หายไป Disappearance of Jane

1775 Words
ห้วงสำนึกเหม่อลอยและเปียกชื้น ยามกลางวันเร่าร้อนแผดเผา ยามกลางคืนเม็ดฝนโหมกระหน่ำจนน้ำท่วมแผ่นดินถึงต้นขา ผู้เลื่อมใสทึกทักว่ามนุษย์ผู้ขลาดเขลายั่วพิโรธเทพเจ้าเบื้องบน แท้จริงแล้วเป็นเพราะถนนต่ำและพายุเข้า ขณะท้องฟ้าสีดำกำลังกรีดร้องและสาดแสงจ้าอย่างเกรี้ยวกราดเวลาสองทุ่มสี่สิบนาที บรรยากาศในห้องทานข้าวเงียบและอึดอัดผิดปกติทั้งที่ตอนนี้กำลังเปิดโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายละครย้อนหลัง คืนนั้นฉันมีปากเสียงกับพ่อแม่เพราะพวกท่านขโมยความเป็นส่วนตัวของฉัน "อยากให้เจนสอบหมอ ข้อนี้เจนเข้าใจ พ่อแม่จะได้เอาลูกไปอวดได้ว่าลูกสาวคนโตของฉันน่าภูมิใจขนาดไหน แต่ถามจริงเหอะ ติดจีพีเอสในรถของเจนเนี่ยนะ?" "แล้วทำไมแกไม่ไปสอบ" พ่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้าและลำคอแดงก่ำ แผดเสียงตะคอกสู้อิสรภาพที่ลูกสาวถามหา เสียงนั้นลั่นก้องในห้องทานอาหาร ทำให้จอยเริ่มเบะปากร้องไห้ เธอกลัวเสียงตะคอกของพ่อที่สุด เจคซึ่งเป็นน้องคนกลางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดเพราะพี่สาวของเขากำลังโดนด่าและน้องสาวของเขากำลังร้องไห้ แต่พ่อแม่ไม่สนใจน้อง ๆ ด้วยซ้ำ "แกหนีไปทะเล ทั้งที่วันนี้เป็นวันสอบเนี่ยนะ แล้วแกจะทำอะไรกิน ห้ะ? บ้านเราไม่ได้รวยนะที่จะส่งแกเรียนมหาลัยเอกชนแพง ๆ ได้" เห็นได้ชัดความเป็นส่วนตัวของลูกไม่เคยอยู่ในความคิดของพวกเขาราวกับลูกสาวคนโตคนนี้เป็นเพียงถ้วยรางวัลไว้อวดแขกผู้เยี่ยมชมบ้านเท่านั้น "วันนี้เจนไม่มีสอบ เจนไม่ได้สมัครสอบหมอ เจนไม่อยากเป็นหมอ จะต้องให้พูดกี่ครั้งถึงจะฟังกันบ้าง" "ถ้าไม่เป็นหมอแล้วแกจะเป็นอะไร มนุษย์เงินเดือนเหรอ หรือว่านักเขียนไส้แห้ง เจน... แกเก่ง แกฉลาด อย่าเอาตัวเองจมกับความฝันพรรค์นั้นสิ ทำไมไม่ฝันอะไรที่มันเป็นไปได้หน่อย" แม่พยายามพูดโน้มน้าวอย่างใจเย็น แต่สิ่งที่แม่ไม่เคยรู้เลยก็คือ แม่เป็นคนโน้มน้าวห่วยที่สุดในโลก "สิ่งที่ทำให้ความฝันของเจนเป็นไปไม่ได้คือพ่อกับแม่นั่นแหละ!" ฉันวิ่งออกจากบ้านทั้งน้ำตา ร้องไห้จนหูอื้อไม่ได้ยินเสียงตะโกนไล่หลังของพ่อ ซ้ำร้ายฝนฟ้าคะนองดังกลบความโศกเศร้า ฉันขับรถออกไปไกลแสนไกลจนกระทั่งน้ำมันหมดที่หาดบางแสน เจคส่งข้อความและโทรตามตั้งแต่สี่ทุ่ม ฉันตอบน้องแต่ยืนยันจะไม่กลับไปจนกว่าตัวเองจะใจเย็นและมีสติมากพอที่จะไม่เหวี่ยงใส่พ่อแม่แบบนั้นอีก แน่นอนว่าฉันไม่อยากให้น้องๆที่รองรับอารมณ์ของฉันเช่นกัน ฉันกลับบ้านในเย็นของวันต่อมา โอบกอดและขอโทษทุกคนแต่บ้านไม่ใช่บ้านนับตั้งแต่นั้น พ่อแม่ยอมฟังเหตุผลของการไม่สอบหมอเพื่อรั้งไม่ให้ฉันหนีออกจากบ้านอีก ท่านยื่นข้อเสนอให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาลเพราะครอบครัวชนชั้นกลางมีเงินไม่มากสำหรับส่งเรียน ฉันเข้าเรียนคณะมนุษยศาสตร๋ นานาชาติแล้วอดทนรอจนกระทั่งเวลาของฉันมาถึง -- วันรับปริญญา ฉันโอบกอดและขอโทษทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเก็บกระเป๋าและหอบหิ้วความฝันของฉันไปยังลิเวอร์พูลด้วยเงินเก็บทั้งหมดกับเพื่อนอีกหนึ่งคน เดือนแรกที่บ้านหลังใหม่คือความสบายใจ มันคือความรู้สึกดีที่ต้องพยายามเป็นอะไรเพื่อใคร ฉันขอบคุณการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวของตัวเองและแทนที่ทำให้พวกเราได้มาปิกนิกด้วยกันที่สวนสาธารณะเอเวอร์ตัน มันไม่ใช่ภาพถ่ายในกูเกิ้ลและภาพฝันอีกต่อไป พวกเราได้สัมผัสผืนหญ้าและไอชื้นของดินหลังจากฝนตกจริง ๆ นั่งมองตะวันหายลับจากขอบฟ้าตอนสามทุ่มสี่สิบสี่นาที จากเอเวอร์ตันถึงหอพักในมหาวิทยาลัยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง บวกอีกสิบนาทีเพราะแวะซื้อเบียร์กระป๋องด้วย INCOMING CALL... LIL JAKE น้องชายคนกลางโทรมาหาพี่สาวตอนห้าทุ่ม เวลาที่ไทยน่าจะประมาณเจ็ดโมงเช้า ฉันกดรับสายอย่างไม่รีรอแล้วเอนหลังบนโซฟานุ่มขณะถือเบียร์กระป๋องที่สามไว้ในมือ (เจนน เปิดกล้องหน่อยสิ อยากเห็นหน้า) "โทรมาทำไมเนี่ย" เจนยอมทำตามที่น้องชายบอก เจคได้ยินเสียงหัวเราะจากพี่สาวเป็นครั้งแรกหลังจากไม่พบหน้าเนิ่นนาน (พี่ไม่ติดต่อกลับมาเลยตั้งแต่เครื่องลงที่แมนเชสเตอร์อะ อยู่นั่นเป็นไงบ้าง หนาวมั๊ย เอาเสื้อกันหนาวไปพอรึเปล่า หรือว่าต้องใช้เสื้อกันฝน พี่ไม่ได้ทำร่มหายใช่มั๊ย แล้วมีแฟนยังอะพี่) เจครัวคำถามใส่ขณะที่ตัวเองถือโทรศัพท์ข้างหนึ่ง มืออีกข้างพยายามถือแฟ้มเอกสารพะรุงพะรัง เหงื่ออาบท่วมหน้าเพราะแดดประเทศไทยร้อน แทนซึ่งกำลังตั้งกระทะทำสปาเก็ตตี้ผัดน้ำมันหัวเราะลั่นอย่างลืมตัวเพราะคำถามของเจค "ใจเย็น ๆ ดิ๊ จะตอบทีละคำถามละกันนะ" (ได้พี่ ไม่ต้องรีบ ผมแค่ตื่นเต้นที่พี่รับสายแล้วก็มาถึงตึกคณะก่อนแม่บ้าน) "ไอ้เด็กบ้า" เจคเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับฉันและเป็นถึงประธานรุ่น "อยู่ที่นี่ก็ดี มีความสุขดี แม่งโคตรหนาวหลังจากฝนตก ร่มไม่หายแค่หาไม่เจอว่าอยู่ในกระเป๋าไหน อืม... เรื่องแฟน พี่ตอบไม่ได้ว่ะ" (ฮ่า ๆ ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงฉลาดซะด้วย) "ผู้หญิงก็ไม่ชอบผู้ชายโง่" (เอ๋ นี่หลอกด่าผมป่ะ) "เปล่า พูดลอย ๆ" (เจนนนน!!!) จุดอ่อนของฉันคือเสียงอ้อนของน้องๆ ฉันทำท่ายีหัวเจค ส่วนแทนผัดสปาเก็ตตี้เสร็จแล้ว ยื่นส้อมมาให้ฉันแล้วนั่งทานด้วยกันตรงโซฟา ยื่นหน้าเข้าใกล้กล้องและโบกมือทักเจค "เธอล่ะ เป็นไงบ้าง" (ทำแต่เอกสารคณะ ไม่มีเวลาจีบใครเลย) "พี่ก็โสดนะน้องเจค" แทนพูดขณะเอนซบไหล่ของฉัน โปรยจูบให้อย่างยียวน (กลับมาไทยสิ long distance relationship ไม่ค่อยยั่งยืนนะ) "พวกมึงไปจีบกันไกลๆเลยนะ" (ตึกเปิดละ ผมจะวางสายแล้วนะ มาคุยด้วยให้หายคิดถึงแค่นี้แหละ เออพี่ ติดต่อกลับไปหาพ่อแม่บ้างก็ดีนะ พวกท่านเป็นห่วง ส่งขนมไปฝากไอ้จอยด้วย บายยย) ชีวิตนักศึกษาเมืองกรุงเร่งรีบบีบบังคับให้เจคต้องจำใจวางสายทั้งที่เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้พูด แทนพูดชมว่าน้องชายของฉันโตแล้วหล่อขึ้นเยอะ แอบเป็นหนึ่งความเสียดายที่มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่แต่พวกเรามาไกลเกินกลับไปแล้ว พวกเราม้วนสปาเก็ตตี้เข้าปาก ดื่มเบียร์หมดกระป๋องและถกเถียงปรัชญาศาสนาจนกระทั่งแสงตะวันของเช้าวันต่อมาทักทายเวลาตีห้าครึ่ง ติดต่อกลับไปหาพ่อแม่บ้างก็ดีนะ พวกท่านเป็นห่วง งั้นเหรอ? ฉันยืนนิ่งหน้าร้านขายของฝาก ตัดสินใจซื้อโปสการ์ดหนึ่งฉบับ ส่งตรงไปหาครอบครัวโดยเฉพาะ ฉันไม่ส่งโปสการ์ดให้เพื่อนเพราะฉันสามารถส่งความคิดถึงผ่านทางโซเชียลมีเดียได้ แต่สำหรับครอบครัว... พวกเขาควรได้รับรู้ความรู้สึกของฉันผ่านลายมือเท่านั้น แน่นอนว่าฉันเลือกโปสการ์ดรูปสวนสาธารณะเอเวอร์ตัน สถานที่ระหว่างการเดินทางแล้วมีความสุขที่สุด ฉันกลับหอตอนบ่ายแล้วลงมือเขียนข้อความลงในแผ่นกระดาษ ฉันจะไม่ใช้ภาษาสวยงามและยากมากเพราะไม่อยากให้พวกเขาต้องทำความเข้าใจหลายรอบ เอาล่ะ... จะลงมือเขียนแล้วนะ ถึง ครอบครัว ไม่ได้คุยกันนานเลย คิดถึงเหรอ? คิดถึงเหมือนกันค่ะ นอกจากพวกคุณ จะคิดถึงใครได้อีกล่ะ ใช่ไหม? เจคบอกว่าพ่อแม่เป็นห่วงเจน ไม่ต้องห่วงนะ อยู่ที่นี่ก็ดี หนาวบ้าง ฝนตกบ้าง เหงาบ้าง แต่ภาพรวมแล้วมีความสุขดี ที่แน่ๆ มีความสุขกว่าอยู่ที่นั่นอีก ตั้งแต่พ่อแม่บุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ดูถูกความฝันของเจน การอยู่บ้านก็มีความสุขน้อยลง เจนคิดนะว่าอาจจะไม่กลับไทยน่ะ เพราะไม่มีเหตุผลให้กลับ หวังว่าจะเข้าใจนะ จะพยายามติดต่อหาบ่อย ๆ เท่าที่ทำได้เพราะเวลาไม่ตรงกัน ฉันเขียนแค่นั้นแล้วใส่ซองพัสดุ สิ่งที่ฉันนำใส่ซองไปด้วยคือของฝากชิ้นเล็ก -- ที่ห้อยกุญแจรูปดาวสี่อัน พวกคุณไม่เห็นดวงดาวเวลากลางวัน แต่คุณรู้เสมอว่า เมื่อแหงนมองท้องฟ้า ดวงดาวจะอยู่บนนั่นเสมอ แน่นอนว่ามันปรัชญาเกินกว่าพวกเขาจะเข้าใจ ฉันก็เลยเขียนความหมายของที่ห้อยกุญแจไปด้วย "ร้องไห้เหรอ" "เปล่า" แม้ว่าบ้านไม่ใช่บ้านอีกต่อไป แต่ฉันกลับนั่งซับน้ำตาตัวเองเมื่อเห็นคำว่าครอบครัว ถ้าวันนั้นที่ฉันขับรถออกมาจากบ้านแล้วปล่อยให้รถชนซะ ฉันก็อาจจะไม่ได้ส่งโปสการ์ดเรียกน้ำตา(ตัวเอง)แบบนี้ ความจริงวันนั้นฉันแค่อยากหายไปให้พ้นหน้า หายไปไกลๆ ฉันไม่อยากอยู่ที่ที่ตัวเองไม่มีตัวตนหรอก แค่ความเป็นส่วนตัวถูกมองข้ามก็น่าสมเพชแย่แล้ว พวกเขายังพยายามดับฝันโดยการบอกว่า การเป็นนักเขียนเป็นไปไม่ได้... พูดแบบนี้ฆ่าฉันเถอะ ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงหายไปจากคุณ หายมาจมอยู่ในความทรงจำการอยากหายไปครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน รู้ตัวอีกที... สถานที่ที่ฉันโผล่มาก็มืดมิดและเปียกชื้น ไม่ใช่แค่บรรยากาศแต่ฉันกำลังตากฝนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ถังขยะส่งกลิ่นเหม็นเน่า ฉันโค้งตัวสำรอกเมื่อกลิ่นเตะจมูก ให้ตายเถอะ "แม่หนู เป็นอะไรรึเปล่า" เสียงทุ่มต่ำสำเนียงเวลส์พูดกับเจน เขาเขย่าตัวหญิงสาวแปลกหน้า ตัวเปียกโชกน่าสงสาร เขาทันเห็นวินาทีที่เธอปรากฏตัวอย่างปริศนา ทว่าเธอกลับหมดสติไปก่อนจะตอบคำถามของเขา เจนจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากราชินีแห่งอาณาจักรจิตใจหม่นหมองซึ่งจะไร้กษัตริย์และโศกเศร้าต่อไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD