บทที่ 11

2145 คำ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จันทร์รวีเริ่มเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของภูวินทร์อย่างเงียบ ๆ เธอศึกษาทุกอย่าง ตั้งแต่เวลาที่เขาเข้าหรือออกจากสำนักงาน ช่วงที่เขาออกไปประชุม หรือแม้กระทั่งนิสัยส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มณีรัตน์ เลขาฯ หน้าห้องมักเผลอหลุดปากเล่าให้ฟังระหว่างพักกลางวัน “คุณภูเป็นคนตรงเวลาเป๊ะเลยค่ะ ขนาดประชุมที่ว่าด่วนแค่ไหน ก็ไม่เคยให้ลูกน้องรอนาน” มณีรัตน์เคยพูดอย่างชื่นชม จันทร์รวีเพียงยิ้มบาง “แหม ผู้ชายแบบนี้สิคะ ที่น่าชื่นชม” ในขณะที่มือเรียวกำลังถือแก้วกาแฟ เธอแอบสังเกตสายตาของเลขาฯ สาวที่พูดถึงเจ้านายด้วยน้ำเสียงชื่นชอบเกินกว่าความเคารพตามหน้าที่ มณีรัตน์เองก็คงชอบเขาอยู่สินะ...แต่เธอไม่ทันฉันหรอก จันทร์รวีคิดพลางยกแก้วจิบเบา ๆ เธอเริ่มวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน เริ่มจากการปรากฏตัว “โดยบังเอิญ” ตามจุดต่าง ๆ ที่เขาผ่าน เช่น ล็อบบี้บริษัท ห้องอาหารชั้นล่าง หรือแม้แต่ลิฟต์โดยสารที่เธอคำนวณเวลาไว้ล่วงหน้า เขาแทบไม่มองเธอเลย แต่เธอก็ไม่เร่งรีบ จันทร์รวีรู้ดีว่า ผู้ชายอย่างเขา...ต้องการเวลาและช่องว่างที่พอดีให้ความสนใจค่อย ๆ เติบโต จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่ภูวินทร์กำลังรอรถอยู่หน้าตึก เธอก็ถือแฟ้มเอกสารเดินผ่านและ “บังเอิญ” ทำตก เสียงกระดาษปลิวกระจายทั่วพื้นทางเดินในจังหวะที่เธอตั้งใจจะ “บังเอิญ” ทำตก จันทร์รวีชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาเหลือบมองภูวินทร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความคาดหวังว่าชายหนุ่มจะก้มลงช่วยเก็บให้สักแผ่นสองแผ่น แต่ทว่า...เขากลับไม่แม้แต่จะขยับตัว ภูวินทร์ก้มมองนาฬิกาข้อมือเพียงแวบเดียว ก่อนหันไปทางรถที่จอดเทียบด้านหน้า เมื่อรถมาถึง เขาก้าวขึ้นไปโดยไม่เหลียวกลับมามองเธอ ไม่แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว จันทร์รวีได้แต่ยืนนิ่ง มือกำแฟ้มแน่น ความประหลาดใจผสมขุ่นเคืองแล่นขึ้นมาในอก เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนค่อย ๆ ก้มลงเก็บกระดาษที่ปลิวกระจัดกระจายด้วยตัวเอง ความเงียบรอบตัวเหมือนกดทับเข้าใส่ จันทร์รวีเม้มริมฝีปากแน่น เจ็บใจที่ละครที่เธอตั้งใจจัดฉากไว้อย่างดี กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ... ภูวินทร์นั่งอ่านข้อมูลบนแท็บเล็ตอย่างตั้งใจในรถ เนื้อหาเกี่ยวกับการประชุมช่วงบ่ายนี้กับลูกค้าชาวรัสเซีย โปรเจกต์ที่เขาติดตามผลมานานหลายเดือน วันนี้...น่าจะได้ข้อสรุปเสียที หากทุกอย่างสำเร็จ บริษัทของเขาจะสามารถขยายตลาดเข้าสู่ประเทศรัสเซียได้ แม้จะเป็นเพียงโปรเจกต์ขนาดเล็ก แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการพาบริษัทก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพระดับสากล เขาวางแท็บเล็ตลงข้างกาย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูข้อความในไลน์ นักสืบเอกชนที่เขาว่าจ้างมานานส่งรายงานชุดใหม่มาให้ พร้อมรูปถ่ายและรายละเอียดที่เขาเคยสั่งให้ติดตามต่อ ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขานิ่งไปครู่หนึ่ง นอกจาก วุฒิ ที่มีความสัมพันธ์กับจันทร์รวีแล้ว...ยังมี เก่ง สามีของแก้ว คนที่เขารู้จักมาหลายปี ปรากฏชื่ออยู่ในรายงานเดียวกันด้วย ภูวินทร์ขมวดคิ้วแน่น เขาไม่คาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะพัวพันกับผู้ชายรอบตัวมากขนาดนี้ เขาสั่งให้นักสืบมืออาชีพติดตามความเคลื่อนไหวของทั้งเก่งและจันทร์รวีต่ออย่างเงียบเชียบ แม้ทั้งคู่จะไม่ได้พบกันบ่อย แต่ความอดทนในการเฝ้าติดตามก็ให้ผลตอบแทนในที่สุด ภาพถ่ายหลายใบบันทึกช่วงเวลาที่ทั้งสองปรากฏตัวที่โรงแรมเดียวกัน แม้จะออกมาคนละเวลาก็ตาม ภูวินทร์จ้องภาพเหล่านั้นอยู่นาน แววตาเรียบนิ่งแต่เย็นเยียบ เขากดบันทึกไฟล์และจัดเก็บไว้ในโฟลเดอร์ส่วนตัวอย่างเป็นระบบ หลักฐานทั้งหมดนี้...เขาจะเก็บไว้ใช้ในวันที่เหมาะสม ... หลังจากติดต่อทนายและได้รับร่างสัญญาการร่วมทุนกลับมา คะนึงนิจอ่านสัญญาทีละข้ออย่างละเอียด ยิ่งอ่านก็ยิ่งพอใจในความรอบคอบของเนื้อหา ไม่มีช่องโหว่หรือจุดเสี่ยงใดให้กังวลใจอีก เธอจึงตัดสินใจแจ้งตกลงเข้าร่วมหุ้นจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับแก้วและคุณอ้อ ทั้งสามนัดพบกันเพื่อพูดคุยและตกลงรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญา รวมถึงแนวทางการดำเนินงานในระยะเริ่มต้น สำหรับแบรนด์เครื่องสำอางที่ทั้งสามจะร่วมกันสร้าง ได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะใช้ชื่อว่า “Friend Pretty” แบรนด์ที่ตั้งใจให้เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมแรงร่วมใจและมิตรภาพ บทบาทของแต่ละคนถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน คะนึงนิจรับหน้าที่ดูแลด้านการตลาดและการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ แก้วดูแลงานหลังบ้านทั้งหมด ส่วนคุณอ้อจะรับผิดชอบด้านการจัดซื้อและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทีมงานและการดำเนินการ จะค่อย ๆ วางแผนเพิ่มเติมในภายหลัง เมื่อทุกอย่างเริ่มชัดเจน คะนึงนิจรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟบางอย่างแล่นอยู่ในอก ความตื่นเต้น ความมุ่งมั่น และความหวังใหม่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เธอแทบอดใจไม่ไหวอยากเริ่มต้นทำธุรกิจในทันที คิดถึงแผนการตลาด กลยุทธ์ โปรโมชัน และกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะผลักดันแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ เธอยิ้มออกมาอย่างมีชีวิตชีวา รู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับมามีความฝันให้ไล่ตามอีกครั้ง คะนึงนิจกลับถึงบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สดใสกว่าทุกวัน ทันทีที่เห็นลูกชายตัวน้อย เธอก็รีบอุ้มขึ้นมาหอมแก้มซ้ายที ขวาที จนภาคินทร์หัวเราะเอิ้กอ้ากเสียงใส “แม่ จี๋ แม่ จี๋!” เด็กน้อยร้องงุ้งงิ้งพลางขยับตัวหนีแต่ก็ยังหัวเราะไม่หยุด เมื่อแม่หอมแก้มซ้ำไปซ้ำมาอย่างหยอกเย้า “อ้าว ๆ แม่ลูกเล่นอะไรกันอยู่นั่น” เสียงป้าสร้อยดังขึ้นจากในครัวพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู “นิจ ไปเก็บของแล้วมาทานข้าวเถอะ วันนี้ป้าทำต้มมะระผักกาดดองของโปรดของนิจไว้ด้วยนะ” คะนึงนิจหันไปยิ้มกว้าง “จริงเหรอคะ ป้าสร้อย วันนี้นิจหิวมากเลย ขอบคุณนะคะ” “อ้อ แล้วก็ตามตาภูลงมาทานข้าวด้วยนะ กลับมาตั้งแต่บ่ายสามแล้ว เห็นบ่นว่าปวดหัว นิจเข้าไปดูหน่อยซิว่าต้องทานยาไหม” “ได้ค่ะป้า สงสัยอากาศไม่ค่อยดี” คะนึงนิจตอบพลางยิ้มอ่อน ก่อนก้มลงกอดลูกแน่นอีกครั้ง กลิ่นตัวหอมของเด็กน้อยทำให้หัวใจของเธออบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก หลังจากวางภาคินทร์ลงบนพรมห้องนั่งเล่นและฝากให้ป้าสร้อยช่วยดูแล เธอจึงเดินเข้าไปเก็บของในห้องอย่างเบาใจ ความสุขจากวันดี ๆ ยังอวลอยู่ในอกไม่จาง เมื่อเก็บของเรียบร้อย เธอก็หันมาทางห้องทำงานที่มุมชั้นสอง พลางคิดถึงคำพูดของป้าสร้อยที่ว่า “ตาภูบ่นปวดหัว” รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป ในใจเธอปะปนด้วยความรู้สึกสองจิตสองใจ ส่วนหนึ่งเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ผุดขึ้นตามสัญชาตญาณของภรรยา แต่อีกส่วนหนึ่งนั้น...กลับเจ็บหน่วงและต่อต้าน เพราะลึกลงไป เธอยังไม่อาจลืมได้ว่า ชายคนนี้...คือสามีที่เคยเลิกกันแบบไม่เหลียวแล ไม่เผาผีกันเลยในชาติก่อน คะนึงนิจเดินตรงไปยังห้องทำงานของภูวินทร์อย่าง เงียบ ๆ มือเล็กเคาะประตูเบา ๆ ก่อนเปิดเข้าไปดูว่าสามีของเธอเป็นอย่างไรบ้าง “ป้าสร้อยบอกว่าพี่ภูกลับบ้านมาตั้งแต่บ่ายสามแล้ว บอกปวดหัว เป็นยังไงบ้างคะ ทานยาแล้วหรือยัง” คะนึงนิจถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เรียบที่สุด แต่ยังคงมีความแข็งกร้าวเล็กน้อยแฝงอยู่...ความรู้สึกเก่าที่ยังกรุ่นอยู่ในใจทำให้เธอควบคุมน้ำเสียงไม่สนิทนัก ภูวินทร์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือ ยิ้มบาง ๆ “อืม...พี่ทานยาพาราไปแล้วล่ะ อาการดีขึ้นมากแล้ว” เขาวางแท็บเล็ตลงพลางพิงเก้าอี้ “ช่วงนี้พี่ต้องออกไปประชุมข้างนอกบ่อย อากาศร้อน ๆ เย็น ๆ สลับกัน คงเพราะแบบนั้นเลยเริ่มไม่ค่อยสบาย” เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คืนนี้พี่มีประชุมออนไลน์กับลูกค้าต่างประเทศนะครับ อาจต้องพักที่ห้องทำงาน อีกอย่าง...กลัวว่าถ้าพี่เป็นหวัดจะเผลอไปติดนิจ หรือไม่ก็ลูก เดี๋ยวน้องคินจะไม่สบายไปด้วย พี่กลับมาก็อุ้มเขาแป๊บเดียวเอง ยังไม่อยากเสี่ยง” คะนึงนิจพยักหน้าเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้น...พี่ภูลงไปทานข้าวก่อนไหมคะ แล้วค่อยขึ้นมาพักผ่อนก่อนจะประชุมคืนนี้” น้ำเสียงของเธออ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว ภูวินทร์ยิ้มบาง ๆ “ก็ดีครับ นิจลงไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ตามลงไป ขอดูข้อมูลที่จะต้องคุยกับลูกค้าอีกนิดหน่อย” คะนึงนิจพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้อง เธอเหลียวมองเขาแวบหนึ่ง เห็นแสงจากจอแท็บเล็ตสะท้อนบนใบหน้าที่ดูอ่อนล้าจากการทำงานหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ภูวินทร์มองตามแผ่นหลังของคะนึงนิจที่ค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป เมื่อประตูปิดลง ความเงียบก็เข้าครอบคลุมทั้งห้อง เขายังคงนั่งนิ่ง มองไปยังจุดที่เธอเคยยืนอยู่เมื่อครู่ แววตาเหม่อลอยคล้ายคนหลงอยู่ในความคิด … เช้าวันนี้ หลังจากอาบน้ำและจัดการให้ลูกชายทานอาหารเช้าเรียบร้อย คะนึงนิจใช้เวลาที่เหลือไปกับการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับสินค้าของบริษัทใหม่ที่เธอกำลังร่วมก่อตั้งกับผู้ร่วมหุ้นอีกสองคน เธอมีข้อได้เปรียบอยู่ไม่น้อย เพราะในชาติที่แล้ว คะนึงนิจได้เห็นหลากหลายวิธีการทำตลาดของสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวที่เกิดจากรายละเอียดเล็ก ๆ ที่คนทั่วไปอาจมองข้าม เธอรู้ดีว่าการประชาสัมพันธ์ที่ดีต้องครบทุกมิติ ทั้งการใช้พรีเซนเตอร์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ การโปรโมตแบบออฟไลน์ เช่น การจัดงานอีเวนต์ การเปิดบูธ หรือการแจกสินค้าทดลองให้ผู้บริโภคได้สัมผัสจริง รวมถึงการทำการตลาดแบบออนไลน์ ที่ต้องอาศัยพลังของอินฟลูเอนเซอร์ บนสื่อสังคมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือแม้กระทั่ง TikTok ซึ่งในยุคนี้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สามารถพลิกยอดขายให้พุ่งสูงในเวลาอันรวดเร็ว คะนึงนิจจดไอเดียลงในสมุดโน้ตอย่างเพลิดเพลิน จนไม่ทันรู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงแล้ว ระหว่างพัก เธอก็หันมาเล่นกับภาคินทร์ที่กำลังง่วนอยู่กับของเล่นฝึกสมองชุดใหม่...ของเล่นที่เธอเลือกเองด้วยความใส่ใจทุกชิ้น เสียงหัวเราะของลูกชายดังกลบเสียงพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดอย่างเป็นจังหวะ ฝน พี่เลี้ยงคนสนิทนั่งข้าง ๆ คอยช่วยดูแลเด็กน้อยด้วยความระมัดระวังและความใส่ใจ คะนึงนิจมีความสุขกับการได้กลับมาทำงานที่เธอรัก และเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ อีกครั้งในชีวิตนี้ “นิจ มาทานข้าวกันเถอะ วันนี้ป้าทำข้าวเหนียว ส้มตำ ลาบ แล้วก็น้ำตกหมู เปรี้ยวปากอยากกินตั้งแต่วันก่อนแล้วแน่ะ” ป้าสร้อยเอ่ยเรียกจากโต๊ะอาหารขณะกำลังจัดจานข้าวด้วยสีหน้ารื่นเริง “เช้านี้พรไปตลาดสดได้มะละกอดิบมาลูกหนึ่งพอดี ส่วนน้องคิน ทำข้าวตุ๋นไข่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” “มาครับ น้องคิน เดี๋ยวแม่อุ้มไปนั่งโต๊ะนะ วันนี้ทำไมตัวหอมจังเลย” คะนึงนิจหัวเราะเบา ๆ ก่อนอุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นแนบอก แล้วหอมแก้มฟอดใหญ่จนเด็กหัวเราะคิกคักเสียงใส “แม่...หอม!” ภาคินทร์ยิ้มตาหยี ก่อนโน้มตัวมาหอมแก้มแม่กลับ พร้อมทำเสียงหายใจเข้ายาว ๆ เลียนแบบอย่างตั้งใจ ทำเอาทั้งคะนึงนิจและป้าสร้อยหลุดหัวเราะไปตามกัน “โอ๊ย เจ้าตัวเล็กนี่นะ เลียนแบบเก่งจริง ๆ” ป้าสร้อยพูดพลางหัวเราะเอ็นดู คะนึงนิจหัวเราะตาม ก้มลงจูบหน้าผากลูกอีกที ก่อนอุ้มเขาไปนั่งบนเก้าอี้เด็กข้างตัว กลิ่นข้าวเหนียวร้อน ๆ ลอยคลุ้งผสมกับกลิ่นส้มตำหอมพริกขี้หนู บรรยากาศในบ้านอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขเรียบง่าย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม