Intro
ห้าปีก่อน
“ไม่ต้องทอนนะคะ”
หลังจากส่งแบงก์ร้อยจ่ายเป็นค่าแท็กซี่เสร็จเรียบร้อย ฉันก็รีบวิ่งตรงเข้าไปในโรงพยาบาลทันที โดยปกติแล้วฉันไม่นั่งแท็กซี่หรอกนะ มันแพง แต่วันนี้มีเรื่องด่วนก็เลยจำเป็นต้องใช้บริการจริงๆ
เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ฉันได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาล แจ้งว่าแม่ของฉันถูกรถชน ตอนนี้กำลังทำการรักษาอยู่ในห้องฉุกเฉิน ให้ฉันรีบมาด่วน
ความร้อนใจทำให้ฉันทิ้งทุกอย่างแล้วรีบมาที่นี่ แต่การจราจรบนท้องถนนก็ทำให้ฉันเสียเวลานั่งกระสับกระส่ายอยู่บนแท็กซี่ร่วมครึ่งชั่วโมง
“ขอโทษนะคะ คนไข้ที่เพิ่งถูกรถชนมาตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ อาการเป็นยังไงบ้าง” ฉันถามพยาบาลด้วยความร้อนใจ
“ใช่คุณผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ รึเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ แม่อายุสี่สิบเอ็ด ชื่อนางอมรศรี” ฉันแจ้ง พี่เจ้าหน้าที่ส่งยิ้มให้ฉันก่อนจะรีบก้มหน้าเช็กข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ให้ ไม่นานเธอก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองฉันด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้อาการปลอดภัยแล้วนะคะ พักฟื้นอยู่ที่ห้องวีไอพี 308 ค่ะ”
“คะ?” ฉันถึงกับร้องเสียงสูง ไม่ได้แปลกใจที่แม่อาการปลอดภัยหรอกนะ ออกจะโล่งใจและดีใจด้วยซ้ำ แต่ที่สงสัยและคิดว่าน่าจะมีการเข้าใจผิดแน่ๆ ก็คือ...แม่ฉันเนี่ยนะพักฟื้นอยู่ที่ห้องวีไอพี
“ห้องพักวีไอพี 308 ค่ะ รอตรงนี้สักครู่นะคะ เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่พาขึ้นไปค่ะ”
มีเจ้าหน้าที่พาขึ้นไปซะด้วย! โอ้โห นี่โรงพยาบาลหรือโรงแรม
จริงๆ ฉันเองก็แปลกใจตั้งแต่ตอนที่ได้ยินพยาบาลโทรไปแจ้งว่าแม่ของฉันมารักษาตัวที่โรงพยาบาลนี้แล้วล่ะนะ เพราะรู้ว่ามันเป็นโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งอยู่แถวๆ บ้านฉันพอดี ดังนั้นฉันจึงรู้ดีว่าค่ารักษาต้องแพงระยับแน่ๆ แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่า ในเวลาแบบนั้นเป็นใครก็คงต้องเลือกโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเป็นเรื่องธรรมดา
แต่! การที่แม่พักอยู่ห้องวีไอพี ฉันว่ามันต้องไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดามากๆ เลยด้วย
ไม่ได้การแล้วล่ะ ฉันว่ามันต้องมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะนอกจากแม่ฉันจะไม่เคยทำประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุใดๆ แล้ว แม้แต่ประกันสังคมแม่ก็ยังไม่มีเลย หลักประกันสุขภาพของแม่มีแค่บัตรทองเท่านั้นเอง
แล้วนี่ฉันจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาแม่!
“เอ่อ ขอโทษนะคะพี่”
ความกังวลที่กำลังก่อตัวขึ้นในอกทำให้ฉันตัดสินใจหันกลับไปขอคำปรึกษาจากพี่ประชาสัมพันธ์ด้านหลังเคาน์เตอร์อีกรอบ
“มีอะไรให้ดิฉันช่วยแจ้งมาได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“คือดิฉันอยากสอบถามว่าอาการของแม่ปลอดภัยแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่มั้ยคะ”
“ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ”
ทำไมคำยืนยันจากริมฝีปากสีชมพูนู้ดอิ่มๆ ของพี่ประชาสัมพันธ์ ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจเลยสักนิดนะ
“ถ้างั้น ดิฉันขอพาแม่กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านเลยได้มั้ยคะ” ฉันกระซิบถามเบาๆ
“เรื่องนั้นรบกวนญาติสอบถามกับคุณหมอเจ้าของไข้ได้เลยค่ะ แต่ทางที่ดี แนะนำให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลสักสองสามวันนะคะ ตอนนี้อาจจะไม่เป็นอะไรมาก แต่พรุ่งนี้อาจมีอาการระบม ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดหัว อยู่ใกล้ๆ คุณหมอไว้ก่อนจะดีที่สุดค่ะ”
คำแนะนำของพี่ประชาสัมพันธ์ทำให้ฉันได้แต่ยิ้มเจื่อน ขืนต้องนอนโรงพยาบาลสองสามวันฉันคงต้องขูดเลือดขูดเนื้อตัวเองมาจ่ายค่ารักษาแน่ๆ
“เอ่อ พี่คะ”
เอาน่า ขอถามอีกรอบ
“คะ”
“ค่าห้องพักวีไอพีนี่คืนละเท่าไหร่คะ”
“ห้องพักวีไอพีของที่นี่แบ่งเป็นสามชั้นค่ะ คุณแม่ของคุณพักชั้นบนสุด ค่าห้องอยู่ที่คืนละสี่หมื่นหกพันบาทค่ะ”
สี่หมื่นหก!!!
ฉันฝืนยิ้มทั้งที่ในใจกำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าหน้าที่มารับแล้วค่ะ เชิญเดินตามเจ้าหน้าที่ไปได้เลยนะคะ” พี่ประชาสัมพันธ์คนสวยยังคงพูดกับฉันด้วยใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้ม แต่มันไม่ได้บรรเทาอาการช็อกของฉันหลังจากที่บวกลบคูณหารค่าห้องพักฟื้นของแม่เป็นเวลาสามวันเลยสักนิด
โธ่โว้ย ทำยังไงดีวะเนี่ย!
ฉันก้มหัวให้พี่ประชาสัมพันธ์คนนั้นแล้วก้มหน้าก้มตาเดินตามเจ้าหน้าที่ผู้ชายมาเรื่อยๆ นี่ถ้าฉันบอกว่าฉันกำลังคิดจะพาแม่หนีออกจากโรงพยาบาลมันจะแปลกมั้ย บอกตรงๆ นะว่าไม่มีเงินจ่ายแน่ๆ ค่าห้องพักอย่างเดียว ไม่รวมค่าหมอค่ายาก็ปาเข้าไปแสนกว่าบาทแล้ว
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”
คำขอโทษหลุดออกจากปากของฉันทันทีที่เดินชนกับผู้ชายตัวสูงๆ ซึ่งเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับฉัน เขาเองก็คงกำลังจะขึ้นไปชั้นบนเหมือนกัน
ฉันเบี่ยงตัวหลบออกมายืนด้านหลังของเขา โดยมีเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลที่เดินนำฉันมาเมื่อครู่รับหน้าที่กดลิฟต์ให้
การเคลื่อนตัวของลิฟต์ทำให้ฉันรู้สึกวูบโหวงในท้องแปลกๆ แต่ก็พยายามจะตั้งสติ พยายามจะคิดในแง่ดีว่าตอนนี้ขอแค่แม่ปลอดภัย เรื่องอื่นค่อยเอาไว้ว่ากันทีหลัง แต่ทันทีที่สัญญาณลิฟต์ดังขึ้น บอกว่าเรามาถึงชั้นที่หมายแล้ว หัวใจของฉันก็ยิ่งเต้นรัว
ฉันเดินตามเจ้าหน้าที่คนนั้นออกมาเงียบๆ พร้อมกับความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในอก ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสามครั้งเป็นสัญญาณการขออนุญาตเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเปิดประตูให้ฉัน...และใครอีกคนที่ฉันไม่รู้จักเดินเข้าไปด้านใน
เขาคือผู้ชายคนนั้นที่อยู่ในลิฟต์กับฉัน ตลอดทางที่เดินกันมาฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเองก็เดินมาทางเดียวกันด้วยเพราะมัวแต่คำนวณตัวเลขค่าใช้จ่าย ว่าแต่...เขาเป็นใครกัน
เอ๊ะ! หรือฉันจะมาผิดห้อง
ฉันถึงกับต้องรีบถอยหลังกลับออกมาดูป้ายเลขที่ห้องให้แน่ใจ แต่ก็ไม่ผิดนี่นา ‘VIP 308’
“เชิญครับคุณผู้หญิง”
เสียงของเจ้าหน้าที่ชายดึงฉันออกจากห้วงภวังค์จนต้องรีบก้าวเท้ากลับเข้ามาภายในห้อง หลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกปิดลง ตอนนี้จะหันกลับไปถามอะไรก็ไม่ทันแล้ว
“มาแล้วเหรอโท เข้ามาสิลูก”
โท? นั่นไม่ใช่ชื่อฉันแน่ๆ แถมคนเรียกยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก ชีวิตฉันตอนนี้มีแค่แม่คนเดียว และแน่นอนว่าแม่ฉันเป็นผู้หญิง
ทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมองภาพเบื้องหน้า สองตาของฉันก็ต้องเบิกโพลงด้วยความตกใจ ต้องผิดแน่ๆ ฉันเข้าห้องผิดแน่ๆ
“เดี๋ยวก่อนสิหนู” ชายวัยกลางคนอายุสักประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปีคนนั้นร้องเรียกฉันเอาไว้เมื่อฉันหมุนตัวเตรียมจะเดินกลับออกมา ฉันจึงจำเป็นต้องชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง
ฉันไม่รู้จักพวกเขาหรอก ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายที่เรียกฉันเอาไว้ ซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ด้านข้างเตียง เขาใส่สูทผูกเนกไท เรียกได้ว่าทั้งหน้าตาท่าทางและการแต่งกายของเขาดูภูมิฐานและมีฐานะ
ด้านหลังของผู้ชายวัยกลางคนคนนั้น มีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ใกล้ๆ เขาอยู่ในชุดนักศึกษา เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาเหมือนเพิ่งซื้อมาใหม่ ชายเสื้อถูกทับเอาไว้ในกางเกงสแล็กสีดำที่ดูผ่านการรีดมาเป็นอย่างดี สวมรองเท้าคัทชูหนังที่ราคาของมันอาจแพงกว่าเสื้อผ้านักเรียนของฉันทั้งชุดก็ได้ และเท่าที่ดูจากโครงหน้าที่หล่อคมคายละม้ายคล้ายกันของทั้งคู่แล้วฉันเดาว่าพวกเขาคงจะเป็นพ่อลูกกันไม่ผิดแน่
ส่วนผู้ชายอีกคนที่เพิ่งจะเดินนำฉันเข้ามาเมื่อครู่ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีชมพูพาสเทลกับกางเกงยีนสีซีดขาดๆ เซอร์ๆ และรองเท้าผ้าใบยี่ห้อแพงที่ฉันเคยได้ยินชื่อ โดยรวมดูเหมือนไม่มีอะไรสะดุดตาแต่ฉันกลับรู้สึกว่าเขาดูดีทั้งที่ใส่แค่เสื้อยืดธรรมดาๆ
เมื่อครู่นี้ฉันได้ยินเขาถูกเรียกว่า ‘โท’ และน่าจะเป็นลูกชายอีกคนของคุณลุงคนนั้น ที่จนป่านนี้แล้วพวกเขาทุกคนก็ยังเอาแต่มองฉันไม่เลิก
“ขอโทษค่ะ หนูแค่เข้าห้องผิด” ฉันรีบแก้ตัวออกไปเมื่อรู้สึกประหม่าเพราะถูกจ้องด้วยสายตาถึงสามคู่ ซึ่งเท่าที่ฉันสามารถสัมผัสได้มีเพียงแววตาของผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่ดูใจดี นอกนั้นมองเหมือนกลัวว่าฉันจะเข้ามาฉีดยาพิษให้ญาติของเขาที่คงนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย
“ถ้าหนูชื่อหวาน เป็นลูกสาวของอมรศรีที่นอนอยู่บนเตียงนี่ ก็ไม่ผิดห้องหรอก”
อ้าว! ที่นอนอยู่บนเตียงนั่นแม่ฉันหรอกเหรอ
“แม่!” ฉันร้องเรียกแม่ทันทีที่ชะโงกหน้าเข้าไปแล้วเห็นว่าเป็นแม่ของฉันที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยจริงๆ
ฉันรีบเดินเข้าไปหาแม่แล้วดูอาการของแม่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วง แต่สิ่งแรกที่รู้สึกได้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้แม่ก็คือ...กลิ่นเหล้า และก็เพราะรู้แบบนี้ไงฉันถึงได้กังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลโดยไม่ต้องถามหาคู่กรณี เดาได้ตั้งแต่แรกที่รู้ว่าแม่โดนรถชนแล้วว่าแม่ต้องเมาแล้วก่อเรื่องอีกแน่ๆ เพราะนี่...ไม่ใช่ครั้งแรก
“อีกแล้วนะแม่” ฉันก้มหน้าเอ็ดแม่เบาๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เท่าที่ดูจากอาการภายนอก แม่ก็ไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงแล้วจริงๆ ไม่ได้ใส่เฝือก ไม่มีผ้าก๊อซพันที่หัว มีแค่รอยแผลถลอกที่แขนกับปลาสเตอร์ยาแปะอยู่ที่หน้าผาก อย่างน้อยตอนนี้อาการของแม่ก็น่าจะปลอดภัยแล้วจริงๆ
“ยกมือไหว้คุณอรรณพซะสิลูก” แม่บอกด้วยเสียงแหบแห้งพลางส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ ซึ่งฉันรู้ดีว่ามันเป็นรอยยิ้มของคนที่กำลังต้องการจะกลบเกลื่อนความผิด อีกอย่างสรรพนามที่เรียกฉันว่า ‘ลูก’ แถมยังพูดด้วยท่าทีอ่อนโยนแบบนั้นก็แปลกไปจากเดิมจนฉันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เพราะปกติแม่เรียกฉันว่า ‘แก’ เสมอ
ถึงจะยังสงสัยว่าเขาหรือคุณอรรณพที่แม่เพิ่งแนะนำให้รู้จักเป็นใคร แต่ฉันก็ทำตามที่แม่บอกอย่างว่าง่าย
“หนูต้องขอโทษแทนแม่ด้วยนะคะ ไม่ทราบว่ามีอะไรเสียหายมากรึเปล่า หนูยินดีรับผิดชอบค่ะ” ฉันบอกออกไปทั้งที่เงินในกระเป๋ามีอยู่แค่สองร้อยกว่าบาท
แต่จะให้ทำยังไงล่ะ ขืนโวยวายหรือหัวหมอเป็นฝ่ายจะเรียกร้องค่าเสียหายฉันก็มีแต่แพ้ หลักฐานเป็นกลิ่นเหล้าบนตัวแม่คลุ้งซะขนาดนี้จะเอาอะไรไปเรียกร้องเขา ไม่ต้องมีกล้องวงจรปิดหรือกล้องหน้ารถก็รู้ว่าแม่เมาแล้วเดินอยู่ข้างถนนแน่นอน และถนนมันไม่ใช่ที่สำหรับเอาไว้ให้คนเดิน เมื่อไหร่แม่จะจำบ้าง!
แม่ของฉันติดเหล้าน่ะ ทุกอย่างเริ่มตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนที่พ่อทิ้งพวกเราไป แรกๆ แม่ก็ดื่มย้อมใจเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด แต่หลังๆ ก็เริ่มหนักขึ้นๆ จนตอนนี้เริ่มคุมไม่อยู่ ฉันและเพื่อนบ้านต่างก็เอือมระอากันหมด เพื่อนบ้านจะไม่มีใครคบอยู่แล้ว เพราะเวลาเมานั้นแม่ชอบอาละวาดเสียงดังทุกที
“ไม่เป็นไรหรอกหนูหวาน ลูกชายลุงเองก็ไม่ทันมอง”
ฉันเดาไม่ผิดจริงๆ ว่าแต่คนไหนนะที่เป็นคนขับรถคันนั้น
“แม่เธอเมาแล้วเดินออกมาตัดหน้ารถฉัน” ผู้ชายที่อยู่ในยูนิฟอร์มนักศึกษาดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าพูดขึ้นมาเสียงเรียบ นั่นแปลว่าเขาเป็นคนขับ สีหน้าของเขาดูไม่พอใจนักกับเรื่องที่เกิดขึ้น แหงล่ะ เป็นฉัน...ฉันก็คงไม่พอใจเหมือนกัน
“ขอโทษอีกทีค่ะ” ฉันบอกพร้อมกับรีบยกมือไหว้
“ดูแลหน่อยก็ดี”
“ไม่เอาน่าตาเอก ทั้งรถทั้งคนไม่ได้มีใครเป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปรามเมื่อลูกชายของเขากำลังตำหนิฉันเสียงดัง แต่ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากก้มหน้ายอมรับคำตำหนิพวกนั้นโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ฉันลอบมองเสี้ยวหน้าของผู้ชายที่ชื่อเอกนิดหน่อย อย่างที่บอกว่าเขามีใบหน้าละม้ายคล้ายกับพ่อของเขามากกว่าโท เรียกได้ว่าหล่อเหลาคมคายได้พ่อมาเต็มๆ ในขณะที่โทจะมีโครงหน้าและสายตาที่ดูหวานกว่า นี่ถ้าเขายิ้มสักนิดคงจะหล่อขึ้นอีกเป็นกอง
“ที่ฉันกำลังรอหนูอยู่ก็เพราะอยากจะพูดเรื่องของอมรศรี แม่ของหนูน่ะ หนูรู้ใช่มั้ยว่าแม่ของหนูติดเหล้า”
“ทราบค่ะ” ฉันบอกตรงๆ เพราะฉันรู้จริงๆ และรู้มานานแล้ว แต่ที่ไม่รู้ก็คือต้องทำยังไงเท่านั้นเอง
“ต้องได้รับการบำบัดรักษา”
“แม่ไม่ยอมไปค่ะ หนูพยายามแล้ว เคยพาไปแล้วสองครั้งแต่แม่ก็หนีออกมา” ฉันบอกยิ้มๆ อย่างรู้สึกขอบคุณในความหวังดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนพูดเรื่องนี้กับฉัน
“แต่ครั้งนี้แม่ของหนูยอมไป”
“คะ?” ฉันถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“แม่จะไปรักษาตัว แม่จะไปจริงๆ” แม่บอกเสียงสั่นพร้อมกับเขย่ามือของฉันรัวๆ
“แม่พูดจริงเหรอ ทำไมล่ะ หรือว่าพวกเขาขู่อะไรแม่ โอ๊ย แม่!”
แม่หยิกแขนฉันจนฉันต้องกระโดดถอยออกมา ก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้อยู่กับแม่แค่สองคน และพวกเขาคงได้ยินเรื่องที่ฉันเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่กันหมดแล้ว
“ฉันไม่ได้ขู่อะไรแม่ของหนูหรอก ไม่ต้องกลัว แต่เราแค่ทำข้อตกลงกันนิดหน่อยน่ะ”
“ข้อตกลงอะไรคะ”
“ฉันกับแม่ของหนูตกลงกันว่า ฉันจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ รวมถึงยินดีที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่หนูทั้งหมดให้ แลกกับการที่แม่ของหนูต้องไปเข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้า”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยบอก ถึงมันจะฟังดูดีแต่ฉันกลับไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ไม่สิ ไม่เชื่อเลยดีกว่า
“ทำไมคะ ทำไมคุณต้องช่วยแม่ในเมื่อแม่ของหนูทำให้พวกคุณเดือดร้อน”
“เหอะ”
เสียงแค่นหัวเราะของโททำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าเขาอย่างรู้สึกไม่ชอบใจนัก เพราะมันเหมือนสัญญาณของการดูถูกเย้ยหยัน
“เพราะว่าฉันอยากช่วย เห็นแก่ที่พ่อของหนูเคยทำงานให้ฉัน”
พ่อเหรอ?
“พ่อเขาเคยทำงานเป็นคนขับรถของคุณอรรณพน่ะลูก ตอนนั้นหนูยังเด็ก คงจำไม่ได้” แม่อธิบาย ซึ่งฉันก็จำไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
“จำฉันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ยังไงซะฉันเองก็ยังหวังดีกับครอบครัวหนูเสมอนะ และเสียใจด้วยเรื่องที่พ่อกับแม่ของหนูต้องแยกทางกัน”
คุณลุงคนนั้นบอกอย่างใจดีและยังยืนยันที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ น้ำเสียงของเขาดูอบอุ่นและสายตาที่มองมาก็ดูเหมือนจะเอ็นดูฉันอย่างที่พูด แต่ถึงจะรู้สึกซาบซึ้งมากแค่ไหน ฉันก็ไม่กล้าพอที่จะรับความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่ดีนั่นแหละ
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูขอบคุณมาก แต่หนูกับแม่...”
“ไม่ได้ๆ แม่ต้องไป”
คำยืนยันของแม่ทำให้ฉันต้องหันหน้ากลับไปมองแม่ทั้งที่ขมวดคิ้วแน่น แม่รีบเอื้อมมือมาดึงฉันให้กลับเข้าไปยืนใกล้ๆ อีกครั้งก่อนจะตบมือสากๆ ของตัวเองลงบนหลังมือของฉันเบาๆ
“แม่ตั้งใจแล้วว่าจะรักษาตัวเอง ส่วนลูก...”
“หนูต้องไปอยู่กับลุง”
“วะ...ว่าไงนะคะ”
หัวใจของฉันกระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินสิ่งที่คุณลุงคนนั้นพูด เราเพิ่งจะได้ทำความรู้จักกันไม่ถึงยี่สิบนาทีด้วยซ้ำ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแวบแรกที่ได้ยินมันทำให้ฉันมองเขาเป็นไอ้แก่ตัณหากลับ ภาพความใจดีและอ่อนโยนเมื่อครู่ของเขาในสายตาของฉันมลายหายวับไปในทันที
“หนูต้องย้ายไปอยู่กับลุง เพื่อเป็นหลักประกันว่าลุงจะไม่เสียเงินฟรีและความตั้งใจดีของลุงจะต้องไม่สูญเปล่า”
“แต่หนูไม่ได้อยากได้เงินของคุณ”
“แต่แม่อยากได้”
“แม่!!!”
“ลุงตกลงกับแม่ของหนูทั้งหมดแล้ว และนอกจากแม่ของหนูจะได้เข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้าแล้ว ลุงยังจะเป็นคนรับผิดชอบส่งหนูเรียนต่อเอง”
“แต่ว่า...”
“ไปเถอะน่า ลูกจะได้เรียนสูงๆ แบบที่เคยบอกแม่เอาไว้ไงล่ะ”
“แม่!” บ้าจริง นี่แม่ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงกัน
“เดี๋ยวลุงจะให้ลูกชายคนเล็กของลุงพาหนูกลับไปเก็บของที่บ้าน แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับไปคุยกันต่อที่บ้านก็แล้วกันนะหนูหวาน”
เดี๋ยวๆ ใครจะบ้าจี้ทำตามง่ายๆ กันล่ะ
“แม่คะ แม่ แม่ต้องไม่ทำแบบนี้กับหนูสิ”
“ไปเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่”
แม่เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า มะ...แม่สิ แม่ต่างหาก เป็นแม่นั่นแหละที่ต้องห่วงหนู!!!
ฉันยืนงงเป็นไก่ตาแตก มือไม้ชาดิกจนแทบกระดิกไม่ได้ ทำได้เพียงหันซ้ายหันขวาอย่างพยายามหาทางออก กะพริบตาปริบๆ อยู่หลายครั้งเหมือนอยากให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน แต่ภาพตรงหน้ากลับยังชัดเจนและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อกี้นี้เลยสักอย่างเดียว
“หวานไม่ไปนะแม่”
“แล้วแกจะให้ฉันติดคุกรึไง” แม่แผดเสียงถามฉันเสียงดังลั่นห้อง
นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของแม่ฉัน แม่อย่างงั้นแม่อย่างงี้ ลูกอย่างนั้นลูกอย่างนี้ มันแค่ภาพลวงตา เผลอๆ ถ้าเมาหนักมากๆ ก็ขึ้นมึงขึ้นกูกับฉันเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ติดหรอกน่า โอ๊ย แม่ ตีทำไมเนี่ย เจ็บ!”
“อย่าเสียมารยาท” แม่กัดฟันพูดกับฉัน ขึงตาใส่จนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
“ยัยหวานตกลงค่ะ”
แล้วแม่ก็หันไปตอบตกลงแทนฉันเสร็จสรรพในขณะที่ฉันได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ
“หวานบอกว่าหวานไม่ไปไงแม่”
“เขาจะเอาแกไปเป็นลูก แกจะได้เรียนสูงๆ จะได้มีเงินมีทองใช้ ทำไมแกถึงไม่ไป ยัยหวาน ยัยโง่”
“หวานหรือแม่ที่จะได้มีเงินมีทองใช้ แล้วแม่แน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะเอาหวานไปเลี้ยงเป็นลูก เป็นลูกหรือเป็นเมียกันแน่! โอ๊ย แม่ เจ็บ โอ๊ย แม่!” ฉันร้องบอกแล้วขยับตัวเองถอยห่างออกมาจากเตียงจนแม่ไม่สามารถเอื้อมมือมาหยิกหรือตีฉันได้อีก แต่สายตาที่มองมาก็ยังดุและบังคับฉันอยู่อย่างนั้น
“ทำไมแม่ต้องไล่หวานไปอยู่กับเขาด้วย หวานเป็นลูกแม่นะ”
“เพราะฉันเกลียดแก ไสหัวแกไปซะ ไปอยู่กับคนที่เขาต้องการจะมีลูกโน่น ฉันไม่ต้องการลูก แกมันตัวซวย”
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าแม่จะด่าจะว่าฉันยังไงฉันก็ไม่เคยเสียใจเลย เพราะคิดว่าแม่พูดเพราะเมา ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่วันนี้...เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของแม่กลับทำให้ฉันยืนน้ำตาตก ทุกคำพูดทุกคำถามที่อยู่ในหัวของฉันพลันมลายหายไปในทันทีที่แม่บอกว่าแม่ไม่ต้องการฉัน
“เอามันไปเลยค่ะ ฉันยกให้ ต่อไปนี้มันจะเป็นลูกสาวคุณ ไม่ใช่ลูกสาวฉันอีก”
“โท ดูแลน้องดีๆ ล่ะ”
“น่าจะปีเดียวกัน” โทพูดพลางมองฉันด้วยหางตา ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วไม่ว่าจะเอกหรือโท ฉันว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับความคิดของพ่อเขาเลยสักนิด
“แล้วถ้าหวานไม่ไปล่ะคะ”
“ฉันสั่งให้แกไปซะ”
“แต่แม่คะ...”
“ไม่ได้ยินรึไงว่านับจากวันนี้ไป แกไม่ใช่ลูกฉัน”