดี หลังกลับจากการประชุมกับบริษัทลูกค้ารายหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือมณีรัตน์ เลขาฯ สาวหน้าห้องของเขา ส่วนอีกคนคือจันทร์รวี ผู้หญิงที่แสดงท่าทีสนิทสนมกับมณีรัตน์ราวกับรู้จักกันมานาน ภูวินทร์ชะงักเล็กน้อย คิ้วขมวดแน่น ปากเม้มสนิท แววตาแข็งกร้าวแฝงความเกลียดชังอย่างชัดเจนขณะก้าวผ่านทั้งสองไปโดยไม่เอ่ยคำใด “คุณภูวินทร์คะ” มณีรัตน์รีบเอ่ยเสียงตื่นเต้น “คุณจันทร์รวีนำเอกสารของคุณวุฒิมาให้เซ็นค่ะ ดิฉันวางไว้ที่โต๊ะของท่านแล้วนะคะ” “สวัสดีค่ะ...พี่ภู...อุ้ย ขอโทษค่ะ คุณภูวินทร์” จันทร์รวีรีบแก้คำพูดของตนอย่างรวดเร็ว “พอดีคุณวุฒิมีเอกสารเสนอราคาจากซัพพลายเออร์รายหนึ่ง ฝากให้ช่วยพิจารณาและเซ็นภายในวันพรุ่งนี้ค่ะ” เธอเว้นจังหวะสั้น ๆ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “คุณวุฒิแจ้งมาว่า ช่วงนี้สินค้าหลายรายการมีแนวโน้มขึ้นราคา แต่เพราะบริษัทเราทำสัญญาซื้อกับซัพพลายเออร์รายนี้มานานแล้ว เขาจึงยินดีจะตรึงราคานี้ไว้ให้เราได้ถึงแค่วันพรุ่งนี้เท่านั้นค่ะ” ภูวินทร์ก้าวเข้าห้องทำงานโดยไม่เอ่ยตอบรับใด ๆ ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันอย่างเจื่อน ๆ ก่อนที่จันทร์รวีจะรีบขอตัวกลับโต๊ะทำงาน เสียงส้นรองเท้าหนังกระทบพื้นดังเป็นจังหวะชัดในความเงียบของห้อง ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังโต๊ะทำงาน มือใหญ่เปิดลิ้นชัก หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาหนึ่งซอง ก่อนล้วงรูปถ่ายสองปึกออกมาวางบนโต๊ะ ปึกแรกเป็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งเดินควงกันเข้าออกโรงแรมอย่างสนิทสนม...ชายในภาพนั้น เขารู้จักดี...วุฒิ เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนของเขาเอง ส่วนหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างในภาพนั้น...คือคนที่เขาเพิ่งเดินผ่านหน้าเมื่อครู่หน้าห้องทำงานของตน ภูวินทร์เม้มริมฝีปากแน่น แววตาเย็นเฉียบขณะหยิบภาพอีกปึกขึ้นมาดู ในภาพ เป็นชายหญิงอีกคู่ที่แสดงความใกล้ชิดอย่างไม่ปิดบัง ทั้งโอบกอด ทั้งจูบกันแนบสนิท ชายในภาพ เขาจำได้เช่นกัน เคยพบกันหลายครั้ง และรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่สิ่งที่ทำให้เลือดในกายเขาเย็นเฉียบ คือผู้หญิงในภาพ...เป็นคน ๆ เดียวกันกับในรูปชุดแรก...จันทร์รวี เขาเพ่งมองภาพถ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บกลับเข้าซองแล้ววางไว้ในลิ้นชักตามเดิม สิ่งที่เขาเคยสงสัย...กลายเป็นความจริงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ตอนนี้ เขาจำเป็นต้องเร่งเดินเกม เพื่อสกัดความวุ่นวายที่อาจเกิดจากความโลภของคนที่เขาเคยไว้ใจ ภูวินทร์สูดลมหายใจเข้าลึก มือใหญ่ล้วงโทรศัพท์ออกมา กดหมายเลขของคนที่เขาต้องการพบหน้า...สายตาเย็นเฉียบสะท้อนความมุ่งมั่นชัดเจนในแววตา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม