bc

พิมทอง

book_age18+
386
FOLLOW
6.8K
READ
love-triangle
possessive
sex
kidnap
bxg
female lead
male lead
passionate
seductive
stubborn
like
intro-logo
Blurb

พิมทองถูกอุ้มกลับไปโรงนาอีกครั้ง หญิงสาวยังไม่หายตกตะลึง เมื่อถูกวางให้นั่งลงบนแคร่ก็ผวาเข้ากอดแขนไอ้ทัพ แล้วพูดปากคอสั่นราวกับไปเจอผีสางนางไม้ หรือเจอเรื่องคอขาดบาดตายมาก็ไม่ปาน

“พี่ทัพ ฉันเห็นลูกสมุนพี่... พวกเขา... พวกเขา”

“พวกเขารักกัน”

“บัดสีบัดเถลิงสิไม่ว่า เป็นเสนียดจัญไร ต้องเกิดอาเพศกับบ้านดงเศรษฐีแน่ๆ”

“ความรักเป็นสิ่งสวยงาม เอ็งอย่าใจแคบ มองอะไรด้านเดียว พรมแดนรักไม่ได้อยู่ที่เพศ แต่อยู่ที่หัวใจ หญิงกับชายรักกันไม่ได้ถ้าใจไม่ตรงกัน ชายกับชายรักกันได้ถ้าหัวใจเดียวกัน ใช้หัวใจตรองแล้วเอ็งจะเข้าใจ” ไอ้ทัพอธิบายยืดยาว ขณะที่มือดึงผ้าแถบและผ้าถุงให้หลุดพ้นกาย

“พี่ทัพ” พิมทองหวีดร้อง เพิ่งได้สติ เมื่อผ้าซิ่นหลุดจากปลายเท้าและเห็นว่าไอ้ทัพเดินโทงๆ ในกระท่อมโดยไม่ได้สวมอะไรติดกาย

ไฟลุกตลอดเวลาสินะ หัวหน้ากับลูกสมุนไม่ต่างกันสักนิด บัดสีบัดเถลิง

“จะร้องทำไมเล่า ตะเบ็งเสียงอย่างนั้นไม่เจ็บคอหรือไรกัน”

“เรื่องของฉัน แต่พี่ทำเรื่องน่าละอาย ไม่อายผีสางเทวดา ฉันไม่หน้าทนเหมือนพี่หรอกนะ”

“อุวะ ผ้าเปียกเพราะใครล่ะ เอ็งมันดื้อ มากเรื่อง เห็นจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เป็นเมียพี่แล้วจะได้เลิกคิดหนีเสียที”

พิมทองสะดุ้ง ตาเบิกกว้าง

“พี่ทัพ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันขอโทษก็ได้ สัญญาว่าจะไม่หนีอีก” พิมทองเสียงอ่อน สิ้นหวังกับท่าทางจริงจังของไอ้ทัพ

เธอคงไม่รอดแน่ หนีก็หนีไม่พ้น ยังดีที่ไปเจอสองคนนั้นพลอดรักกันอยู่ ถ้าเจอกับพวกโจรใจทรามล่ะ คงยับเยินจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หรือไม่ก็เดินหลงวนอยู่กลางป่าจนหนาวตาย เพราะฟ้าฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะซาลงแม้แต่น้อย เบื้องบนคงลิขิตเอาไว้แล้ว พิมทองทอดอาลัย

“คิดว่าพี่จะเชื่อหรือแม่พิม” ไอ้ทัพเอาน้ำล้างเท้าให้พิมทองอย่างอ่อนโยน ปรนนิบัติราวกับบ่าวรับใช้นาย

พิมทองอึ้ง คาดไม่ถึง เขาปรนนิบัติราวกับเป็นบ่าวของเธอ แต่ปากบอกว่าจะแทง มันคืออะไรกัน ไหนจะคำรักที่พร่ำบอกอีกล่ะ

“พี่ทัพ จะแทงฉันจริงๆ หรือจ๊ะ”

ไอ้ทัพชะงักมือ เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเรียวฉ่ำน้ำสั่นระริกระแวงภัย เธอกำลังกลัว กลัวจะโดนแทง

“ก็เอ็งดื้อ พี่ไม่ได้คิดจะแทงตอนนี้สักหน่อย” เขาก้มลงทำงานที่ค้างอยู่ ขณะกัดริมฝีปากไม่ให้หลุดหัวเราะออกไป

“ฉันไม่ดื้อแล้ว พี่ทัพอย่าแทงนะ”

“ไม่ได้หรอก”

“ไหนว่ารักฉัน แล้วทำไมต้องฆ่าให้ตาย”

“เพราะรักจึงแทง พี่จะแทงเอ็งด้วยไอ้นี่ไงล่ะ” แล้วไอ้ทัพก็เฉลย

“กรี๊ดดด” มันเกือบทิ่มหน้าเธอเมื่อเขาลุกขึ้นยืน

พิมทองไวนัก ความกลัวผลักดันให้กระโดดผลุงวิ่งหนี

“ปล่อยฉัน ปล่อยๆ”

“ไหนว่ากลัวโดนแทง อยู่นิ่งๆ สิ”

“พี่สวมผ้าก่อน ฉันกลัว”

“อุวะ ก็มันเปียก”

“ฉันกลัว”

“กลัวก็หลับตาซะ เดี๋ยวมันต้องเข้าไปอยู่ในตัวเอ็ง”

ตายแน่ ต้องตายแน่ๆ ใหญ่ยาวราวกับท่อนฟืน มันจะเข้าไปได้ยังไง

พิมทองหลับตาลงอย่างที่เขาบอกขณะพูดต่อรอง

“อย่าทำอย่างนี้เลยพี่ทัพ ร่างกายที่ไร้หัวใจ ถึงแม้จะได้ไปครอง แต่ชายชาตรีอย่างพี่จะภูมิใจหรือ พี่จะรักฉันมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ เพราะหัวใจคือพรมแดนกางกั้นไม่ให้ฉันรักพี่ หัวใจฉันบอกว่ารักพี่แผนทุกลมหายใจเข้าออก”

“พี่ยอมรับ ที่เอ็งพูดถูกต้องทุกอย่าง แต่พี่จะใช้ความรักทำลายพรมแดนหัวใจของเอ็งให้ได้ ความรักของเอ็งกับไอ้แผนจบลงในคืนนี้ เหลือแต่เพียงความทรงจำที่พี่ไม่คิดจะหวงห้าม” แม้จะเอ่ยอย่างใจกว้าง แต่ลึกๆ ไอ้ทัพก็รู้สึกเจ็บปวด

“ไปขอฉันกับแม่ก่อนสิพี่”

“เช้ามืดวันนี้พี่บอกเอ็งแล้ว ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย และอย่างที่รู้กัน แม่น้าจะไม่บังคับเอ็ง”

ใช่... ผู้เป็นแม่ปฏิเสธเพราะรู้ว่าบุตรสาวมีคนรักแล้ว การจะหักหาญน้ำใจไม่ใช่นิสัยของนางสีไพล ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน การอบรมสั่งสอนว่ากล่าวตักเตือนคือสิ่งที่สมควรทำ นางสีไพลตระหนักถึงหน้าที่ของแม่ที่รักและปรารถนาดีต่อลูก จึงไม่ละเลยที่จะอบรมสั่งสอนบุตรสาวทั้งสองคนในเรื่องการเลือกคู่ครอง

นางสีไพลได้แต่ปลงตกเมื่อบุตรสาวคนโตเลือกที่จะรักไอ้แผน ไอ้หนุ่มมากรัก นางปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา และตอนนี้โชคชะตาก็กำลังทำหน้าที่ของมันอยู่

“ลองอีกสักครั้งเถอะนะพี่ทัพ”

หญิงใดโดนฉุดคร่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นเมียชายผู้นั้น พิมทองพยายามดิ้นเฮือกสุดท้าย ก่อนจะพ้นเขตบ้านดงเศรษฐียังมีหวังว่าจะรอด อุบายตื้นๆ แค่นี้เด็กอมมือก็รู้ได้ ไฉนเลยไอ้ทัพจะไม่รู้

ความตั้งใจก่อนหน้านั้นพลันแปรเปลี่ยน ไอ้ครั้นจะรอร่วมหอลงโรงที่เรือนรักเห็นทีจะไม่ดีแน่ เพราะหญิงสาวเจ้าเล่ห์เพทุบาย ใช้แผนสูง เขาเชื่อว่าอีกหนทาง หากเธอหนีจากเขาไปได้ไม่แคล้วต้องบวชชี รอจนเรื่องซาก็ลาบวชเพื่อที่จะสมรักกับไอ้แผน ใครมันจะยอมให้เป็นแบบนั้นกันเล่า

“ได้สิ แต่ให้พี่ได้เอ็งก่อนนะ มีลูกสักคนค่อยจัดขบวนขันหมากไปสู่ขอ และขอขมาลาโทษแม่น้าสีไพล”

“พี่ทัพเห็นใจฉันเถิดนะ”

“ไม่ หมดเวลาของเอ็งแล้ว”

“พี่ทัพ” พิมทองลืมตา และเมื่อได้เห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของชายหน้าดุแล้ว พิมทองก็กรีดร้อง สะอึกสะอื้นอย่างสิ้นหวังระคนอัดอั้นตันใจ

“พี่รักเอ็ง รักมากกว่าที่ไอ้แผนรักนะแม่พิม”

พิมทองตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เมื่อร่างใหญ่ของไอ้ทัพขยับขึ้นคร่อมเหนือกาย

“แต่ฉันไม่ได้รักพี่”

“หยุดพูดเสียที เบื่อจะฟัง อยู่ไปก็รักกันไปเอง มีลูกสักคนสองคน เอ็งจะรักลูกและเผื่อแผ่มาถึงตัวพี่”

“ไม่ ฉันจะไม่รักพี่”

“เป็นอย่างนั้นก็ช่างเอ็งเถอะ คร้านจะเถียง ใจเป็นของใครก็ช่าง แต่ตัวเอ็งต้องเป็นของพี่ ให้สายฟ้าสายฝนเป็นพยานรักในค่ำคืนนี้”

จบคำพูดไอ้ทัพก็จูบซับน้ำตาที่เปื้อนแก้ม ท่อนขาแข็งแรงก่ายเกยเรียวขาใต้ร่าง จมูกและปากเคลื่อนลงไปที่ซอกคอ จูบซับแรงๆ แล้ววกขึ้นไปประกบปากที่กำลังกรีดร้อง มือข้างหนึ่งโลมลูบเนินอกที่กำลังสั่นไหวเพราะแรงสะอื้น อีกข้างซุกซนปัดป่ายกลางกายเบื้องล่าง

“พี่รักเอ็ง” ไอ้ทัพงึมงำ ลุ่มหลงรสชาติทรวงสาวที่ดีดดิ้นอยู่ในอุ้งปาก มือหยาบซุกเข้าหารอยแยกบอบบางที่แห้งผาก ฝืดเคือง ไร้หยาดน้ำพร่างพรม และไม่ว่าจะเพียรพยายามปลุกปล้ำ รีดเค้นสักเท่าไหร่ น้ำค้างก็ไม่หลั่งออกมา

“แม่พิมจ๋า ยอมพี่เสียดีๆ เถอะ เอ็งจะได้ไม่เจ็บ” ไอ้ทัพหยุดรุกราน

chap-preview
Free preview
บทนำ
พิมทอง   บทนำ               หากรักคือทางแห่งฝัน      ทุกวันใจฝันใฝ่หา ก้าวเดินบนเส้นทางกามา วันข้างหน้าพาให้ใจหวั่นไหว ใจนั้นมีหนึ่งเดียว                         ยังเทียวหามาเป็นสอง หากใจมีสองใจครอบครอง           สองใจใครคิดคิดว่าดี หนึ่งใจพาให้ผูกพัน                     อีกหนึ่งนั้นพาให้ฉันคลายเหงา โอหัวใจเรา                                 เศร้าปนน้ำตา             (เครดิตเพลง ขุนแผน พิมพิลาไลย โดยศิลปินมาลีฮวนน่า)             ชายทุ่งบ้านดงเศรษฐี ใต้ต้นตาลสูงใหญ่ทะมึน มีแคร่ไม้วางอยู่สำหรับเป็นที่พักเหนื่อยยามขึ้นจากนา พิมทองสาวงามของบ้าน นั่งชะเง้อคอรอคอยใครบางคนใจจดใจจ่อ             “แม่พิมจ๋า”             “อุ๊ย! พี่ทัพ” พิมทองสะดุ้ง ผุดลุกจากแคร่ไม้ หันไปมองชายที่บุกรุกความเป็นส่วนตัวด้วยความกริ่งเกรงที่ตนเองก็บอกไม่ถูก ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกเช่นนั้นด้วย             “ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึง” น้ำเสียงนุ่มทอดอ่อน ขัดกับใบหน้าดุ คร้ามคม โครงหน้าเหี้ยมราวกับโจร แต่ละมุนละไม อ่อนโยน ยามจ้องมองหญิงสาวที่หมายปองหลงรัก ไอ้ทัพจ้องมองดวงหน้างดงามแน่วนิ่งอย่างไม่เกรงใจ             ความนัยที่อีกฝ่ายตั้งใจสื่อให้รู้ หาใช่ความคิดถึงธรรมดาเฉกเช่นคนรู้จักกัน ทำให้พิมทองใจเต้น รู้สึกขลาดกลัวระคนอึดอัดขณะยกมือไหว้ทักทาย “ฉันไหว้จ้ะพี่ พี่ทัพมีธุระแถวนี้หรือจ๊ะ”             “พี่เพิ่งกลับจากหัวเมือง มีของฝากมาให้แม่พิมด้วย”             “ฉันรับไว้ไม่ได้ดอกจ้ะ” พิมทองส่ายหน้า รู้จุดประสงค์นั้นจึงปฏิเสธ             “รับไว้เถิด อย่าให้พี่เสียน้ำใจ มีของแม่น้าและสไบทองด้วย ฝากบอกว่าพี่ค่อยไปเยี่ยมวันหลัง”             “อุ๊ย!” ไอ้ทัพดึงมือนุ่มมากุมไว้ ฉวยโอกาสที่หญิงสาวตกตะลึง นวดที่อุ้งมือเบาๆ ก่อนจะยกขึ้นจูบ แล้วยัดเยียดของฝากให้ พิมทองตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธและอับอาย ไม่คิดว่าไอ้ทัพจะไร้ความยำเกรง กระทำการล่วงเกินเธอเช่นนี้             “ฉันกลับล่ะ หายมานาน เกรงแม่จะเป็นห่วง” หญิงสาวได้สติ กระชากมือกลับด้วยความไม่พอใจ พิมทองหันหลังเดินกลับเรือนด้วยใจที่เต้นระทึก หวาดกลัว แล้วก็ชะงัก เมื่อเสียงของไอ้ทัพดังขึ้นด้านหลังราวกับเขาเดินตามมา หญิงสาวแทบไม่กล้าหายใจ กลัวจะโดนล่วงเกินเอาอีก “ไอ้แผนไปราชการอีกหลายวันกว่าจะกลับ มันฝากพี่ให้มาบอกแม่พิมเช่นกันว่าคิดถึง” ไอ้ทัพพูดกับแผ่นหลังบอบบาง ลำคอระหงตั้งตรงนั้นไม่ได้หันกลับมามองสักนิด แต่ไอ้หนุ่มไม่ถือสา โกรธ... คือความรู้สึกรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างเล็กขณะก้าวเท้าเร็วๆ จากไป ไม่โกรธก็แปลกไปล่ะ หึๆๆ ไอ้ทัพมองมือตนเองที่มีโอกาสได้จับมือนุ่ม เขายกขึ้นดมด้วยสีหน้าชื่นมื่นราวกับว่ามีกลิ่นของเธอติดอยู่ แม่พิมจ๋า อกพี่แทบแตกเมื่อต้องรอคอยวันแล้ววันเล่า รอคอยที่จะสู่สมภิรมย์รัก เห็นทีพี่จะนิ่งเฉยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว พิมทองเอามือกุมหน้าอกที่เต้นระรัวจนรู้สึกเจ็บ ขณะเดินแกมวิ่งหนีกลับเรือน คิดไปเองว่าเสียงหัวเราะนั้นดังไล่หลังตามมาติดๆ “วิ่งหนีอะไรมาพี่พิม” “อุ๊ย!” “เอ๊ะ ฉันพูดแค่นี้ทำไมต้องสะดุ้ง ว่าไงล่ะ วิ่งหนีอะไรมา” “เป็นเด็ก อย่ายุ่งเรื่องผู้ใหญ่” “เรื่องผู้ใหญ่ของพี่คงเป็นเรื่องพี่ทัพ พี่ทัพมาเยือนใช่หรือไม่” “เอ๊ะ! สไบทอง จะรู้มากเกินเด็กไปแล้วนะ” พิมทองขึ้นเสียงใส่น้องสาวด้วยความหงุดหงิด “พี่อย่าทำเป็นแม่หน่อยเลย เราห่างกันแค่สองปี ฉันแค่เกิดหลัง ก็เลยกลายเป็นเด็กของพี่กับแม่ ไม่ยุติธรรมสักนิด” เด็กสาวทำปากยื่นหน้างอ “เข้าใจแล้วก็อย่าพูดมาก” “พี่อารมณ์เสีย โดนพี่ทัพเกี้ยวมาอีกล่ะสิ” “นังสไบ” “เอาล่ะๆ ไม่ล้อก็ได้ ไปเข้าครัวกันเถอะ” “ไม่ต้อง พี่ทำคนเดียวได้ จะไปไหนก็ไปเถอะ” “ไม่เอาหรอก ไม่อยากฟังแม่บ่น” “พี่เตือนไว้ก่อนนะ เอ็งห้ามพูดมาก” “จ้า” พิมทองเหม่อลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ได้เห็นหน้าไอ้ทัพมาเยือนที่บ้านดงเศรษฐี “เป็นอะไรของเอ็งวะนังพิม” “ใช่ พี่พิมเป็นอะไร ตักข้าวเข้าปากก็ถอนใจเฮือกๆ กินเหมือนแมวดม เอาแต่นั่งเหม่อลอย” “เปล่าจ้ะเปล่า” พิมทองก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปาก “คิดถึงพี่แผนล่ะสิ ชิ... ป่านนี้นอนกอดสาวบ้านไหนอยู่ก็ไม่รู้ นะแม่นะ” สไบทองหาลูกคู่ร่วมผสมโรง “แม่สไบ เวลากินข้าวเขาให้พูดมากหรือไร ลูกสาวบ้านนี้แม่สอนไม่รู้จักจำ” “นิดเดียวเองแม่” สไบทองโดนปรามด้วยสายตาและวาจา จำต้องเงียบเสียง “กินข้าวเสร็จคุยกับแม่ก่อนนะแม่พิม” “จ้ะแม่” สไบทองเงี่ยหูฟังแม่กับพี่สาวคุยกันเบาๆ แล้วรีบกินข้าว เพราะอยากรู้ว่าแม่จะพูดเรื่องไอ้แผนหรือเปล่า ชิ... ผู้ชายเจ้าชู้ สไบทองพอกแป้งหน้าขาว กลิ่นหอมน้ำอบน้ำปรุงลอยฟุ้งไปทั่วเรือน เด็กสาวคาดผ้าแถบผืนเดียวไม่ต่างจากพี่สาว ขณะนอนเอ้เต หนุนตักแม่ไม่ยอมห่าง “นังนี่ ไปนอนไป๊” “ไม่จ้ะ ฉันจะนอนพร้อมแม่” นางสีไพลถอนหายใจ ยอมแพ้บุตรสาวคนเล็ก “แม่มีอะไรจะพูดกับฉันหรือจ๊ะ” “เรื่องพ่อทัพ” “ฉันยืนยันคำเดิมจ้ะแม่” “ไม่คิดอีกทีหรือลูก นะ... คิดอีกหน่อย” “แม่ก็รู้ว่าฉันมีคนรักแล้ว” “หลับหูหลับตารักเข้าไปเถอะ ผู้ชายเจ้าชู้อย่างพี่แผน” “ทำไมเอ็งชอบกล่าวหาพี่แผนนัก ฮึ... นังสไบ” “ฉันพูดเรื่องจริง ไม่ได้กล่าวหา ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น มีแต่พี่หลับหูหลับตารัก หลงรูปพี่แผน พี่ทัพเสียอีกแสนดี พี่กลับไม่แยแส” “แม่สไบ เอ็งเป็นน้องนะ ให้มันน้อยๆ หน่อย” “ฉันพูดเรื่องจริงนี่จ๊ะแม่” นางสีไพลพูดน้อยกว่าสไบทองผู้เป็นบุตรสาวเสียด้วยซ้ำ แค่เตือนสติสั้นๆ เหมือนกับทุกครั้งว่า ออกเรือนไปแล้ว ถ้าไม่เป็นดั่งใจหมาย มันจะหน้าชื่นอกตรมนะลูก เราเป็นหญิง จะต่อกรกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าผัวนั้นไม่ได้หรอก ก่อนจะออกเรือนไปคิดให้ดีๆ ไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าให้ความรักปิดหูปิดตาจนหลงผิด “จริงเท็จอย่างไรก็ไม่สมควร เอ็งเป็นน้อง ไม่สมควรพูดจาก้าวร้าวกับพี่ มันไม่งาม” “ฉันสงสารพี่ทัพนี่จ๊ะแม่ เสียดายพี่พิมด้วย ไม่น่าตกไปเป็นของผู้ชายหลายใจพรรค์อย่างนั้น” “เอ๊ะ นังนี่ ที่แม่พูดไม่ฟังรึไง ใช่เรื่องของเด็กอย่างเอ็งหรือไม่” “ฉันโตเป็นสาวแล้วนะแม่ ห่างกับพี่พิมแค่สองปีเอง” “ตรงไหนที่ว่าโตเป็นสาว แม่ไม่เห็นสักนิด ทโมนก็เท่านั้น ไม่งามนอกงามในเหมือนแม่พิม” “ตรงไหนแม่ ฉันรึออกจะเรียบร้อย” “แต่ละวันเอ็งแอบไปทำอะไรมาบ้าง คิดว่าแม่ไม่รู้รึ” “ก็...” สไบทองจนถ้อยคำจะเถียง “แม่พิมไปนอนเถอะ พรุ่งนี้แม่จะบอกพ่อทัพให้ ว่าเอ็งยังยืนยันคำเดิม” “จ้ะแม่” สไบทองลุกขึ้นนั่ง จะตามพี่สาวไปก็ต้องชะงัก “เดี๋ยว แม่สไบ” “ทำไมจ๊ะ พี่พิมไปนอน ฉันก็จะไปนอนเหมือนกัน” “อย่าคิดว่าเอ็งทำอะไรแม่ไม่รู้นะ เอ็งรู้ตัวว่าโตเป็นสาวแล้ว รู้ว่าพ่อแผนมันเจ้าชู้ แต่เอ็งแอบไปขี่ม้า ไปซนถึงไหนต่อไหนกับพ่อแผน มันไม่งาม” สไบทองหน้าเสีย ไม่คิดว่าแม่จะรู้ “ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่แผนนะแม่ แค่อยากขี่ม้า มันสนุก ฉันชอบ” “นั่นแหละ มันไม่งาม เอ็งไม่คิด แต่ชาวบ้านคิด”             “จ้ะแม่”             “ไปนอนเถอะ”             ก็แค่แอบไปขี่ม้า จะคิดอะไรกัน มันสนุกนี่นา ไม่ได้คิดอะไรกับ พี่แผนสักหน่อย ทำไมแม่ต้องคิดมากด้วย เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ที่บ้านดงเศรษฐี เรือนของนางสีไพล สไบทองยังนอนหลับใหล ขดตัวคลุมผ้าห่มอย่างมีความสุข นางสีไพลรีบฉวยคบไฟออกไปนา ส่วนพิมทองนั้นเข้าครัว เตรียมสำรับไว้ให้น้องสาวตื่นมาตักบาตร เสร็จในครัวก็ฉวยผ้าลงไปอาบน้ำเพื่อจะตามแม่ไปนา             พิมทองติดนิสัยอาบน้ำทุกเช้า ไม่ว่าจะออกไปนาหรือไปสวน หญิงสาวต้องอาบน้ำก่อนเสมอ อากาศยามเช้านั้นหนาวแต่สดชื่น พิมทองดับคบไฟแล้วปักลงบนพื้น จากนั้นก็ตักน้ำในโอ่งดินอาบด้วยความสดชื่น น้ำเย็นจัดทำให้ตาสว่าง สมองโล่ง หญิงสาวไม่รู้เลยว่ากลางดงไม้ทึบที่ปลูกล้อมรอบบ่อน้ำนั้น มีสายตาแวววาวของใครบางคนเป็นประกายด้วยความหิวกระหาย             ส่วนสัดยวนตาที่แนบผ้าเปียกชุ่ม อวดส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน แม้ฟ้าจะยังไม่สว่างก็ตาม บุรุษนิรนามถอยหลังกลับ แต่ยังจับจ้องร่างสาวงามไม่วางตา ขืนทนมองอยู่ มิแคล้วอดใจไม่ไหว ต้องเข้าไปลวนลามเป็นแน่             “นั่นใคร”             “ฉันถามว่าใคร”             รอบเรือนที่กั้นรั้วประกาศอาณาเขตความเป็นส่วนตัวอย่างมิดชิด พิมทองถือว่าผู้ที่เข้ามาเยือนคือ ผู้บุกรุก หญิงสาวจึงไม่กลัว เพราะไม่มีชายใดกล้าฝืนกฎของหมู่บ้านดงเศรษฐีมาช้านานแล้ว เนื่องจากผู้นำที่เอาจริงและเข้มแข็ง ทำให้ทุกคนขลาดกลัว จึงน้อมรับ ปฏิบัติตามกฎแต่โดยดี             “พี่เอง”             ร่างใหญ่ที่ก้าวออกมาจากเงามืดทำให้พิมทองตกใจจนตัวสั่นอย่างไม่รู้สาเหตุ กลัว คือความรู้สึกลึกๆ ภายในใจ             “พี่เข้ามาทำไมยามนี้ ยังไม่สว่าง ผิดกฎของบ้านดงเศรษฐี”             เขาตั้งใจจะกลับออกไป แต่เสียงหวานๆ ตวาดแว้ด จูงใจให้เดินออกมาหา             “พี่รอฟ้าสว่างก็จะออกเดินทาง แต่คิดถึงเอ็ง ก็เลยแวะมาขอเห็นหน้าสักนิด ไม่คิดว่าจะได้เห็นมากกว่าหน้า”             “นี่ อย่ามองฉันนะ” พิมทองได้สติ คิดได้ว่าตนเองอยู่ในสภาพใด จึงรีบฉวยผ้าคลุมไหล่ที่วางไว้ขึ้นมาคลุม แต่ก็หนีไม่พ้น             “แม่พิมจ๋า ยอดรัก”             “จะทำอะไร ว้าย! อึก” หญิงสาวหวีดร้องลั่น แล้วดิ้นขลุกขลักเมื่อถูกรวบเข้าไปกอด พร้อมกับโดนปิดปากด้วยเรียวปากกระด้าง             มือใหญ่เกาะกุมทรวงอก ราวกับวัดขนาดของก้อนเนื้อในอุ้งมือ นิ้วใหญ่ทั้งห้ากางออก กดหนักลงไปเพื่อทดสอบความนุ่มแน่น เมื่อมันดีดตัวสู้จึงค่อยนวดเฟ้น เคล้นคลึงช้าๆ ละเลียดความรู้สึกผ่านปลายนิ้วด้วยหัวใจที่ดื่มด่ำ เต้นระทึก             “อื้อ” หญิงสาวได้แต่ร้องประท้วงในลำคอ ลิ้นอุ่นสากระคายที่เข้ามารุกรานในปากทำให้หัวหมุนคล้ายจะเป็นลม อ่อนเปลี้ยไปทั้งกาย ความหวาดกลัวจู่โจมจิตใจ หญิงสาวน้ำตารินไหลออกจากหางตา เมื่อโดนลวนลามโดยชายที่ไม่ใช่คนรัก กระทั่งพี่แผนก็ไม่เคยได้แตะแม้กระทั่งปลายนิ้ว ช่างน่าอดสูนัก นังพิม ไอ้ทัพพลุ่งพล่านอกแทบแตก เมื่อได้ชื่นใจแต่ไม่ได้ชิดเชย บัวตูมสองดอกนั้น หนั่นแน่น ดีดเด้ง สะโพกกลมกลึง เต่งตึง กุหลาบกลางขานั้นเล่า เขารู้ขนาดของมันดี เพราะสอดขาข้างหนึ่งเข้าไปกลางหว่างขาเธอ เขาอยากสัมผัสในร่มผ้าแต่ไม่กล้า ไอ้ทัพถอนจูบช้าๆ ด้วยความเสียดาย พร้อมกับปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระ พิมทองร่วงผล็อย แข้งขาสั่นเทายืนไม่ติด “แม่พิม!!” ไอ้ทัพรับร่างอ่อนระทวยไว้ทันท่วงที “ปล่อยฉันนะ” “กระทั่งยืนก็ยืนไม่ติด จะกลับขึ้นเรือนยังไงไหว พี่จะไปส่ง” “ไม่ๆๆ ปล่อยฉัน” หญิงสาวทุบแผ่นอกกว้างระรัว “ดิ้นเข้าไป อยากโดนพี่ทำมากกว่าจูบรึแม่พิม” พิมทองสะอึกวาจาที่จะเอื้อนเอ่ย คำด่าค้างอยู่ในลำคอ แค้นเคืองเหลือจะกล่าวเมื่อถูกข่มเหงโดยไร้ทางสู้ “พี่มาขอแม่พิม” “พี่ไม่ต้องรอคำตอบจากแม่ ฉันไม่ตกลง เมื่อคืนแม่ถามฉันแล้ว แม่ไม่บังคับใจฉัน” “เห็นทีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ที่พี่จะมาขอเอ็ง” ฝีเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้ามั่นคง เหมือนจิตใจที่ไม่เคยสั่นคลอน ไม่ว่ากี่ฤดูที่หมุนเวียนผันผ่าน “ก็ดี ฉันขอบใจ” ที่ย่ำยีไป อโหสิให้ ไอ้ทัพเงียบขณะก้าวขึ้นเรือนอย่างมั่นใจ “ต๊าย! พี่พิม” สไบทองกรากเข้าไปหา “พี่ไม่ได้เป็นอะไร เอ็งอย่าโวยวายไปนักเลยแม่สไบ” พิมทองหยิกเข้าที่เอวหนา เมื่อไอ้ทัพอุ้มไม่ยอมวาง แต่เขาไม่สะดุ้งสะเทือน “ฉันตกใจหมด คิดว่าพี่พิมเป็นลมเป็นแล้ง แล้วอุ้มทำไมเล่าจ๊ะพี่ทัพ ในเมื่อพี่พิมสบายดี” สไบทองทำหน้าเป็นใส่คนทั้งสอง “พี่สาวเอ็งน่าอุ้ม” “ปล่อยฉันลงได้แล้วพี่ทัพ” “จะดิ้นไปไยแม่พิม พี่ไม่อุ้มเอ็งเอาไว้ทั้งวันหรอก” ไอ้ทัพกระชับอ้อมแขน กอดหญิงสาวเอาไว้กับอกแนบแน่นขณะพูดกับสไบทอง “พี่ลาล่ะนะแม่สไบ ฝากกราบแม่น้าด้วยนะจ๊ะ” “จ้ะ สวัสดีมีชัย เดินทางปลอดภัยนะพี่ แล้วนั่นจะพาพี่พิมไปด้วยรึ” สไบทองหยอกเอินเมื่อเห็นไอ้ทัพกอดพี่สาวเธอเสียแนบแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย พิมทองหน้าแดงก่ำ ทุบตีไอ้ทัพด้วยความอับอาย “นี่... ปล่อยฉันนะ” “ดิ้นเข้าไป เดี๋ยวก็ตกหรอก” ไอ้ทัพเกร็งอ้อมแขน ปรามพิมทอง ก่อนจะหันไปตอบสไบทอง “วันนี้คงพาพี่สาวเอ็งไปด้วยไม่ได้หรอกแม่สไบ แล้วค่อยกลับมารับอีกที ไม่นานเกินรอ” “ฝันไปเถอะ” “จ้ะ ฝันที่เป็นจริง รอพี่มารับนะยอดรัก” ไอ้ทัพจูบหนักหน่วงที่พวงแก้มซ้ายขวา ดั่งประทับตราสัญญาว่าจะมารับให้ได้ดังที่เอ่ยวาจาออกไป พิมทองอ้าปากค้าง ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ไม่คิดว่าจะโดนไอ้ทัพ ล่วงเกินต่อหน้าสไบทอง กระทั่งร่างใหญ่วางเธอลงกับพื้นแล้วเดินจากไปเธอก็ยังไม่รู้สึกตัว “ต๊าย!! ผู้ชายอะไร หวานผิดกับหน้าตา ฉันเพิ่งเห็นว่าพี่ทัพรูปงามก็ตอนหอมแก้มพี่พิมนี่ล่ะ” “เพ้อเจ้อ” พิมทองกระแทกเสียง ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้อง ทิ้งให้สไบทองนั่งหัวเราะคิกคักราวกับชอบใจเพียงลำพัง             เชื่อเถอะ พี่ไม่พ้นมือพี่ทัพหรอก อย่างนี้สิ รักจริงหวังฉุด ถ้าไม่ตอบตกลง พี่ทัพต้องมาฉุดแน่ๆ สมน้ำหน้าอีพี่แผน เจ้าชู้ดีนัก             ไอ้ทัพให้เวลาเพื่อนรักมานานมากพอแล้ว แต่ไอ้แผนไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้นมากไปกว่าป้อไปป้อมา ทั้งที่พร้อมเกินพร้อม ทำไมต้องทอดเวลาออกไปจนเนิ่นนาน ไม่สู่ขอพิมทองไปเป็นแม่ศรีเรือนเสียที เพราะเหตุใดเล่าถึงได้รั้งรอ

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

นางสาวอินทุอรณ์

read
5.3K
bc

My Buddy เล่นเพื่อน

read
14.2K
bc

FirstLove น้องพี่ที่รัก

read
5.7K
bc

กระชากกาวน์

read
4.3K
bc

ซ่านเสน่หา พี่น้องต่างสายเลือด

read
3.6K
bc

ร้อยสวาททาสหัวใจ

read
2.6K
bc

แคดดี้ที่รัก

read
1.2K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook