bc

ลิขิตฟ้าสั่งนางร้าย

book_age18+
143
FOLLOW
1.3K
READ
HE
time-travel
curse
drama
like
intro-logo
Blurb

ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาผูกพันกันมาแต่ชาติปานใด เหตุใดจึงตัดไม่ขาดเสียที ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ความเจ็บปวดก็ยังฝังรากลึกติดไปทุกชาติไม่เคยจางหาย

สวรรค์ก็ชั่งใจร้ายโยนโอกาสที่นางไม่เคยร้องขอให้กลับสู่ความวุ่นวายในอดีตชาติอีกครั้ง

chap-preview
Free preview
ตอนที่1
ร่างบางบนเตียงนอนกว้างขนาดใหญ่หนานุ่มแค่ไหนดูจากรอยยุบระหว่างร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นบนหัวเตียง หญิงสาวพลิกตัวนอนคว่ำมือเรียวสวยคว้าหาหมอนใบใหญ่มาปิดหูก่อนปัดนาฬิกาที่ส่งเสียงรบกวนเวลาพักผ่อน งืดดด~ คลื่นสั่นของโทรศัพท์ไอโฟนที่ปิดเสียงไว้ดังขึ้นบนโต๊ะเตี้ยติดหัวเตียงหลังเจ้าเสียงนาฬิกาปลุกถูกปิดได้ไม่นาน หญิงสาวจำต้องรับสายทั้งที่ไม่ได้ดูชื่อคนโทร “ฮัลโหล” น้ำเสียงหวานติดง่วงนอน เพราะพึ่งตื่นทั้งยังนอนไม่อิ่มอีกด้วย ‘พระอาทิตย์ส่องหน้าแล้วป่ะ นี่แกยังไม่ตื่นอีกหรอว่ะ’ ปลายเสียงบ่นใส่คนสะลึมสะลือยังไม่ลุกขึ้น หรือลืมตาไม่สังเกตผ้าม่านสีดำปิดหน้าต่างในห้องหมดแล้วจะมีแสงที่ไหนส่องผ่านมายังหน้าสดของฉันได้ล่ะ “มีไร” เสียงอู้อี้เพราะฉันเอาหน้าไปมุดหมอนใบใหญ่ ‘ถามมาได้ก็วันนี้พวกเรามีทริปบินไปจีนสำหรับโปรเจกต์งานใหม่ที่จะเริ่มเดือนหน้าไงแก~’ ปลายเสียงพูดลากยาวใส่ฉัน “ไปจีน? โปรเจกต์?” เงยหน้าขึ้นมาคิดทบทวนคำพูดเพื่อนสาวปลายสาย ก่อนดีดตัวลุกขึ้นอย่างไวเปิดหน้าจอโทรศัพท์ดูเวลา 09:00น. แล้ว! ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้าง รีบกระโดดลงจากเตียงใช้เพียงห้าก้าวเท่านั้นก็เข้าถึงห้องน้ำแต่สุดท้ายวิ่งกลับมาเอาเสื้อผ้าในตู้ด้วยความรีบร้อน ‘ใยรินฟังอยู่ไหมเนี่ย ใยริน!’ ฉันเปิดลำโพงไว้ได้ยินเสียงเพื่อนสาวจากโทรศัพท์บนเตียงรีบคว้าติดมือเข้าห้องน้ำ “เอ่อๆ รีบอยู่ แกจะให้ฉันไปรับใช่ป่ะ” ‘ไม่อ่ะวนไปวนมาเสียเวลาเดี๋ยวตกเครื่องกันพอดี เจอที่สนามบินก่อนเที่ยงหน้าร้านเบเกอรี่ทางเข้าประตู6นะ’ “เค” ฉันกดตัดสายแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวให้ทันเวลา ฉันชื่อใยรินอายุ24ปีหลังคุณแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ป้าโรสรับฉันมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กอาศัยอยู่กับป้าโรสคนสหรัฐ เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของฉันเอง ป้าโรสเปิดร้านอาหารที่ประเทศไทยมากกว่ายี่สิบปี ใจดี อ่อนโยนและรักฉันเหมือนลูกหลานแท้ๆ ฉันเลือกใส่เสื้อแขนยาวคอเต่าสีเทากางเกงสีดำขายาว ถึงตาตุ่ม ฉันนั่งอยู่หน้ากระจกบนโต๊ะเครื่องสำอางแต่งหน้าบางๆ ด้วยเหตุผลหนึ่งข้อสามคำคือไม่มีเวลา โชคดีที่สองวันก่อนเตรียมกระเป๋าเดินทางไว้เรียบร้อยแล้ว ฉันลากกระเป๋าเดินทางมาที่หน้าประตูห้องก้มลงเลือกสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่วางบนชั้นเล็กข้างประตู ขณะที่กำลังจะออกจากห้องก็นึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบกุญแจรถกับเสื้อกันหนาว พอได้กุญแจไม่รอช้าเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มสไตล์เกาหลีพาดแขนขวา จากนั้นล็อกประตูลากกระเป๋าลงลิฟต์ทันที ขับรถจากคอนโดมาสนามบินAกว่าจะถึงใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่ง ที่นี่มันกรุงเทพรถติดไฟแดงเยอะเป็นธรรมดา เพราะงี้ถึงต้องรีบกลัวไม่ทันเครื่อง “ฝ้าย” ฉันเห็นฝ้ายยืนเล่นโทรศัพท์รออยู่เลยเรียกหล่อนพลางวิ่งลากกระเป๋าไปหา “เร็วๆ เลยเหลือเวลาอีก45นาทีเอง” ฝ้ายพูดพลางยื่นมือมาช่วยรับสัมภาระอื่นๆ แล้วลากกระเป๋าของตัวเองเดินนำหน้าฉัน “เดี๋ยวดิฉันซื้อขนมปังก่อนยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย” มาถึงที่ยังไม่ทันได้หายใจ ข้าวก็ไม่ได้กินเดี๋ยวฉันได้หิวตายบนเครื่องแน่ “ฉันซื้อเผื่อให้แกแล้วอยู่ให้กระเป๋าถึงGATE แล้วค่อยกินก็ได้” ฝ้ายลากทั้งคนและกระเป๋าไปเข้าแถวที่จุดตรวจสัมภาระ ตอนเก็บของฉันดันซุ่มซ่ามขณะหยิบกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองอยู่ดีๆ สมุดเล่มสีน้ำตาลเข้มหนังสัตว์ก็ตกหล่นพื้นระเนระนาดฝ้ายที่นำไปก่อนแล้วย้อนกลับมาช่วยฉันเก็บของ ขณะนั้นจู่ๆ ฉันเองก็รู้สึกหน้ามืดกระทันหันอาจเป็นเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนมา ทว่าในหัวก็เกิดเห็นภาพผู้หญิงสวมชุดจีนยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางหิมะขณะที่เธอกำลังหันมาหาฉันยังไม่ทันจะเห็นใบหน้าภาพก็ตัดไปซะก่อนแทนด้วยเสียงผู้ชายพูดภาษาจีนดังก้องในหัวจนฉันต้องกุมขมับ เขาพูดไม่หยุดน้ำเสียงเขาคล้ายเสียใจอย่างหนักและขอร้องไม่ให้ใครสักคนที่เขาพูดถึงอยู่จากเขาไป แต่มันเรื่องอะไรฉันก็ไม่รู้หรอกเพราะไม่เก่งภาษาจีนรู้คำงูๆ ปลาๆ ที่สำคัญตอนนี้โคตรปวดหัวตุบๆ เหมือนเป็นไมเกรนเลย อย่างกับเส้นเลือดสมองจะแตก “ใยริน! ใยรินแกเป็นอะไรไหม” ฝ้ายจับไหล่เบาๆ ฉันถามด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ฉันรู้สึกดีขึ้นหลังได้ยินเสียงฝ้ายเรียกหา “อือไม่ ไม่เป็นไร” ฉันส่ายหน้ารับสัมภาระอย่างกระเป๋าสะพายที่ฝ้ายถือให้อยู่คืน สีหน้าฝ้ายดูกังวลกับอาการปวดหัวเมื่อครู่ของฉันมาก “แต่เมื่อกี้หน้าแกซีดมากเลยรู้ป่ะ เนี่ยตอนนี้ยังซีดดูไม่น่าโอเครนะ” ฝ้ายพูดพร้อมสำรวจใบหน้าเพื่อนสาวพลางเอามือแนบหน้าผากฉันวัดไข้ “หิวข้าวไงไปกัน” ฉันยกเรื่องกินมาอ้างเพื่อตัดบทสนทนาฉันปัดมือฝ้ายออกเดินลากกระเป๋าไปที่GATE ไม่สนใจเพื่อนสาวที่เป็นห่วงตัวเองซะนิด 3ชั่วโมงต่อมาในที่สุดเราสองคนก็เดินทางมาถึงประเทศจีน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเที่ยวต่างประเทศแล้วออกทริปมาเมืองCเพราะอยากเห็นเมืองโบราณของจีนแบบในซีรี่ย์มากสุดๆ ฉันรีบสวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มทันทีที่ก้าวออกจากสนามบิน ช่วงฤดูหนาวที่จีนหนาวกว่าไทยเป็นสิบเท่าหิมะยังไม่ตกก็เย็นขนาดนี้สิบห้าวันต่อจากนี้จะรอดกลับไทยไหม ฉันเป็นคนขี้หนาวซะด้วยยอมมาเพื่องานโดยเฉพาะ “เอาอีกสักตัวไหม” ฝ้ายถามพลางมองแผนที่ในมือ “ไม่ล่ะ มันรุ่มร่าม” ฉันตอบแล้วก้มหน้าช่วยฝ้ายดูทริปในแผนที่ เราตกลงกันว่าจะเช่ารถง่ายต่อการเดินทางไปไหนมาไหนและก็สะดวกสบายกว่าไหนๆ ซึ่งเรื่องท่องเที่ยวนำทางไปสถานที่ต่างๆ ให้เป็นหน้าที่ของฝ้ายหล่อนเก่งภาษาจีน ส่วนฉันรอจ่ายเงินอย่างเดียวค่ะ “ใส่ไว้เดี๋ยวไม่สบาย” ฝ้ายหยิบผ้าพันคอในกระเป๋าสะพายของตัวเองให้ฉันแล้วก็ลากสัมภาระของฉันเดินไปที่จุดจอดรถเฉย อืม มีเพื่อนดีก็งี้แหละ พวกเราเพื่อหาแรงบันดาลใจและมาทำสตอรี่โปรเจกต์งานที่จะเริ่มเดือนหน้า ที่จริงหาข้อมูลในเน็ตอย่างเดียวก็ได้ดีเทลอยู่ แต่ฉันรู้สึกว่ามันไม่ได้สัมผัสบรรยากาศจริงแล้วเขียนไม่ค่อยออกนี่สิ วันแรกก็พักผ่อนเก็บแรงไว้ก่อน จากนั้นก็เริ่มทำงานแบบชิวๆ เที่ยวไปจดบักทึกไปด้วย เราสองคนแบ่งหน้าที่กันคนหนึ่งถ่ายรูปคนหนึ่งจดบันทึกถ้าตอนเย็นกลับมาที่โรงแรมแล้วไม่เหนื่อยมากก็ช่วยกันเรียบเรียงข้อมูลบางส่วนก่อน หลังกลับไทยจะได้ไม่ต้องทำเยอะไม่ชอบค้างงานไว้รอใกล้ถึงเวลามาเร่งทีหลังไม่ใช่นิสัยฉันกับฝ้าย พวกเราสองคนร่วมงานกันบ่อยและเป็นทีมเวิร์กที่สุดที่ฉันเคยร่วมกับคนอื่นๆ “หาของร้อนๆ กินปะ ฉันเขียนจนมือเย็นหมดแล้วแก~” ฉันเก็บสมุดบันทึกใส่กระเป๋า ถูมือไปมาใช้ปากเป่าความร้อนในร่างกายเพื่อให้มืออุ่นขึ้น “ทำไมแกไม่ใส่ถุงมือไว้แต่แรกเล่า” ฝ้ายหันมาตอบฉันเมื่อกี้เธอกำลังถ่ายรูปบรรยากาศเมืองโบราณอยู่ “ก็ใส่แล้วเขียนไม่ถนัดไง อย่าบ่นมากสิหาของกินดีกว่านะ” ฉันสวมถุงมือที่ถอดออกก่อนหน้า แล้วเดินไปหาของร้อนๆ กินตามความต้องการไม่สนใจเพื่อนสาวขี้บ่นข้างหลัง ฉันยิ้มกว้างดีใจหยุดอยู่หน้าร้านเกี๊ยวน้ำกลิ่นน้ำซุปหอมเครื่องเทศชวนน้ำลายเซาะ มองเข้าไปในร้านเห็นว่ายังเหลือที่นั่งอยู่แถมเงียบสงบด้วย ฉันจึงส่งสายตาให้ฝ้ายจัดการสั่งเกี๊ยวน้ำแทนเพราะฉันพูดจีนไม่เป็น เมื่อของร้อนมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ใยรินก็ตักขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนสองสามทีก่อนเข้าปากทำให้ความร้อนจัดที่ยังมีอยู่ในตัวเกี๊ยวลวกปากฉันอย่างไม่ทันระวัง โดนเกี๊ยวลวกปากจนได้ เป่าควันร้อนออกจากปากเหมือนเด็กน้อยไม่รู้จักโต “ค่อยๆ กิน” ฝ้ายเห็นความตะกละของฉันก็ส่ายหัวช่วยเป่าซุปเกี๊ยวร้อนๆ ในถ้วยให้อีกแรง เอาใจใส่ที่หนึ่งไม่ต้องไปหาแฟนแหละแค่มีฝ้ายก็พอ ฉันนั่งซดซุปร้อนๆ พร้อมเกี๊ยวสอดไส้หมูสับหวานนุ่มละมุนเนื้อหมูเด้งในปากฟินสุดๆ อาหารมื้อนี้เหมาะกับสภาพอากาศหนาวเย็นสุด ส่วนฝ้ายนั่งมองฉันกินอย่างเอร็ดอร่อย “แกไม่กินจริงหรอฝ้าย ร้านนี้อร่อยนะ” ฉันถามฝ้ายพลางตักเอาเข้าปากไม่หยุด “ใยรินแกพาฉันมาหาของกินเป็นรอบที่สิบของวันแล้วจะให้ฉันเอากระเพาะที่ไหนมาใส่เกี๊ยวน้ำเหมือนแกอีก” ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่มาถึงจีนฝ้ายบ่นเยอะขึ้นเป็นกอง “ไม่กินก็มาให้ฉันนี่ เดี๋ยวกินเองคนจ่ายเงินก็ฉัน แกจะบ่นเยอะทำไมเนี่ย” ฉันยกถ้วยหล่อนพลางเป่าไอความร้อนก่อนตักซุป ประโยคต่อมาของฝ้ายทำให้ฉันชะงักระหว่างกิน “ใยริน แกยังไม่เลิกวาดรูปพวกนั้นอีกหรอว่ะ” คำถามที่อัดอั้นตันใจมาหลายวันของฝ้ายถามฉันตรงๆ ฉันเข้าใจว่ารูปที่ฝ้ายพูดถึงคือรูปอะไร “อืม” ฉันยอมรับ “แกจะบอกว่าจนถึงเวลานี้แล้วแกยังไม่เลิกฝันถึงเรื่องราวบ้าๆ นั่น” “ใช่” ฉันเคยเล่าให้ฝ้ายฟังว่าตั้งแต่อายุ14ฉันก็เริ่มฝันถึงผู้หญิงในชุดจีนโบราณคนหนึ่งฉันได้เห็นเรื่องราวที่เธอในฝันใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ฉันเข้าใจความคิดและความรู้สึกของเธอคนนั้นทุกครั้งแต่สิ่งหนึ่งที่ขัดใจฉันมาก “ฉันเป็นห่วงแกนะเว้ย ดูแกดิถึงกลับวาดรูปออกมาเป็นฉากๆ เพื่ออะไร? มันน่าจดตำหรือไง” “เห็นแล้ว?” ฉันไม่ได้บอกฝ้ายหรือให้ดูภาพวาดพวกนั้นเลยนะ หล่อนไปรู้มาจากไหน “พึ่งเห็นตอนที่แกทำสมุดตกพื้นน่ะ แล้วที่แน่ใจว่าเป็นภาพในฝันก็เมื่อกี้นี้แกพึ่งยอมรับ” ฝ้ายพูดจบก็ถอนหายใจยาว หล่อนจะหนักใจเรื่องของฉันมากไปหรือเปล่า ความจริงตอนที่ฉันฝันอยู่อย่างกับตัวเองกำลังดูซีรี่ย์สามมิติ มีอารมณ์ร่วมกับคนในฝัน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นผลเสียต่อร่างกายฉันนะ ‘แค่ฝัน’ เฉยๆ เองไหม “ใยรินแกอย่าฝันจนเสียสุขภาพจิตนะ ฉันไม่อยากมีเพื่อนเป็นบ้า เรื่องนี้ยิ่งพูดยิ่งขนลุก” ฝ้ายส่ายหน้าเหลือบมองไปหน้าร้าน ปกติฝ้ายก็ เป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก คงเป็นเพราะครั้งนี้เคยตอนห้องเดียวกันแล้วฉันร้องไห้ละเมอชุดใหญ่เรียกไม่ตื่นเลยเชื่อมั้ง “จ้า ไม่ต้องห่วงแกไม่มีเพื่อนเป็นบ้าหรอกน่า เพราะฉันรู้สึกว่ามันใกล้จบแล้วล่ะ” ฉันกล่าวไปพลางตักเกี๊ยวหมูเด้งของโปรดเข้าปาก “เหอะฝันเป็นเรื่องเป็นราวมา10ปี เอาความคิดจากไหนมาว่ามันใกล้จบ หืม?” ฝ้ายเน้นคำว่า ‘ใกล้จบ’ แล้วจ้องหน้าฉันอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ไม่รู้ดิ” ก็พึ่งจะพูดอยู่ว่า ‘รู้สึกว่ามันใกล้จบ’ ฝ้ายดูเหมือนจะหมดคำพูดกับคำตอบของฉันหล่อนเงียบอยู่นาน จนฉันกินเสร็จกำลังหาเงินมาจ่าย จู่ๆ ฝ้ายก็ตบโต๊ะจ้องเขม็งมาที่ฉัน “แต่ไม่แน่นะ รูปวาดงานแต่งงานแบบคนจีนสมัยก่อนที่ฉันเห็นแกวาดใส่สมุดเป็นฉากล่าสุดใช่ป่ะ บางทีอาจเป็นตอนจบของเรื่องแบบในละครก็ได้นะแก” ฉันยิ้มแห้งๆ ให้กับการวิเคราะห์ของนาง ภาพนั้นมันไม่ใช่งานแต่งของผู้หญิงที่ฉันฝันเห็นมาและตัวฉันเองยืนดูข้างหลังมาตลอด ที่ฉันรู้สึกว่าใกล้จบเป็นเพราะมีความรู้สึกร่วมกับผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางหิมะอย่างโดดเดี่ยวในฝัน จริงหรือเท็จฉันตอบไม่ได้ “ว่าแต่มาจีนครั้งนี้เราก็ไปหลายเมืองแล้วนะมีเมืองไหนคล้ายกับฝันแกป่ะ เหมือนในหนังไงแก”

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

Her Triplet Alphas

read
7.5M
bc

The Heartless Alpha

read
1.5M
bc

My Professor Is My Alpha Mate

read
461.6K
bc

The Guardian Wolf and her Alpha Mate

read
494.6K
bc

The Perfect Luna

read
4.0M
bc

The Billionaire CEO's Runaway Wife

read
599.9K
bc

Their Bullied and Broken Mate

read
462.9K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook