EP 01 โจรกระจอก

3262 Words
EP 01 โจรกระจอก  “ขอบคุณที่มาใช้บริการครับ” ผมยกมือไหว้และยิ้มให้ลูกค้าก่อนจะรับหน้าที่เปิดประตูร้านเพื่อส่งลูกค้าคู่สุดท้ายที่เพิ่งจะเช็กบิลตอนได้เวลาปิดร้านพอดี ฟู่ว์ เก็บร้านกลับห้องได้สักที เดินจนขาล้าไปหมด หลังจากที่ลูกค้าที่น่าจะเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันเดินพ้นประตูร้านออกไป ผมก็รีบปิดแล้วล็อกประตูร้านเอาไว้ทันที และไม่ลืมที่จะพลิกป้ายแขวนที่ประตูกระจกกลับอีกด้านเพื่อแจ้งให้ทราบว่าวันนี้ร้านปิดบริการแล้ว จากนั้นก็เดินกลับเข้ามาทำความสะอาดร้าน เดี๋ยวจะได้รีบกลับไปนอนพึ่งพุงที่ห้องหลังจากที่ต้อนรับลูกค้ามาตั้งแต่ช่วงเย็น ผมคิมหันต์ไง นี่คิมเอง… ผมทำงานพาร์ทไทม์เป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านขนมเล็กๆ ใกล้ๆ กับมหา’ลัยน่ะ ช่วงนี้เพิ่งจะต้นเดือนคนมักจะเยอะเป็นพิเศษ แต่ผมชอบนะ เพราะคนเยอะ ธิปก็เยอะตามไปด้วย ต่างจากช่วงกลางเดินไปจนถึงเกือบสิ้นเดือนที่ชั่วโมงนึงผมจะได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นสักครั้งสองครั้ง “วันนี้กลับไปพักเถอะคิม ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง” พี่ไทม์ผู้จัดการร้านเดินมาบอกผมด้วยความใจดีเหมือนเคย “ไม่เป็นไรครับพี่ ช่วยๆ กัน” “ไปเถอะ วันนี้เราเหนื่อยกันมาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว พี่อนุญาต เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาลุยกันต่อ” พี่ไทม์เดินเข้ามาตบบ่าผมเบาๆ สองสามที ก่อนจะยื่นซองสีขาวในมือให้ผม แต่ว่าอย่าตกใจไปล่ะ เพราะว่าไอ้ซองนั่นมันเป็นซองเงินเดือนของผมเอง “ยังไม่ถึงกำหนดเงินเดือนออกเลยนะครับ พี่จะรีบให้ผมไปไหน” ผมรีบถามด้วยความเกรงใจ “ผู้ใหญ่ให้แล้วก็รับๆ ไปเถอะน่า อีกไม่กี่วันก็สิ้นเดือนแล้ว ยังไงก็ต้องจ่ายอยู่แล้ว จ่ายเร็วไปแค่วันสองวันคงไม่เป็นไรหรอก รับๆ ไปเถอะ” “ขอบคุณครับพี่” ยิ้มกว้างสิครับรออะไร รับซองเงินเดือนมาถือไว้ให้อุ่นใจ เห็นเงินแล้วรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาสองขีด “เดือนนี้พี่มีเงินพิเศษให้ด้วยนะ เห็นว่าช่วงนี้ลูกค้าเยอะ อีกอย่างคิมเองก็ทำงานมาตั้งหลายเดือนแล้วพี่ยังไม่เห็นคิมจะลาป่วยลาหยุดบ้างเลย ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนของความขยัน” “ขอบคุณครับพี่ไทม์” “รับเงินแล้วก็รีบกลับได้แล้ว มืดค่ำเดินคนเดียวมันอันตราย เดี๋ยวนี้ต่อให้จะเป็นผู้ชายก็น่ากลัว อีกสักพักพี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกัน” เขาเตือนผมแบบนี้เสมอ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่จะย้ำบ่อยเป็นพิเศษเพราะเมื่อสองสามวันก่อนแถวๆ ร้านเพิ่งจะมีผู้ชายคนหนึ่งโดนกระชากสร้อยไปหมาดๆ “ครับ ถ้างั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันครับพี่ไทม์” ผมบอกยิ้มๆ ก่อนจะยกมือไหว้พี่ไทม์อีกรอบแล้วเดินกลับเข้ามาเอากระเป๋าของตัวเองที่เก็บเอาไว้ด้านหลังร้าน แต่ว่าพอเดินกลับออกมาอีกทีผมกลับเห็นว่าพี่ไทม์ยืนกวาดร้านอยู่งกๆ “อ้าว ไหนว่าจะกลับไงครับ” “พี่บอกว่าอีกสักพักจะกลับต่างหาก เอาน่า เดี๋ยวเรากลับพี่ก็กลับเองนั่นแหละ” พี่ไทม์พูดพลางส่งยิ้มให้ผมนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่ผมเห็นพี่เขายิ้มให้ทีไร ผมต้องรู้สึกว่าใจสั่นทุกที “พี่แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ผมอยู่ช่วย” อดจะถามด้วยความลังเลอีกรอบไม่ได้ ใจหนึ่งก็อยากจะกลับแล้ว แต่อีกใจก็รู้สึกผิดที่ปล่อยให้เจ้าของร้านทำงานงกๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นลูกจ้างดันจะกลับไปนอน “ก็บอกว่าไม่ต้องไง พูดไม่รู้เรื่องรึไงนะเราเนี่ย ไปๆ รีบไปได้แล้ว พี่ก็ทำทีเป็นกวาดร้านรอส่งเราแค่นั้นแหละ” พี่ไทม์เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่พอได้ยินเขาพูดว่าเขาแค่อยู่รอส่งผม ในหัวผมมันก็คิดไปไกลถึงไหนต่อไหน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพี่ไทม์เขาก็แค่รอส่งผมเพื่อปิดประตูร้าน “งั้นผมไปนะพี่” “อืม พรุ่งนี้เจอกัน” พี่ไทม์ยังคงบอกยิ้มๆ พร้อมกับโบกมือลาผมแล้วก้มหน้าก้มตากวาดร้านต่อไปเงียบๆ คงจะมีแค่ผมเท่านั้นแหละที่ยังรู้สึกว่าใจสั่น เพราะผมรู้ดีว่าพี่ไทม์เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับผมหรอก แต่ไหนแต่ไรมาพี่ไทม์เป็นห่วงเด็กทุกคนในร้านเสมอ ซึ่งตอนนี้พนักงานในร้านเหลือแค่ผมคนเดียว เพราะคนอื่นๆ ที่มาสมัครก็มักจะทำงานได้ไม่นาน ทำได้สักพักก็ออก ไม่มีใครทนทำงานได้ทนอย่างผมหรอกทั้งที่งานก็ไม่ได้หนักหนาเลยสักนิด หรือผมอาจมีแรงจูงใจในการทำงานที่นี่มากกว่าคนอื่นก็ได้ บอกตรงๆ ก็ได้ว่าที่ผมยังทำงานอยู่ที่ร้านนี้ก็เป็นเพราะว่าผม...อยากเจอพี่ไทม์ พี่ไทม์เป็นคนใจเย็น ใจดี มีความเป็นผู้ใหญ่ ที่ผ่านมาพี่ไทม์ดูแลเอาใจใส่ลูกน้องทุกคนเป็นอย่างดี ไม่ว่าใครจะเดือดร้อนเรื่องอะไร ถ้ารู้ถึงหูพี่ไทม์ ผมก็มักจะเห็นว่าเขายื่นมือไปช่วยเหลือในทันทีโดยไม่ต้องรอให้ใครเอ่ยปาก เหมือนอย่างที่เขาเอาเงินเดือนมาให้ผมก่อนครบกำหนดวันเงินเดือนออก ก็เป็นเพราะพี่ไทม์รู้ว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันครบกำหนดจ่ายค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์ของผมนั่นเอง และทุกอย่างที่ผมพูดมา ผมก็แค่อยากบอกว่าพี่ไทม์คือเหตุผลที่ทำให้ผมไม่เคยคิดอยากจะหยุดหรือลางานเลยแม้แต่วันเดียว อืม ลูกจ้างกลับก่อน เจ้าของร้านกลับทีหลัง คิดซะว่าทำงานตามค่าจ้างก็แล้วกันนะครับพี่ ผมแอบหันกลับไปมองพี่ไทม์ที่ยังคงเดินกวาดร้านไปผิวปากไปเรื่อยๆ แล้วแอบยิ้มคนเดียว ก่อนจะรีบเก็บซองเงินเดือนใส่กระเป๋าเป้เอาไว้ พรุ่งนี้คงได้เวลาเคลียร์ค่าใช้จ่ายกันหน่อย พี่ไทม์จ่ายพิเศษมาแบบนี้เดือนนี้ผมคงมีพอจะเหลือเก็บบ้าง “หลบไป/เฮ่ย” ผมอุทานออกมาเสียงดังเมื่ออยู่ๆ ก็มีใครที่ไหนก็ไม่รู้วิ่งมาชนผมจากทางด้านหลัง แถมยังชนแรงมากจนผมกระเด็นตกฟุตบาธมาชนเข้ากับรถที่จอดเทียบฟุตบาธพอดี แหม! รถหรูเสียด้วย ดีนะที่ผมไม่ได้ทำรถเขาเป็นรอย พับผ่าสิ “จะรีบไปตายที่ไหนวะ!” ตะโกนถามเสียงดังด้วยความหงุดหงิด คนกำลังอารมณ์ดีๆ อยู่แท้ๆ เลย “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย มีโจรกระชากกระเป๋าค่ะ” แล้วระหว่างที่ผมกำลังอารมณ์เสียเพราะไอ้บ้าที่วิ่งชนผมเข้าอย่างจัง ผมก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ ซึ่งพอเงยหน้าขึ้นไปมอง ผมก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังวิ่งตามนายคนนั้นมาด้วยท่าทีรีบร้อน ดวงตากลมโตกำลังมองมาที่ผม สีหน้าของเธอตื่นตระหนก แถมเธอยังชี้นิ้วตรงไปที่นายคนนั้นอย่างชัดเจน “ช่วยด้วยค่ะ มันกระชากกระเป๋าฉันค่ะ” “เวรละ!” ผมสบถพึมพำแล้วรีบวิ่งตามไอ้โจรกระชากกระเป๋านั่นไปตามสัญชาตญาณของตัวเองในทันที ปกติแล้วผมไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นนะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเลือดรักความยุติธรรมของผมมันจะพลุ่งพล่านตั้งแต่ได้เห็นใบหน้าตื่นๆ ของเธอคนนั้น ...เธอสวย...ผู้หญิงอะไรตกใจแล้วยังสวย “หยุดนะโว้ย” ผมแหกปากตะโกนบอกพร้อมกับยังคงวิ่งไล่กวดไอ้โจรกระจอกนั่นไปติดๆ เห็นหลังไวๆ เหมือนจะทิ้งห่างผมไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ทำไมวิ่งตามเท่าไหร่ก็ยังไม่ทันสักที “ฉันบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้ จับได้พ่องจะอัดให้น่วมเลย” “ไปตามพ่องมึงมาสิ” ไอ้โจรกระจอกตะโกนต่อปากต่อคำกับคนอย่างผม เดี๋ยวก่อนเถอะ ให้มันรู้ซะบ้างว่าแถวนี้ถิ่นใคร ผมเร่งความเร็วของฝีเท้าตามไอ้โจรกระจอกนั่นมาจนเกือบจะถึงตัวมันแล้วแต่ว่ามันกลับเลี้ยวหลบเข้าซอยใกล้ๆ ไปได้เสียก่อน แต่คิดว่าแค่นี้จะหนีผมพ้นหรือไง ผมวิ่งไปมหา’ลัยตั้งแต่ปีหนึ่งจนนี่ขึ้นปีสามแล้ว เรียกได้ว่าทุกตรอกซอกซอยแถวนี้ต้องเคยผ่านฝีเท้าผมมาหมดแล้วทั้งนั้น เดี๋ยวไปเจอกันซอยข้างหน้าเลยไอ้โจรสามานย์! “โอ๊ย!” แล้วเสียงร้อยโหยหวนของไอ้โจรกระจอกก็ดังจนผมเหยียดยิ้ม แต่เดี๋ยวนะ มันร้องทำไม ผมยังไม่ทันจะก้าวเท้าออกไปจากซอกตึกที่อุตส่าห์รีบวิ่งมาซ่อนตัวรอมันอยู่เลยนะ “ปล่อยกู!” ได้ยินเสียงไอ้โจรกระจอกนั่นดังขึ้นอีกรอบ ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นตัวมันอยู่ดี ใครจับมันไว้กันนะ ผมยืนดักรออยู่ตรงนี้แท้ๆ เพราะยังไงเสียหากว่ามันเข้าซอยเมื่อกี้นี้มา มันก็ต้องวิ่งผ่านซอยที่ผมวิ่งเข้ามาดักรอสิ “กูบอกให้ปล่อยกู!” เสียงร้องติดๆ กันของมันทำให้ผมต้องค่อยๆ เดินย่องๆ ออกมาจากซอกตึกที่ลงทุนวิ่งทะลุจากซอยที่แล้วมายืนดักรอสกัดขามัน ก้าวตรงเข้าไปในซอยที่คิดว่าเสียงของไอ้โจรนั่นดังมาจากมุมนั้น แล้วสิ่งที่ผมเห็นกับตาก็คือร่างของไอ้โจรกระจอกนั่นกำลังลอยอยู่เหนือพื้น (นิดเดียว) เพราะโดนใครบางคนจับคอเสื้อของมันเอาไว้แน่นแล้วยกค้างเอาไว้ “กระเป๋า” “ไอ้ติณ!” บ้าชะมัด ทำไมผมต้องมาเจอไอ้บ้านี่อีกแล้ว ผมหลุดปากเรียกชื่อติณออกไปทั้งที่ยังคงยืนมองมันนิ่งๆ ผมเห็นนะว่าเมื่อกี้นี้มันชำเลืองหางตามองผมแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้หันมามองตรงๆ เพราะว่ามันกำลังจ้องเล่นงานไอ้โจรกระจอกนั่นอยู่ “หูแตกเหรอมึง กูบอกให้มึงส่งกระเป๋ามา” ไอ้ติณย้ำเสียงเข้ม กำคอเสื้อของไอ้โจรกระจอกแน่นขึ้นพร้อมกับเขย่าแรงๆ จนเท้าของมันแกว่งไปมากลางอากาศ ใบหน้าของมันแดงก่ำเพราะกำลังจะขาดอากาศหายใจ แถมตาเหลือกราวกับจะถลนออกมาจากเบ้า “ค่อกๆ แค่กๆ ค่ะๆ คืนแล้วๆ” “ก็แค่เนี้ย พ่อแม่มึงไม่สั่งสอนบ้างเหรอว่าไม่ให้ขโมยของคนอื่น” ไอ้ติณพูดไปด้วยเขย่าคอเสื้อไอ้โจรกระจอกนั่นไปด้วยทำเอาผมรู้สึกอึดอัดแทน กลัวจริงๆ ว่าไอ้โจรนั่นจะตายคามือไอ้ติณ ไม่เข้าใจเลยเหมือนกันว่าไอ้ติณมันจะเสียเวลาสั่งสอนโจรทำไม ในเมื่อถ้ามันคิดได้ มันคงไม่เลือกเป็นโจร “สะ สะ สอน” “สอนแล้วก็หัดจำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วย แล้วอย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีกนะ ไม่งั้นจะเตะให้ตายคาตีนเลย ไป๊!” ลงท้ายด้วยเสียงห้าวๆ ของไอ้ติณที่ตวาดใส่หน้าไอ้โจรกระจอกในกำมือ (มันกำแน่นจริงๆ) ก่อนที่มันจะเหวี่ยงโจรออกจากมือลงไปนั่งหน้าเ**ยกอยู่กับพื้น ซึ่งที่ผมไม่เข้าใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือมันเหวี่ยงไอ้โจรบ้านั่นมาทางผมทำไม ผมรีบหลบฉากมายืนทำตัวลีบอยู่ข้างกำแพง ไม่ได้กลัวไอ้โจรนั่นหรอกนะแต่ว่ารังเกียจ ไอ้โจรกระจอกนั่นกุลีกุจอวิ่งออกไปแต่ก็ยังไม่วายจะหันมามองผมด้วยสายตาอาฆาต มันอาฆาตผมทำไม คนที่มันควรจะอาฆาตคือไอ้ติณ ไม่ใช่ผมสักหน่อย โจรเผ่นแน่บไปแล้ว ตรงนี้ก็เหลือแค่ผมกับไอ้ติณและกระเป๋าสะพายใบนั้นของเธอ ที่ตอนนี้อยู่ในมือของไอ้ติณ “ยืนมองเหี้ยอะไรของมึง” อืม สงสัยพ่อแม่มันคงไม่สอนเหมือนกันว่าเวลาพูดจากับคนรู้จักมันควรใช้คำพูดที่น่าฟังกว่านี้ ไม่ใช่เอะอะก็มึงกู เอะอะก็ปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกจากปาก “ก็มอง...” ผมย้อนแล้วมองหน้าไอ้ติณด้วยสายตาไม่สะทกสะท้าน แต่พอมันขยับผมกลับสะดุ้ง “อ่ะ” “อะไรของนาย” ผมรีบถามเมื่ออยู่ๆ ไอ้ติณก็เดินมาหาผมจริงๆ แต่ว่าไม่ได้เดินมาเอาเรื่องผมแบบที่ผมแอบกลัวหรอก เพราะว่ามันแค่เดินเข้ามาส่งกระเป๋าใบนั้นให้ผมต่างหาก บอกตรงๆ นะว่าตั้งแต่เห็นมันยกไอ้โจรกระจอกนั่นขึ้นจนลอยลอยอยู่เหนือพื้นด้วยมือเดียวแล้วผมรู้สึกเสียวสันหลัง แทบไม่อยากจะอยู่ใกล้มันด้วยซ้ำ “อะไร” ผมถามด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจนี่นาว่ามันจะส่งกระเป๋าให้ผมทำไม “กระเป๋า” “กระเป๋านี่ไม่ใช่ของเรา” ผมรีบบอก “ไม่ใช่ก็เอาไปคืนเจ้าของเขาสิวะ มึงวิ่งตามไอ้โจรนั่นมาเอากระเป๋าไม่ใช่หรือไง” ไอ้ติณถามพลางส่ายหัว มันจะทำหน้าตาหงุดหงิดใส่ผมทำไมในเมื่อผมยังไม่ทันจะทำอะไรให้มันหงุดหงิดเลย “นายรู้ได้ยังไง” “กูได้ยินมึงตะโกนพูดกับไอ้โจรนั่น โง่นะมึงอ่ะ คิดว่ามึงถือปืนอยู่หรือไงถึงได้ตะโกนสั่งโจรให้หยุดวิ่งแล้วคิดว่ามันจะหยุดเนี่ย” มันด่าผมอีกละ “แล้วนายเห็นได้ยังไง” “วะ? เรื่องมากนักนะมึง จะเอาหรือไม่เอา” ไอ้ติณย้อนถามผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเบอร์แปด แถมมันยังทำท่าพับแขนเสื้อเหมือนจะหาเรื่อง ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะรีบดึงกระเป๋าใบนั้นมาถือเอาไว้ (จริงๆ แล้วผมแค่ตกใจ) “รสนิยมมึงไม่เลวเลยนะ” ไอ้ติณประชดเจือเสียงแค่นหัวเราะออกมา ก็แหม ถึงมันจะเป็นกระเป๋าสีดำแต่ว่าเลื่อมแพรวพราวขนาดนี้ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นของผู้หญิง “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ของเรา” “กูหมายถึงผู้หญิง” ไอ้ติณพูดพลางชำเลืองหางตามองไปที่เก้านาฬิกา ซึ่งพอผมมองตามไปผมถึงได้รู้ว่าเธอคนนั้นผู้เป็นเจ้าของกระเป๋ากำลังเดินมาที่เรา “นาย!” เธอคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับไอ้ติณ ทั้งผมและไอ้ติณก็เลยต่างฝ่ายต่างก็หันไปมองเธอ แต่ว่าสายตาของเธอคนนั้นกลับจ้องมองเพียงกระเป๋าของเธอที่ตอนนี้มันอยู่ในมือของผม ผมก็เลยรีบส่งมันคืนให้เธอ “อ่ะ นี่กระเป๋าเธอ” ดูจากสายตาแล้วมันคงมีความหมายกับเธอมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่วิ่งตามมาตั้งไกลแถมยังมองมันแบบไม่ละสายตาแบบนั้นหรอก ดีไม่ดีมันอาจจะมีของมีค่าอยู่ในกระเป๋าใบนี้ของเธอก็ได้ “ขอบใจนายมากนะ” “ไม่เป็นไร คือว่าจริงๆ แล้ว...” “ฮัลโหล” แล้วเสียงไอติณก็ดังทะลุขึ้นมากลางปล้อง ไอ้ห่านี่ไม่เคยมีมารยาทเลย ถ้าจะรับโทรศัพท์ก็ไม่เห็นต้องเสียงดังสักหน่อย หรือไม่ผมว่ามันก็ควรจะเดินไปรับไกลๆ นะ “ฉันชื่อไอเดียนะ” เธอคนนั้นเริ่มแนะนำตัวแล้วส่งยิ้มให้ผม สายตาเป็นประกายวิบวับจนผมอดจะยิ้มตอบให้เธอไม่ได้ “เราชื่อคิม” ผมตอบกลับไปแบบไม่รู้จะเลี่ยงยังไง ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเธอสวย ยิ่งได้เห็นใบหน้าของเธอใกล้ๆ พร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ แบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอสวยกว่าเมื่อตอนที่ผมเห็นเธอวิ่งเมื่อกี้นี้เสียอีก ซึ่งผมอาจจะพูดอะไรกับเธอได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ติดตรงที่ติณยืนทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่ “ยินดีที่ได้รู้จักนะคิม” “อืม ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมตอบตะกุกตะกักแล้วชำเลืองหางตามองไปที่ไอ้ติณอีกรอบ แต่ปรากฏว่ามันก็ยังคุยโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น แถมไม่ยอมเดินไปไหน ทำเหมือนผมกับไอเดียไร้ตัวตน “เอ่อ หมอนี่ชื่อติณน่ะ” ผมรีบแนะนำไอ้ติณอีกคนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เพราะว่าเห็นเธอกำลังมองไปที่มันเหมือนที่ผมกำลังมอง คิดดูเถอะว่ามีสายตาสองคู่จ้องมันอยู่มันก็ยังไม่รู้ตัว อย่างน้อยมันก็น่าจะรีบพูดหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้บรรยากาศมันไมอึดอัดอย่างนี้ จะเลือกรักษามารยาทด้วยการวางโทรศัพท์หรือไม่ก็เดินไปคุยไกลๆ ก็ได้ แต่ไอ้เวรนี่ก็ยังเลือกจะยืนอยู่ตรงนี้เหมือนตั้งใจ “ลองเปิดดูกระเป๋าสิว่ามีอะไรข้างในหายไปรึเปล่า” ผมแนะนำออกไปเมื่อไอเดียยังเอาแต่ยืนยิ้ม แต่กลับไม่เดินไปไหนเหมือนจะรออะไรอยู่ ซึ่งพอพูดจบเธอก็รีบทำตามคำแนะนำของผมทันที แต่คงไม่มีอะไรหายหรอกมั้ง ไอ้โจรบ้านั่นยังไม่ทันจะเปิดกระเป๋าเธอด้วยซ้ำ “ยังอยู่ครบเลย ขอบใจมากนะคิม ไม่งั้นฉันต้องไม่มีเงินไปจ่ายค่าหน่วยกิตแน่ๆ” “ไม่เป็นไร คือว่า...” “อะไรนะ!” ผมว่าผมเริ่มเกลียดไอ้ติณแล้วนะ อยากจะยกเท้าถีบมันไปไกลๆ เหลือเกิน อยู่ๆ มันจะพูดเสียงดังขึ้นมาทำไม คนอื่นเขาตกใจกันหมด “ขอโทษนะคิม แต่ว่าฉันคงต้องกลับก่อน ถ้าฉันอยากจะขอเบอร์นายไว้จะได้รึเปล่า” “เอ่อ...” มันจะดีเหรอวะ? ผมแอบถามตัวเองเบาๆ พลางชำเลืองหางตาเหล่มองไอ้ติณนิดหน่อยเพื่อขอความคิดเห็น สลับกับการมองโทรศัพท์มือถือที่ไอเดียส่งมาให้ผมเพื่อให้ผมกดเบอร์ของตัวเอง จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะถามความเห็นของไอ้ติณหรอกนะ แต่อย่างน้อยสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียว แต่ว่าไอ้ติณมันไม่มองผมเลยสักนิดนี่สิ ไอ้เวร! “ถ้านายไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ ฉันแค่ลองถามดู เผื่อว่ามีโอกาสที่ฉันอาจจะได้ตอบแทนนายน่ะ” “ดะ ได้สิ” ผมตอบตะกุกตะกักอีกรอบแล้วรับโทรศัพท์มือถือของไอเดียมากดเบอร์โทรของตัวเองลงไป จากนั้นก็กดโทรออก พอรู้สึกว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น ผมก็กดวางสายแล้วส่งมันคืนให้เธอไปตามมารยาท “แล้วจะโทรไปนะ” “อ่ะ อืม” ผมตอบงงๆ ทั้งที่ยังงงๆ เพราะว่ายังงงๆ นั่นแหละ ไอเดียโบกมือลาผมก่อนจะหันไปส่งยิ้มลาไอ้ติณอีกคนโดยไม่พูดอะไรเพราะไอ้ติณยังคงเอาจริงเอาจังกับการคุยโทรศัพท์ ผมยืนยิ้มให้เธอกระทั่งเธอเดินลับสายตาไปตรงมุมตึก พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นว่าไอ้ติณวางสายโทรศัพท์ข้ามชาติของมันได้สักที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD