ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จันทร์รวีเริ่มเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของภูวินทร์อย่างเงียบ ๆ
เธอศึกษาทุกอย่าง ตั้งแต่เวลาที่เขาเข้าหรือออกจากสำนักงาน ช่วงที่เขาออกไปประชุม หรือแม้กระทั่งนิสัยส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มณีรัตน์ เลขาฯ หน้าห้องมักเผลอหลุดปากเล่าให้ฟังระหว่างพักกลางวัน
“คุณภูเป็นคนตรงเวลาเป๊ะเลยค่ะ ขนาดประชุมที่ว่าด่วนแค่ไหน ก็ไม่เคยให้ลูกน้องรอนาน” มณีรัตน์เคยพูดอย่างชื่นชม
จันทร์รวีเพียงยิ้มบาง “แหม ผู้ชายแบบนี้สิคะ ที่น่าชื่นชม”
ในขณะที่มือเรียวกำลังถือแก้วกาแฟ เธอแอบสังเกตสายตาของเลขาฯ สาวที่พูดถึงเจ้านายด้วยน้ำเสียงชื่นชอบเกินกว่าความเคารพตามหน้าที่
มณีรัตน์เองก็คงชอบเขาอยู่สินะ...แต่เธอไม่ทันฉันหรอก จันทร์รวีคิดพลางยกแก้วจิบเบา ๆ
เธอเริ่มวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน
เริ่มจากการปรากฏตัว “โดยบังเอิญ” ตามจุดต่าง ๆ ที่เขาผ่าน เช่น ล็อบบี้บริษัท ห้องอาหารชั้นล่าง หรือแม้แต่ลิฟต์โดยสารที่เธอคำนวณเวลาไว้ล่วงหน้า
เขาแทบไม่มองเธอเลย แต่เธอก็ไม่เร่งรีบ จันทร์รวีรู้ดีว่า ผู้ชายอย่างเขา...ต้องการเวลาและช่องว่างที่พอดีให้ความสนใจค่อย ๆ เติบโต
จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่ภูวินทร์กำลังรอรถอยู่หน้าตึก เธอก็ถือแฟ้มเอกสารเดินผ่านและ “บังเอิญ” ทำตก
เสียงกระดาษปลิวกระจายทั่วพื้นทางเดินในจังหวะที่เธอตั้งใจจะ “บังเอิญ” ทำตก
จันทร์รวีชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาเหลือบมองภูวินทร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความคาดหวังว่าชายหนุ่มจะก้มลงช่วยเก็บให้สักแผ่นสองแผ่น
แต่ทว่า...เขากลับไม่แม้แต่จะขยับตัว
ภูวินทร์ก้มมองนาฬิกาข้อมือเพียงแวบเดียว ก่อนหันไปทางรถที่จอดเทียบด้านหน้า เมื่อรถมาถึง เขาก้าวขึ้นไปโดยไม่เหลียวกลับมามองเธอ ไม่แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
จันทร์รวีได้แต่ยืนนิ่ง มือกำแฟ้มแน่น ความประหลาดใจผสมขุ่นเคืองแล่นขึ้นมาในอก
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนค่อย ๆ ก้มลงเก็บกระดาษที่ปลิวกระจัดกระจายด้วยตัวเอง
ความเงียบรอบตัวเหมือนกดทับเข้าใส่ จันทร์รวีเม้มริมฝีปากแน่น เจ็บใจที่ละครที่เธอตั้งใจจัดฉากไว้อย่างดี กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
...
ภูวินทร์นั่งอ่านข้อมูลบนแท็บเล็ตอย่างตั้งใจในรถ เนื้อหาเกี่ยวกับการประชุมช่วงบ่ายนี้กับลูกค้าชาวรัสเซีย โปรเจกต์ที่เขาติดตามผลมานานหลายเดือน
วันนี้...น่าจะได้ข้อสรุปเสียที หากทุกอย่างสำเร็จ บริษัทของเขาจะสามารถขยายตลาดเข้าสู่ประเทศรัสเซียได้ แม้จะเป็นเพียงโปรเจกต์ขนาดเล็ก แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการพาบริษัทก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพระดับสากล
เขาวางแท็บเล็ตลงข้างกาย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูข้อความในไลน์
นักสืบเอกชนที่เขาว่าจ้างมานานส่งรายงานชุดใหม่มาให้ พร้อมรูปถ่ายและรายละเอียดที่เขาเคยสั่งให้ติดตามต่อ
ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขานิ่งไปครู่หนึ่ง
นอกจาก วุฒิ ที่มีความสัมพันธ์กับจันทร์รวีแล้ว...ยังมี เก่ง สามีของแก้ว คนที่เขารู้จักมาหลายปี ปรากฏชื่ออยู่ในรายงานเดียวกันด้วย
ภูวินทร์ขมวดคิ้วแน่น เขาไม่คาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะพัวพันกับผู้ชายรอบตัวมากขนาดนี้
เขาสั่งให้นักสืบมืออาชีพติดตามความเคลื่อนไหวของทั้งเก่งและจันทร์รวีต่ออย่างเงียบเชียบ
แม้ทั้งคู่จะไม่ได้พบกันบ่อย แต่ความอดทนในการเฝ้าติดตามก็ให้ผลตอบแทนในที่สุด
ภาพถ่ายหลายใบบันทึกช่วงเวลาที่ทั้งสองปรากฏตัวที่โรงแรมเดียวกัน แม้จะออกมาคนละเวลาก็ตาม
ภูวินทร์จ้องภาพเหล่านั้นอยู่นาน แววตาเรียบนิ่งแต่เย็นเยียบ
เขากดบันทึกไฟล์และจัดเก็บไว้ในโฟลเดอร์ส่วนตัวอย่างเป็นระบบ หลักฐานทั้งหมดนี้...เขาจะเก็บไว้ใช้ในวันที่เหมาะสม
...
หลังจากติดต่อทนายและได้รับร่างสัญญาการร่วมทุนกลับมา คะนึงนิจอ่านสัญญาทีละข้ออย่างละเอียด ยิ่งอ่านก็ยิ่งพอใจในความรอบคอบของเนื้อหา ไม่มีช่องโหว่หรือจุดเสี่ยงใดให้กังวลใจอีก
เธอจึงตัดสินใจแจ้งตกลงเข้าร่วมหุ้นจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับแก้วและคุณอ้อ ทั้งสามนัดพบกันเพื่อพูดคุยและตกลงรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญา รวมถึงแนวทางการดำเนินงานในระยะเริ่มต้น
สำหรับแบรนด์เครื่องสำอางที่ทั้งสามจะร่วมกันสร้าง ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะใช้ชื่อว่า “Friend Pretty” แบรนด์ที่ตั้งใจให้เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมแรงร่วมใจและมิตรภาพ
บทบาทของแต่ละคนถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน
คะนึงนิจรับหน้าที่ดูแลด้านการตลาดและการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ
แก้วดูแลงานหลังบ้านทั้งหมด ส่วนคุณอ้อจะรับผิดชอบด้านการจัดซื้อและพัฒนาผลิตภัณฑ์
ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทีมงานและการดำเนินการ จะค่อย ๆ วางแผนเพิ่มเติมในภายหลัง
เมื่อทุกอย่างเริ่มชัดเจน คะนึงนิจรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟบางอย่างแล่นอยู่ในอก
ความตื่นเต้น ความมุ่งมั่น และความหวังใหม่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เธอแทบอดใจไม่ไหวอยากเริ่มต้นทำธุรกิจในทันที คิดถึงแผนการตลาด กลยุทธ์ โปรโมชัน และกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะผลักดันแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ
เธอยิ้มออกมาอย่างมีชีวิตชีวา รู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับมามีความฝันให้ไล่ตามอีกครั้ง
คะนึงนิจกลับถึงบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สดใสกว่าทุกวัน
ทันทีที่เห็นลูกชายตัวน้อย เธอก็รีบอุ้มขึ้นมาหอมแก้มซ้ายที ขวาที จนภาคินทร์หัวเราะเอิ้กอ้ากเสียงใส
“แม่ จี๋ แม่ จี๋!” เด็กน้อยร้องงุ้งงิ้งพลางขยับตัวหนีแต่ก็ยังหัวเราะไม่หยุด เมื่อแม่หอมแก้มซ้ำไปซ้ำมาอย่างหยอกเย้า
“อ้าว ๆ แม่ลูกเล่นอะไรกันอยู่นั่น”
เสียงป้าสร้อยดังขึ้นจากในครัวพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู “นิจ ไปเก็บของแล้วมาทานข้าวเถอะ วันนี้ป้าทำต้มมะระผักกาดดองของโปรดของนิจไว้ด้วยนะ”
คะนึงนิจหันไปยิ้มกว้าง “จริงเหรอคะ ป้าสร้อย วันนี้นิจหิวมากเลย ขอบคุณนะคะ”
“อ้อ แล้วก็ตามตาภูลงมาทานข้าวด้วยนะ กลับมาตั้งแต่บ่ายสามแล้ว เห็นบ่นว่าปวดหัว นิจเข้าไปดูหน่อยซิว่าต้องทานยาไหม”
“ได้ค่ะป้า สงสัยอากาศไม่ค่อยดี”
คะนึงนิจตอบพลางยิ้มอ่อน ก่อนก้มลงกอดลูกแน่นอีกครั้ง กลิ่นตัวหอมของเด็กน้อยทำให้หัวใจของเธออบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากวางภาคินทร์ลงบนพรมห้องนั่งเล่นและฝากให้ป้าสร้อยช่วยดูแล เธอจึงเดินเข้าไปเก็บของในห้องอย่างเบาใจ ความสุขจากวันดี ๆ ยังอวลอยู่ในอกไม่จาง
เมื่อเก็บของเรียบร้อย เธอก็หันมาทางห้องทำงานที่มุมชั้นสอง พลางคิดถึงคำพูดของป้าสร้อยที่ว่า “ตาภูบ่นปวดหัว”
รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป
ในใจเธอปะปนด้วยความรู้สึกสองจิตสองใจ ส่วนหนึ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ผุดขึ้นตามสัญชาตญาณของภรรยา
แต่อีกส่วนหนึ่งนั้น...กลับเจ็บหน่วงและต่อต้าน เพราะลึกลงไป เธอยังไม่อาจลืมได้ว่า ชายคนนี้...คือสามีที่เคยเลิกกันแบบไม่เหลียวแล ไม่เผาผีกันเลยในชาติก่อน
คะนึงนิจเดินตรงไปยังห้องทำงานของภูวินทร์อย่าง เงียบ ๆ มือเล็กเคาะประตูเบา ๆ ก่อนเปิดเข้าไปดูว่าสามีของเธอเป็นอย่างไรบ้าง
“ป้าสร้อยบอกว่าพี่ภูกลับบ้านมาตั้งแต่บ่ายสามแล้ว บอกปวดหัว เป็นยังไงบ้างคะ ทานยาแล้วหรือยัง”
คะนึงนิจถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เรียบที่สุด แต่ยังคงมีความแข็งกร้าวเล็กน้อยแฝงอยู่...ความรู้สึกเก่าที่ยังกรุ่นอยู่ในใจทำให้เธอควบคุมน้ำเสียงไม่สนิทนัก
ภูวินทร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือ ยิ้มบาง ๆ “อืม...พี่ทานยาพาราไปแล้วล่ะ อาการดีขึ้นมากแล้ว”
เขาวางแท็บเล็ตลงพลางพิงเก้าอี้ “ช่วงนี้พี่ต้องออกไปประชุมข้างนอกบ่อย อากาศร้อน ๆ เย็น ๆ สลับกัน คงเพราะแบบนั้นเลยเริ่มไม่ค่อยสบาย”
เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คืนนี้พี่มีประชุมออนไลน์กับลูกค้าต่างประเทศนะครับ อาจต้องพักที่ห้องทำงาน อีกอย่าง...กลัวว่าถ้าพี่เป็นหวัดจะเผลอไปติดนิจ หรือไม่ก็ลูก เดี๋ยวน้องคินจะไม่สบายไปด้วย พี่กลับมาก็อุ้มเขาแป๊บเดียวเอง ยังไม่อยากเสี่ยง”
คะนึงนิจพยักหน้าเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้น...พี่ภูลงไปทานข้าวก่อนไหมคะ แล้วค่อยขึ้นมาพักผ่อนก่อนจะประชุมคืนนี้”
น้ำเสียงของเธออ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ภูวินทร์ยิ้มบาง ๆ “ก็ดีครับ นิจลงไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ตามลงไป ขอดูข้อมูลที่จะต้องคุยกับลูกค้าอีกนิดหน่อย”
คะนึงนิจพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้อง เธอเหลียวมองเขาแวบหนึ่ง เห็นแสงจากจอแท็บเล็ตสะท้อนบนใบหน้าที่ดูอ่อนล้าจากการทำงานหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ภูวินทร์มองตามแผ่นหลังของคะนึงนิจที่ค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป
เมื่อประตูปิดลง ความเงียบก็เข้าครอบคลุมทั้งห้อง เขายังคงนั่งนิ่ง มองไปยังจุดที่เธอเคยยืนอยู่เมื่อครู่
แววตาเหม่อลอยคล้ายคนหลงอยู่ในความคิด
…
เช้าวันนี้ หลังจากอาบน้ำและจัดการให้ลูกชายทานอาหารเช้าเรียบร้อย คะนึงนิจใช้เวลาที่เหลือไปกับการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับสินค้าของบริษัทใหม่ที่เธอกำลังร่วมก่อตั้งกับผู้ร่วมหุ้นอีกสองคน
เธอมีข้อได้เปรียบอยู่ไม่น้อย เพราะในชาติที่แล้ว คะนึงนิจได้เห็นหลากหลายวิธีการทำตลาดของสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวที่เกิดจากรายละเอียดเล็ก ๆ ที่คนทั่วไปอาจมองข้าม
เธอรู้ดีว่าการประชาสัมพันธ์ที่ดีต้องครบทุกมิติ
ทั้งการใช้พรีเซนเตอร์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์
การโปรโมตแบบออฟไลน์ เช่น การจัดงานอีเวนต์ การเปิดบูธ หรือการแจกสินค้าทดลองให้ผู้บริโภคได้สัมผัสจริง
รวมถึงการทำการตลาดแบบออนไลน์ ที่ต้องอาศัยพลังของอินฟลูเอนเซอร์ บนสื่อสังคมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือแม้กระทั่ง TikTok ซึ่งในยุคนี้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สามารถพลิกยอดขายให้พุ่งสูงในเวลาอันรวดเร็ว
คะนึงนิจจดไอเดียลงในสมุดโน้ตอย่างเพลิดเพลิน จนไม่ทันรู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงแล้ว ระหว่างพัก เธอก็หันมาเล่นกับภาคินทร์ที่กำลังง่วนอยู่กับของเล่นฝึกสมองชุดใหม่...ของเล่นที่เธอเลือกเองด้วยความใส่ใจทุกชิ้น
เสียงหัวเราะของลูกชายดังกลบเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดอย่างเป็นจังหวะ ฝน พี่เลี้ยงคนสนิทนั่งข้าง ๆ คอยช่วยดูแลเด็กน้อยด้วยความระมัดระวังและความใส่ใจ
คะนึงนิจมีความสุขกับการได้กลับมาทำงานที่เธอรัก และเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ อีกครั้งในชีวิตนี้
“นิจ มาทานข้าวกันเถอะ วันนี้ป้าทำข้าวเหนียว ส้มตำ ลาบ แล้วก็น้ำตกหมู เปรี้ยวปากอยากกินตั้งแต่วันก่อนแล้วแน่ะ”
ป้าสร้อยเอ่ยเรียกจากโต๊ะอาหารขณะกำลังจัดจานข้าวด้วยสีหน้ารื่นเริง “เช้านี้พรไปตลาดสดได้มะละกอดิบมาลูกหนึ่งพอดี ส่วนน้องคิน ทำข้าวตุ๋นไข่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“มาครับ น้องคิน เดี๋ยวแม่อุ้มไปนั่งโต๊ะนะ วันนี้ทำไมตัวหอมจังเลย”
คะนึงนิจหัวเราะเบา ๆ ก่อนอุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นแนบอก แล้วหอมแก้มฟอดใหญ่จนเด็กหัวเราะคิกคักเสียงใส
“แม่...หอม!”
ภาคินทร์ยิ้มตาหยี ก่อนโน้มตัวมาหอมแก้มแม่กลับ พร้อมทำเสียงหายใจเข้ายาว ๆ เลียนแบบอย่างตั้งใจ ทำเอาทั้งคะนึงนิจและป้าสร้อยหลุดหัวเราะไปตามกัน
“โอ๊ย เจ้าตัวเล็กนี่นะ เลียนแบบเก่งจริง ๆ” ป้าสร้อยพูดพลางหัวเราะเอ็นดู
คะนึงนิจหัวเราะตาม ก้มลงจูบหน้าผากลูกอีกที ก่อนอุ้มเขาไปนั่งบนเก้าอี้เด็กข้างตัว
กลิ่นข้าวเหนียวร้อน ๆ ลอยคลุ้งผสมกับกลิ่นส้มตำหอมพริกขี้หนู บรรยากาศในบ้านอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขเรียบง่าย