EP 02 ตัวซวย

4026 Words
EP 02 ตัวซวย  “หน้าม่อนะมึง” มันด่าผมอีกละ รู้จักกันแค่วันเดียว พูดกันไม่ถึงห้าประโยคไม่มีประโยคไหนที่บ่งบอกว่าคนอย่างมันจะเป็นมิตรที่ดีเลยสักประโยคเดียว “ไม่ได้ม่อ” “แล้วจะเอามั้ย” “เอาอะไร” “ไอเดีย? ใช่มั้ยวะ หรือว่ากูฟังผิด” ไอ้ติณพูดพลางเหล่สายตามองไปทางที่ไอเดียเพิ่งจะเดินกลับออกไป ถามแบบนี้ผมว่ามันนั่นแหละที่หน้าม่อ เพราะผมยังไม่ทันจะคิดอะไรกับเธอเลยด้วยซ้ำไป “เพ้อเจ้อ” “กูรู้นะว่ามึงชอบ” เอ๊ะ ไอ้ห่านี้ท่าจะเป็นเอามาก “เราถึงได้บอกว่านายเพ้อเจ้อไง” ผมบอกฉุนๆ ก่อนจะหันหลังให้ไอ้ติณเพราะไม่อยากคุยกับมันเรื่องไร้สาระ จริงๆ ผมยอมรับนะว่าไอเดียเป็นผู้หญิงสวย ขนาดมองเห็นไกลๆ ความสวยของเธอยังทำให้ผมวิ่งตามไอ้โจรกระจอกนั่นมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลย แต่ก็แค่สวยมั้ยล่ะ ผมไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้นสักหน่อย เมื่อครู่นี้ที่ยอมให้เบอร์เธอไปก็แค่ไม่อยากเสียมารยาท อีกอย่างกลัวเธอจะเสียหน้าด้วย ดีไม่ดีเธออาจจะคิดว่าผมหยิ่งก็ได้ แต่ดูไอ้ห่าติณมันคิด วันๆ ในสมองมันเคยคิดเรื่องดีๆ บ้างไหมก็ไม่รู้ “ไอ้เหี้ยคิม” นั่นไง ชาติที่แล้วมันคงตายคาคู่มือการใช้ภาษาพ่อขุนรามคำแหงสินะ มันถึงได้พูดคำด่าคำตลอดเวลา “อะไรของนายอีกล่ะ” “ตกลงมึงจะไม่จีบไอเดียจริงๆ เหรอ กูว่าผู้หญิงเขาอ่อยมึงแล้วนะ” “เราว่านายคิดมากไปแล้วนะ ไม่ใช่ว่าคนเราขอเบอร์กันแล้วจะต้องชอบกันสักหน่อย” ผมตอบเบื่อๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมต้องมาเสียเวลาอธิบายอะไรอย่างนี้ให้มันฟังทั้งๆ ที่ผมรู้สึกง่วงมาก อยากจะกลับห้องไปนอน (นับเงินเดือน) ใจจะขาด “กูรู้ กูดูออก” “นายจะรู้ได้ยังไงในเมื่อนายเอาแต่คุยแต่โทรศัพท์ นายยังไม่ทันจะได้มองหน้าไอเดียเลยด้วยซ้ำ” “กูบอกว่ากูรู้ก็รู้สิวะ” ไอ้ติณยังคงพยายามเถียงด้วยใบหน้าจริงจัง แถมมันยังยกโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของมันขึ้นมากดหน้าจอโชว์ให้ผมดู อะไรคือกดแล้วหน้าจอไม่เห็นจะมีอะไรขึ้นมาเลย แบบนี้คือมันต้องการจะให้ผมดูอะไร นี่มันจะกวนตีนผมเหรอ “แบตฯ โทรศัพท์กูหมดไปตั้งแต่ชั่วโมงก่อน” แล้วผมก็ได้คำตอบที่กำลังสงสัยพอดี แปลว่าเมื่อกี้นี้มันพูดโทรศัพท์คนเดียวสินะ “ไอ้ประสาท!” “เอ้าไอ้เหี้ยนี่ กูพูดด้วยดีๆ มึงจะมาด่ากูทำไม นี่กูจริงจังนะเว้ย ผู้หญิงเขาอ่อยมึงขนาดนี้แล้ว ถ้ามึงไม่เอานี่มึงโง่มากเลยนะ” “ถ้านายฉลาดนายก็เอาไปเองสิ ไม่ต้องมายัดเยียดให้เรา” “ผู้ดีชะมัด นี่มึงแดกหนังสือสมบัติผู้ดีแทนข้าวเย็นหรือไง” ไอ้ติณยังคงพูดคำด่าคำไม่เปลี่ยน แถมมันยังเดินมาดักหน้าผมและผลักไหล่ผมให้ถอยหลังกลับมายืนที่เดิมเหมือนอยากจะหาเรื่องผมเพราะว่าผมพยายามจะเดินหนีมัน “แล้วนายล่ะ เกิดในสมัยพ่อขุนรามฯเหรอ ถึงได้พูดคำด่าคำ” “ก็มึงกับกูเพื่อนกันไม่ใช่รึไง” “เป็นเพื่อนกันก็ยิ่งต้องเกรงใจสิ ไม่ใช่คำก็เหี้ยสองคำก็สัตว์” “ไอ้สัตว์นี่! ก็กูเป็นของกูแบบนี้ ทำไม หรือถ้ากูจะเป็นเพื่อนมึงนี่คือกูต้องนุ่งโจงกระเบนแล้วคลานเข่าเลยมั้ยไอ้เหี้ย!” ผมล่ะเบื่อจะอธิบายกับมันจริงๆ แต่จะเดินหนี มันก็ยืนขวางเสียเต็มปากซอยเลย นี่ตัวมันจะใหญ่ไปไหน “ไม่ต้อง เราก็แค่ไม่ชอบให้พูดคำด่าคำ” “ครับ” ไอ้ห่านี่จะกวนประสาทผมทำไมวะ...ครับ “ตกลงมึง เชี้ยเอ๊ย ไม่ชินปากว่ะ ตกลงคิมจะเอาไอเดียมั้ย” ผมว่าผมเริ่มรำคาญมันมากกว่าเดิมอีกนะ อีกอย่างคือยิ่งฟังมันพูดเพราะผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนมันกำลังจะทำให้ภาษาไทยวิบัติชอบกล “นายพูดปกติตามสันดานก็แล้วกัน ไม่ต้องดัดจริตหรอก เราจะพยายามฟัง” อืม แล้วผมก็พยายามจะพูดคำด่าคำแบบมันบ้าง กระดากปากนิดหน่อยแต่มันคงเข้าใจนั่นแหละ “เออ กว่าจะปั้นคำได้ นายๆ เราๆ ลิ้นกูจะพันกันตาย” ไม่เคยคิดเลยว่าการพูดจาสุภาพมันจะเป็นเรื่องยากขนาดนั้น แต่ผมว่าผมเข้าใจนะ เพราะถ้าให้ผมพูดคำด่าคำแบบมันผมก็ทำได้ไม่ดีเหมือนมันหรอก “เฮ้อ! มึงไม่เสียดายของบ้างเหรอวะ ดูจากสายตาแล้วกูว่าไอเดียคงประทับใจมึงนะ” ไอ้ติณพูดพลางเอื้อมมือมาตบบ่าผมราวกับว่าเราสนิทสนมกันมานานสามชาติกว่า ทั้งที่ผมเพิ่งจะทำใจยอมรับว่าคงหนีเพื่อนรุ่นท่านขุนอย่างมันไม่พ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ตั้งแต่เห็นความพยายามในการที่จะพูดเพราะของมัน “เราว่าน่าจะเป็นเพราะไอเดียเข้าใจผิดเรื่องกระเป๋ามากกว่า” “ก็คงจริง” “ถามมากขนาดนี้นายชอบไอเดียเหรอ ถ้าชอบไอเดียแล้วเมื่อกี้นายแกล้งไม่สนใจเธอทำไม ทำไมไม่บอกเธอไปว่าจริงๆ แล้วนายเป็นคนแย่งกระเป๋าของเธอคืนจากไอ้โจรนั่น” ผมรีบถามเพราะเริ่มสงสัย แต่ไอ้ติณกลับรีบส่ายหัวปฏิเสธ “กูก็ถามไปตามมารยาท” “ไม่เคยรู้เลยว่านายมีคุณสมบัตินั้น อีกอย่างนายไม่เสียดายของเหรอ” ผมย้อนถามพลางแอบกระแนะกระแหน “กูเลือกมีมารยาทกับบางคน อีกอย่างเรื่องเสียดายของใช้ไม่ได้กับคนอย่างกู เพราะถ้าคนอย่างกูจะเอา รับรองว่ามึงไม่ได้แดกหรอก กูบอกเลย” ไอ้ติณพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจแล้วมองผมด้วยสายตาเย้ยๆ จนผมเริ่มจะหมั่นไส้ อะไรมันจะมั่นหน้าเบอร์นั้น “แล้วนี่มึงจะไปไหน ดึกดื่นแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านไปกินนมนอน” เป็นอันว่าเปลี่ยนประเด็นสนทนาได้สักที เฮ้อ! ผู้ชายอะไรคำถามเยอะชะมัด จุกจิกมากกว่าแม่ผมอีก “แล้วนายล่ะ” ผมย้อนถามเซ็งๆ จริงๆ คือผมตั้งใจจะไม่ตอบคำถามเพราะเกลียดปากมัน ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจด่าว่าผมเป็นเด็กทั้งที่มันเองก็ไม่ได้ดูโตไปกว่าผมเลยสักนิด แค่สูงกว่าผม ยิ่งถ้าวัดกันด้วยเรื่องสติปัญญาผมว่ามันน่าจะด้อยกว่าผมเป็นกอง เพราะคนสติดีที่ไหนเขาจะแกล้งพูดโทรศัพท์คนเดียวล่ะ “กูก็มาหานมกินนี่ไง” ไอ้ติณตอบกลับมาตรงๆ แต่สายตาบ่งบอกว่านมมันกับนมผมน่าจะคนละความหมาย เป็นอันว่าผมจะไม่เถียงกับมันเรื่องต่ำๆ (กว่าใต้สะดือ) อีกก็แล้วกัน เพราะว่าผมคงสู้ความหยาบคายและหยาบกระด้างของมันไม่ได้หรอก ผมถอนหายใจเซ็งๆ เพราะไม่อยากจะใส่ใจอะไรกับไอ้ติณมากนัก ตั้งแต่คุยกับมันมาผมไม่เห็นทีท่าว่ามันจะจริงจังกับเรื่องอะไรที่พูดออกมาสักเรื่องหนึ่งเลย แล้วนี่ทำไมอยู่ๆ ผมถึงได้เดินออกมาจากซอยพร้อมไอ้ติณได้ล่ะเนี่ย มารู้ตัวอีกทีผมกับมันก็เดินย้อนกลับมาจนเกือบจะถึงจุดที่ผมโดนไอ้โจรกระจอกนั่นวิ่งชนเมื่อกี้นี้แล้ว “ตกลงว่าบ้านมึงอยู่ไหน ถ้าไม่ไกลกูไปส่งได้นะ” “ไม่เป็นไร เราเดินกลับเองได้” “เออดี ไม่เปลืองน้ำมันกู” ไอ้ติณพูดพลางไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะเดินกลับไปที่รถของมัน ซึ่งก็คือรถคันที่ผมโดนไอ้โจรนั่นชนจนล้มไปชนเข้านั่นแหละ คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่คนอย่างมันจะขับรถหรูๆ เพราะดูจากรูปร่างหน้าตาและการใช้ชีวิตของมันแล้ว มันก็คงจะเป็นลูกคุณหนูที่ถูกสปอล์ยด้วยเงินมาตั้งแต่เด็ก ผมแยกกับไอ้ติณโดยไม่มีคำบอกลาใดๆ หมุนตัวเดินย้อนกลับมาอีกทางเพราะเมื่อกี้นี้ผมมัวแต่คุยกับไอ้ติณเพลินไปหน่อยก็เลยเดินเลยซอยน่ะ ทางเข้าอพาร์ทเม้นท์ของผมมันอยู่เลยจากร้านไปแค่สองซอย แต่เมื่อกี้นี้วิ่งไล่ไอ้โจรนั่นเลยไปหลายซอยก็เลยต้องเดินย้อนกลับมา ซึ่งก็ย้อนเลยไปอีก สรุปก็คือผมเดินย้อนไปย้อนมาอยู่แค่นี้เอง แค่กกกก! ผมได้ยินเสียงอะไรสักอย่างถูกลากไปกับพื้น เสียงของมันดังมากและดังยาวไปเรื่อยๆ จนผมต้องละสายตาจากโทรศัพท์มือถือที่กำลังเมมเบอร์ไอเดียไว้ขึ้นไปมอง แต่สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ชัดนัก เพราะจุดที่ผมมองออกไปมันค่อนข้างมืด ภาพที่เห็นน่าจะเป็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินสวนไปคนละทางกับผม แต่จากระยะห่างของเราทำให้ผมเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดสักเท่าไร รู้แต่ว่าในมือของผู้ชายคนนั้นมีอะไรสักอย่างที่เขาลากมันไปกับพื้นจนเกิดเสียงดังน่ารำคาญ ผมมองตามแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความแปลกใจ กระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้แสงสว่างของไฟส่องสว่างบริเวณเสาไฟมากขึ้น ซึ่งยิ่งใกล้ ผมก็ยิ่งเห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้น ยิ่งเห็นชัดขึ้นผมก็ยิ่งรู้สึกคุ้นกระทั่งสังเกตเห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังเดินตรงไปที่ไอ้ติณ ที่ยังยืนคุยโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์จพาวเวอร์แบงค์เรียบร้อยแล้วอยู่ข้างตัวรถ ขออนุญาตเกลียดสีพาวเว่อร์แพงค์มัันจะได้มั้ยนะ พาสเทลเชียว ไอ้เวร! ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมมองย้อนกลับมาที่ผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง และภาพใบหน้าของผู้ชายคนนั้นก็ชัดเจนขึ้นเมื่อเขาหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณเสาไฟตรงนั้นพอดี และมันก็คือไอ้โจรกระจอกคนเมื่อกี้นี้ แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าการได้เจอมันอีกครั้ง ก็คือมันกลับมาพร้อมกับไม้หน้าสามท่อนยาวหนึ่งช่วงแขนในมือ “ติณ ระวัง!” แล้วผมก็ตัดสินใจตะโกนเรียกไอ้ติณออกไป ไอ้ติณตวัดสายตาขุ่นๆ มองกลับมามองผม แต่ว่าดวงตาคู่นั้นของมันก็ถึงกับเบิกโพลงขึ้นทันทีเมื่อหันมาเห็นไม้หน้าสามท่อนนั้นก่อนจะได้เห็นหน้าผม เพล้ง! เสียงกระจกรถของไอ้ติณแตกเพราะถูกไม้หน้าสามท่อนนั้นฟาดเข้าให้อย่างจัง โชคดีที่ไอ้ติณหมอบหลบได้ทันเวลาก่อนที่มันจะรีบวิ่งออกมาตั้งหลักห่างจากไอ้โจรนั่นออกมาแค่ไม่กี่ก้าว เมื่อครู่นี้ผมเห็นกับตาว่าไม่ท่อนนั้นหักเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย และเมื่อครั้งแรกพลาด ไอ้โจรนั่นก็ยังไม่ยอมถอดใจเพราะว่ามันเตรียมเงื้อไม้หน้าสาม (ที่หักครึ่งไปแล้ว) ในมือขึ้นกลางอากาศอีกรอบ ดูจากสายตาโกรธแค้นของมันแล้วเหมือนว่ามันจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แต่ว่าครั้งนี้มันไม่ทันจะได้ฟาดลงมา ก็โดนไอ้ติณยกเท้าถีบสวนเข้าไปที่บริเวณกลางลำตัวของมันเต็มๆ เสียก่อน อุ่ก! “กูเตือนแล้วนะว่าอย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก ไอ้โจรกระจอก!” ไอ้ติณตวาดเสียงดังลั่น ก่อนที่มันจะเดินตรงเข้าไปเอาเรื่องไอ้โจรนั่นที่กำลังยืนจุกอยู่อย่างไม่เว้นช่วงให้ไอ้โจรนั่นได้ตั้งหลัก อั่ก! เสียงหนักแน่นของฝีเท้าไอ้ติณดังขึ้นเมื่อมันเตะซ้ำเข้าไปที่กลางลำตัวของไอ้โจรที่เพิ่งจะล้มลงไปนอนคู้ตัวอยู่กับพื้น ทำเอาผมอบรู้สึกสงสาร ไม่สิ ผมไม่ควรจะรู้สึกแบบนั้นกับไอ้โจรไม่มีสมองนั่นหรอก “ลอบกัดหมาๆ แบบนี้ อย่าอยู่ให้รกโลกเลยมึง” อั่ก! “พอแล้วติณ เดี๋ยวมันก็ตายหรอก” ผมรีบเข้าไปห้ามพร้อมกับพยายามจะดึงไอ้ติณออกมา แต่กลับเป็นฝ่ายถูกไอ้ผลักออกมาแทน แถมมันยังหันมามองผมด้วยดวงตาวาวโรจน์ที่ฉายแววความโกรธใส่ผมกลับมาเต็มๆ “มึงอย่ามาห้ามกู” “แต่นายจะฆ่าคนตายไม่ได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไปสิ อยากติดคุกนักรึไง” “มึงก็ไปตามมาสิ!” ไอ้ติณตะคอกบอก แต่วินาทีที่ผมกำลังยืนเถียงกับมันอยู่ หางตาของผมก็เหลือบไปเห็นใบหน้าของใครบางคนแทรกเข้ามา วินาทีนั้นสิ่งเดียวที่ผมคิดออกตอนที่ได้หันไปสบตากับไอ้โจรกระจอกนั่นที่ลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้คือการกระชากไอ้ติณออกมาแล้วกระโดดถีบไอ้โจรนั่นออกไปสุดแรง อุ่ก! ผมไม่ได้ตั้งใจจะกระโดดถีบมันทั้งสองขาคู่หรอกนะ แต่ทำไปแล้ว ว้ากกก พลั่ก! แล้วผมก็ส่งหมัดหลุนๆ ตามออกไปสุดแรงอีกเหมือนกัน เสียงดังแน่นๆ ยืนยันว่าผมชกไม่พลาดเป้าแน่นอน แต่ว่าผมยังไม่ทันจะได้ชื่นชมผลงานของตัวเองก็โดนไอ้ติณกระชากถอยกลับมาซะก่อน “ตีนหนักนะมึง” มันใช่เวลามายืนชมกันหรือไง “เราก็แค่ป้องกันตัว” ผมรีบบอก ผมแค่เคยเรียนวิชาป้องกันตัวมาบ้างก็เลยพอจะรู้เทคนิคการต่อสู้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าผมเก่งหรอก เพราะถ้าไอ้เวรนั่นตั้งหลักได้แล้วกลับมาเอาคืนอีกรอบ ผมเองก็คงสู้ไม่ไหวเหมือนกัน “มึงโทรแจ้งตำรวจไป เดี๋ยวกูจัดการมันเอง” “นายอย่าฆ่ามันนะ” “กูมีแค่มือเปล่า แต่มันถือไม้หน้าสามมาจะฟาดหัวกูนะ มึงเข้าข้างกูบ้างเถอะ” ไอ้ติณทำหน้าเซ็ง ผมได้แต่พยักหน้าเออๆ ออๆ กับมันไปแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะรีบโทรแจ้งตำรวจซึ่งทุกอย่างก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน สมกับที่มีหน้าที่การบริการประชาชน แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ผมก้มหน้าลงเพื่อจะเก็บโทรศัพท์ ผมก็เห็นบางอย่างสะท้อนออกมาจากกระจกรถของไอ้ติณที่จอดอยู่ตรงหน้า “เสือกนักเหรอมึง!” เพล้ง! ตามมาด้วยเสียงกระจกรถของไอ้ติณแตกไปอีกหนึ่งบาน เสียงทุ้มต่ำด้วยแรงอาฆาตดังมาจากทางด้านหลัง แต่ว่าผมยังไม่ทันจะได้หันไปมองเพราะว่าถูกไอ้ติณกระชากออกมาจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่นี้เสียก่อน ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าก่อนหน้านี้ไอ้ติณมันทำอะไรอยู่หรือว่ามันยืนอยู่ตรงไหน แล้วเห็นได้ยังไงว่าไอ้โจรนั่นมันลุกกลับมาเล่นงานผม ผั่ว! “ไอ้ติณ!” ทุกอย่างมันผ่านไปเร็วมากขนาดที่ผมยังไม่ทันแม้แต่จะได้ตั้งสติ เสียงไม้กระทบเนื้อที่ได้ยินทำให้ผมแหกปากตะโกนเรียกไอ้ติณออกไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นกับตาว่ามันโดนฟาดไปแล้ว จังหวะที่ผมหันมาเห็นคือจังหวะที่ไอ้ติณยกมือขึ้นมารับไม้หน้าสามท่อนนั้นเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเองเพราะไอ้โจรชั่วนั่นที่ตั้งใจจะฟาดหัวมันเหมือนอยากจะฆ่าให้ตาย (เลื่อนขั้นจากโจรกระจอกเป็นโจรชั่วไปอย่างรวดเร็ว) พลั่ก! แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมตัดสินใจกระโดดจนตัวลอยเพื่อถีบไอ้โจรชั่วนั่นให้ออกห่างจากไอ้ติณ ก่อนจะรีบหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าแล้วฉีดใส่หน้ามันในระยะประชิด “โอ๊ยยยย!” มันร้องลั่นเมื่อถูกผมฉีดสเปรย์พริกไทยอัดสองลูกตามันเต็มๆ “นอนรอตำรวจตรงนี้ก็แล้วกันนะไอ้สารเลว!” ย้ำเสียงเข้มกับไอ้โจรก่อนจะต้องรีบยกมือข้างหนึ่งอยู่บีบจมูกเอาไว้แน่นๆ เพราะกลิ่นของสเปรย์พริกไทยที่ฉีดพ่นออกไปจนหมดขวดเริ่มทำให้รู้สึกแสบจมูก ตั้งแต่ที่บริเวณร้านมีข่าวจี้ปล้นบ่อยๆ ผมก็เลยต้องหาซื้อมาพกเอาไว้ แต่ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะได้มีโอกาสใช้มันจริงๆ เคร้ง! ทิ้งท้ายด้วยการปาขวดสเปรย์พริกไทยที่เหลือแค่ขวดใส่หัวไอ้โจรกระจอกนั่นไปสุดแรงแล้วรีบถอยออกมา ตอนนี้มันก็ทำได้แต่นอนดิ้นทุรนทุรายเพราะอาการแสบร้อนดวงตานั่นแหละ และอีกไม่นานตำรวจคงมาถึงเพราะผมได้ยินเสียงไซเรนรถแล้ว “ไหวมั้ยไอ้ติณ” ผมรีบถามเมื่อหันมาเห็นไอ้ติณยืนหน้าบูดหน้าเบี้ยวเพราะโดนฟาดแขนไปหนึ่งดอก “รีบไปเหอะ กูไม่อยากสนิทกับตำรวจ” ไอ้ติณรีบบอก ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก ท่าทางนักเลงอย่างมันคงไม่ค่อยอยากเห็นตำรวจเท่าไหร่จริงๆ ขนาดผมที่ไม่เคยทำอะไรผิด เวลาเจอตำรวจยังเกร็งเลย เอาไว้ถ้าตำรวจมาถามอะไรผมจะช่วยตอบให้ก็แล้วกัน เพราะยังไงเสียพรุ่งนี้ผมก็ต้องมาทำงานที่ร้านอยู่ดี ผมไม่รอช้ารีบช่วยประคองไอ้ติณที่ยืนหน้าบูดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดตรงมาที่รถ กระชากประตูรถด้านหลังให้เปิดออกก่อนจะจับมันยัดเข้าไปแล้วปิดประตูลงทันที ท่าทางแขนมันจะเจ็บ ไม่น่าจะขับรถไหว ผมก็เลยต้องอาสามานั่งประจำที่คนขับรถให้มันแทน “กุญแจรถนายล่ะติณ” “ตกอยู่ใต้เบาะตอนมึงแหกปากเรียกกูไงล่ะ” ไอ้ติณรีบบอก ผมก็เลยรีบก้มมองหากุญแจรถที่ใต้เบาะ ซึ่งหาไม่ยากเลยจริงๆ เพราะกุญแจรถมัน...เอ่อ...คือแบบว่า ใครจะไปคิดว่าหน้าหล่อๆ ลุคดูแบดๆ โหดๆ อย่างมันจะคล้องกุญแจรถด้วยพวงกุญแจรูปคิตตี้สีชมพู “นายชอบคิตตี้เหรอ” “หนักหัวมึงเหรอไอ้สัส” แขนจะหักแหล่มิหักแหล่แล้วมันยังจะปากดีอีก มันน่าปล่อยให้โดนฟาดหัวตายอยู่ตรงนี้จริงๆ ผมรีบสตาร์ตรถแล้วขับออกมาทันที อย่างน้อยตอนที่มองกระจกหลังผมก็ยังเห็นว่าญาติไอ้ติณนอนทุรนทุรายอยู่บนพื้นถนนเพราะโดนผมฉีดสเปรย์พริกไทยใส่ตาไปเต็มๆ และรถตำรวจก็กำลังขับเข้าซอยมา “กูไม่ไปโรงพยาบาลนะ” แล้วอยู่ๆ ไอ้ติณก็ตะโกนสั่งราวกับว่าผมเป็นคนขับรถของมัน “แต่แขนนายอาจจะหักก็ได้นะ” “ไม่หักหรอก ไม้ห่านั่นมันไม่แข็งเท่าไหร่ ปลวกแดกก็ค่อนท่อนแล้ว ถ้าแขนกูหักจริงหักกุคงไม่ด่ามึงได้แบบนี้หรอกไอ้ควาย” ไอ้ติณยืนยันทั้งที่สีหน้ามันดูเจ็บปวดมาก แต่ก็คงจะจริงอย่างมันว่านะ ถ้าอาการมันหนักจริงๆ มันคงจะเจ็บปวดกว่านี้ แต่นี่ก็ยังปากดีพูดคำด่าคำได้อยู่ “แต่อย่างน้อยนายก็น่าจะไปให้หมอเอกซเรย์ดูก่อน” “กูบอกไม่ไปไง เดี๋ยวมึงไปส่งกูที่คอนโดฯ 99 ก็พอ” ไอ้ติณเริ่มชักสีหน้าเพราะอารมณ์เสีย พอพูดจบมันก็ล้มตัวลงนอนเหยียดขายาวๆ ของมันไปกับเบาะด้านหลังของรถที่มีเศษกระจกกระจายเกลื่อนประกอบพร็อพให้มัน ตามมาด้วยเสียงสูดปากของมันเป็นระยะๆ ผมว่าความหงุดหงิดของมันน่าจะสะสมมาจากอาการปวดที่แขนนั่นแหละ แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะในเมื่อมันไม่ไป แต่ปากดีขนาดนี้ผมว่ามันก็คงไม่ตายง่ายๆ หรอก เอาเป็นว่าผมรีบไปส่งมันไปที่ชอบๆ ก็แล้วกัน ผมขับรถมาส่งไอ้ติณที่คอนโดฯ 99 ตามที่มันบอก ไม่ได้ถามเส้นทางมันหรอกเพราะมันหลับ (ตา) และคอนโดฯที่ว่ามันก็ไม่ได้หายากหาเย็นอะไร อีกอย่างมันก็ไม่ได้อยู่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ของผมมากนัก (ถ้าเดินทางโดยใช้รถยนต์) “ถึงแล้ว” ผมหันไปปลุก ซึ่งไอติณเองก็ไม่ได้หลับจริงๆ อย่างที่ผมคิดเอาไว้ นี่ถ้าเจอเหตุการณ์สดๆ มาแบบเมื่อกี้นี้แล้วมันยังมีอารมณ์ข่มตาหลับตาลงได้ ผมคงต้องยอมยกมือไหว้ “นายจะไม่ไปหาหมอแน่นะ” “ไม่ล่ะ กูขี้เกียจตอบคำถามพยาบาล ขอบใจที่มึงมาส่ง” ไอ้ติณพูดพลางเปิดประตูรถแล้วเดินโซซัดเซลงจากรถไป ซึ่งผมก็ต้องรีบวิ่งตามมันลงมาพร้อมกับส่งกุญแจรถคิตตี้คืนให้มัน “นี่กุญแจรถนาย” “มึงก็ขับกลับไปดิ ไม่งั้นมึงจะกลับยังไง” “เดี๋ยวเรากลับแท็กซี่เองดีกว่า” ผมรีบบอก “ขับไปเหอะ รถกูไม่มีประวัติ ไม่ต้องกลัวใครขับตามรถกูไปฆ่ามึงผิดตัวหรอก” ฟังมันพูดสิ “เราไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย แต่เราไม่อยากเอาของของคนอื่นไปใช้” “กูไม่ได้ให้มึงเอาไปเลย แค่ให้มึงยืม แล้วพรุ่งนี้มารับกูด้วยนะ ถ้าสายกูจะฟ้องอาจารย์ว่าเป็นเพราะมึง” ไอ้ติณพูดพลางเดินหนีผมไปที่ลิฟต์ของคอนโดฯ ผมแปลกใจนะที่อยู่ๆ มันก็ให้ผมยืมรถง่ายๆ ปกติแล้วรถนี่ถือเป็นของใช้ส่วนตัวที่มันควรจะหวงแหน เพราะถ้าผมเป็นฝ่ายเอารถมันไปชนคนตายขึ้นมาจะทำยังไง อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้อยากจะยืมมันด้วยเพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมาระหว่างที่อยู่ในมือผมๆ คงไม่มีปัญญารับผิดชอบหรอก “นายจะไม่ไปหาหมอแน่นะติณ” “เออ แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก กูโดนบ่อยกว่านี้ มึงรีบๆ กลับเหอะ กูจะไปแดกยาแก้ปวด แล้วก็ดูดีๆ ก่อนลงจากรถนะมึง ระวังมันจะดักรอฟาดหัวมึง” ไอ้ติณอวยพรกวนประสาท ก่อนที่มันจะเดินเข้าไปในลิฟต์โดยไม่ได้สนใจท่าทีอึกอักของผมเลยสักนิด ตอนนี้มันคงไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรนอกจากอาการเจ็บปวดของตัวเองหรอก และผมเองก็ไม่ได้อยากจะเซ้าซี้มันด้วยก็เลยปล่อยให้มันรีบขึ้นไปกินยาแก้ปวดตามที่มันบอก แต่ว่าถ้าจะให้ผมขับรถมันกลับไปจริงๆ ผมว่าผมนั่งแท็กซี่กลับน่าจะสบายใจกว่า ผมหยิบพวงกุญแจรถรูปคิตตี้ของไอ้ติณขึ้นมามองเพื่อชั่งใจอีกครั้ง กำลังมองมันอย่างพินิจพิจารณาว่าจะเอายังไงดี ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะนั่งแท็กซี่หรอกเพราะมันแพง แต่จะให้ขับรถไอ้ติณกลับจริงๆ ผมก็ไม่กล้า เดี๋ยวนะ ทำไมมองไปมองมาผมว่าหน้าตาคิตตี้นี่เหมือนหน้าไอ้ติณ เอ่อ...หน้ามึนน่ะ “ครั้งแรกโดนไล่ออกจากห้อง ครั้งนี้เกือบโดนไม้หน้าสามฟาดกบาล แถมยังต้องเสียเงินค่าแท็กซี่โดยใช่เหตุ นายนี่มันตัวซวยชัดๆ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD