บทที่ 1 จุดเริ่มต้นอันโหดร้าย
เสน่หาพญามาร
ตอนที่ 1
จุดเริ่มต้นอันโหดร้าย
“หนูต้องไปจริงๆ หรือคะแม่” สาวน้อยนามว่าอรไพลิน เพชรพิสุทธิ์ หรือลูกหนูวัยสิบแปดปีน้ำตานองหน้าเมื่อต้องพรากจากอ้อมอกพ่อแม่ไปสู่เมืองกรุงเพื่อทำงานหาเงินส่งเสียทางบ้าน
“ลูกหนูฟังแม่นะลูก ตอนนี้เราลำบากมากมีแต่ลูกเท่านั้นที่ช่วยเหลือพ่อแม่และน้องๆได้” นายธงทอง เพชรพิสุทธิ์ ผู้เป็นบิดาป่วยเป็นอัมพาตในขณะที่นางกนกอร เพชรพิสุทธิ์ โดนตัดขาทั้งสองข้างเนื่องจากป่วยเป็นเบาหวานน้องๆ ผู้ชายอีกสองคนก็ยังเล็ก เพชรกล้าน้องชายซึ่งถัดจากเธอมีอายุเพียงสิบสามปีส่วนเพชรรุ่งคนสุดท้องอายุแค่สามขวบ
“แล้วใครจะดูแลพ่อแม่และน้องๆ ละคะ” เธอรับจ้างทั่วไปในหมู่บ้านหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวอดมื้อกินมือแต่ก็อุ่นใจเพราะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแต่หากขาดเธอใครจะดูแลพ่อแม่และน้องๆ ล่ะ
“เพชรยังอยู่ เพชรจะดูแลพ่อแม่และเลี้ยงน้องเองครับ” เพชรกล้าซึ่งโตพอจะรับรู้ถึงปัญหาของครอบครัวได้เสนอตัวช่วยเหลือเพื่อไม่ให้พี่สาวห่วงหน้าพะวงหลัง
“เงินที่เขาให้มานั่นก็มากโข พวกเราอยู่ทางนี้คงไม่ลำบากก็อย่างที่ไอ้เพชรมันพูดนั่นแหล่ะให้มันเลี้ยงน้องส่วนแม่ก็พอจะช่วยเหลือตัวเองและพ่อได้” เธอใช้สองมือแทนสองเท้าที่โดนตัดทิ้งไปไม่มีเท้าให้ใช้แล้วยังงอมือไม่ช่วยเหลือตัวเองก็เท่ากับตายทั้งเป็น
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมหากเธอและสามีไม่พิการครอบครัวคงไม่ลำบากถึงขนาดให้ลูกสาวไปทำงานไกลบ้าน
“เขาจะเอาหนูไปทำอะไรคะแม่”เด็กสาวกลั้นสะอื้นข่มใจไม่ให้ร้องไห้ออกไป เธออยากเป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ไม่อยากทำให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจ
“ไปเป็นคนใช้ที่บ้านของเจ้านายเขาที่กรุงเทพจ้ะ ลูกหนูต้องทำตัวดีๆ ขยันและอดทนอย่าให้เขาว่าเอาได้ในภายหลังนะลูกเพราะเขาให้เงินเรามากกว่าเด็กคนอื่นในหมู่บ้านเขาบอกว่าลูกหนูของแม่เป็นเด็กดีขยันขันแข็งและเอาการเอางาน” กนกอรภูมิใจในตัวลูกสาวมาก เพื่อนบ้านต่างชื่นชมว่าอรไพลินสวยงามทั้งรูปร่างหน้าตาและจิตใจ
“ค่ะแม่” อรไพลินจำต้องรับปากอย่างเด็กว่านอนสอนง่ายทั้งที่ภายในใจหวาดหวั่นและหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เด็กสาวก้มลงกอดผู้เป็นพ่อซึ่งปากบิดเบี้ยวร่ำไห้น้ำตาไหลขณะพูดอ้อแอ้แทบฟังไม่รู้เรื่องเนื่องจากความเจ็บป่วยของร่างกาย
“อ้ออักอู้กอู๋อะ อื่อๆๆๆ(พ่อรักลูกหนูนะฮื่อๆๆๆ)” อยากโอบกอดลูกรักไว้ในอ้อมแขนแต่ก็ไม่สามารถทำได้
“หนูก็รักพ่อค่ะ” อรไพลินข่มใจไม่ให้ร้องไห้ก้อนสะอื้นจุกแน่นอยู่ในลำคอ ขอบตาร้อนผ่าวแต่ก็กลั้นเอาไว้สุดฤทธิ์
“ไปนอนเถอะลูก พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด”
ผู้เป็นแม่แสร้งเข้มแข็งทำหน้าชื่นทั้งที่อกตรมอยากกอดลูกไว้กับอกสักครั้งแต่ไม่กล้าเพราะกลัวจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ค่ะแม่” อรไพลินลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนซึ่งเธอและน้องๆ นอนด้วยกัน
“พี่หนู ไปแล้วอย่าลืมเพชรนะครับ” เพชรกล้าเดินตามเข้าไปในห้องเขาสวมกอดพี่สาวทางด้านหลังด้วยความรักสามคนพี่น้องไม่เคยอยู่ห่างกันอรไพลินทำงานนอกบ้านและช่วยเหลือแม่ทำงานบ้านเลี้ยงดูน้องๆ เท่าที่จะทำได้เธอและน้องๆไม่ได้เรียนหนังสือ
“พี่จะลืมได้ยังไงละครับในเมื่อทุกคนคือหัวใจของพี่ ที่พี่ไปในครั้งนี้ก็ทำเพื่อทุกคนเพชรดูแลน้องรวมทั้งพ่อและแม่ให้ดีนะครับ หากมีโอกาสพี่จะกลับมาเยี่ยมบ้าน” สาวน้อยอดทนข่มกลั้นไม่ให้อ่อนแอจนน้องชายต้องเห็นหยาดน้ำตาเธอจะให้ทุกคนที่อยู่ข้างหลังเป็นห่วงไม่ได้ยามจากกันพวกเขาจะได้เห็นและจดจำแต่เพียงรอยยิ้มของเธอเท่านั้น
“พี่หนู” เด็กชายเรียกแล้วก็จ้องหน้าพี่สาวนิ่งเขาไม่เด็กจนเกินไปที่จะไม่รู้ว่าพี่สาวกำลังรู้สึกอย่างไร
“ผมจะไม่บอกทุกคนว่าพี่อยากร้องไห้และผมก็ๆๆ ฮึกๆ ฮื่อๆๆ “ เด็กชายปล่อยโฮออกมาในทันทีทั้งที่ยังพูดไม่จบเขาไม่อยากเห็นพี่สาวเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ความรู้สึกลึกๆ บอกว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นและได้กอดพี่สาวคนนี้อีกต่อไป
“เพชร ลูกผู้ชายเขาไม่ร้องไห้กันหรอกนะครับ” อรไพลินกอดน้องชายเอาไว้แน่นเธอเงยหน้าให้หยาดน้ำตาไหลย้อนกลับเข้าไปในหัวใจซึ่งกำลังร้องไห้อย่างหนักแต่เธอจะอ่อนแอให้น้องเห็นไม่ได้เพชรกล้าเป็นเด็กที่โตเกินวัยเขารับรู้ความรู้สึกของทุกคนในครอบครัวได้ดีพอๆ กับเธอ
เพชรกล้าเคยคัดค้านเรื่องที่พี่สาวทำงานนอกบ้านเขาอยากออกไปทำงานเสียเองแต่อรไพลินอ้างว่านายจ้างไม่รับคนงานที่ยังเด็ก เธอสงสารน้องเพชรกล้ายังเล็กนักเธอไม่อยากให้เขาลำบาก
“เพชรจำไว้นะพี่เป็นอย่างไรไม่สำคัญสิ่งสำคัญที่สุดคือเราทุกคนในครอบครัวต้องอยู่รอดมีเงินกินข้าวมียารักษาพ่อและแม่มีนมให้น้องกินซึ่งทั้งหมดนี้เพชรต้องเป็นคนดูแลตกลงมั้ย” เธอเห็นเด็กชายเม้มปากก้มหน้านิ่งจึงต้องพูดย้ำอีกครั้ง
“รับปากสิอย่าทำให้พี่ต้องจากไปอย่างห่วงหน้าพะวงหลัง” เธอเขย่าตัวเขาเบาๆ
“ครับ” เพชรกล้ากลั้นสะอื้นฝืนใจรับปากพี่สาว
“ดีมากครับแล้วก็อย่าให้พ่อกับแม่รู้ว่าพี่รู้สึกอย่างไรไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นเข้าใจมั้ยพี่ไม่อยากให้ท่านทั้งสองไม่สบายใจและรู้สึกผิดในการกระทำครั้งนี้” เธอรู้ว่าลึกๆ ผู้เป็นแม่ก็ไม่อยากทำเช่นนี้แต่ความจำเป็นบังคับ
ในหมู่บ้านนี้แห่งนี้การขายลูกสาวกินถือเป็นเรื่องธรรมดาเพราะความยากจนนั้นบีบบังคับแต่อรไพลินทำงานหามรุ่งหามค่ำเวลาที่เหลือก็ทุ่มเทให้กับครอบครัวใครจะไปไหนทำอะไรเธอจึงไม่เคยสนใจ
แม้กระทั่งเสียงซุบซิบของผู้ใหญ่ในหมู่บ้านซึ่งพูดโดยไม่คิดจะออมเสียงเธอก็ปล่อยให้เสียงนั้นลอยผ่านไปเหมือนสายลมที่พัดผ่านโดยไม่รับรู้ว่าพวกเขาพูดถึงเธอเรื่องอะไร
คนเหล่านั้นรู้ว่าอรไพลินมีชะตากรรมเช่นเดียวกับเด็กสาวคนอื่นๆแต่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เพราะทุกคนก็ลำบากพอๆกัน
สาวน้อยอรไพลินในวัยสิบแปดปีเป็นสาวสะพรั่งสวยงามเหมือนกุหลาบแรกแย้มความบริสุทธิ์เปรียบดั่งหยาดน้ำค้างประดับด้วยความดีดั่งเพชรแท้ที่ล้ำค่าครอบครัวเพชรพิสุทธิ์โชคดีที่มีเธอแต่โชคร้ายที่การเสียสละของเธอสูญเปล่าชะตากรรมไม่เคยปราณีใคร
หลังจากที่อรไพลินออกจากบ้านได้เพียงห้าวันก็เกิดโศกนาฏกรรมที่แสนอนาถครอบครัวเพชรพิสุทธิ์โดนไฟคลอกตายกันหมดทั้งบ้านไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว
รถเก๋งคันหรูพาอรไพลินมาส่งยังสถานที่ๆ แม่เธอบอกว่าคำแปงจะให้ทำงานเป็นคนใช้ที่บ้านของเศรษฐีใหญ่ท่านหนึ่งสาวน้อยไม่เคยเห็นว่ากรุงเทพมีหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อรถแล่นเข้าไปจอดยังบ้านหลังใหญ่โตเธอก็สรุปทันทีว่านี่คือบ้านเศรษฐีที่เธอต้องมาทำงานรับใช้
“น้าคำแปงจะกลับบ้านเลยหรือคะ”
“ใช่ แกเป็นเด็กดีนะอย่าดื้อกับพวกเขาล่ะเขาสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามที่เขาบอกอย่าขัดใจพวกเขาเข้าใจมั้ย” คำแปง สาวใหญ่วัยสี่สิบซึ่งเป็นนายหน้าค้าผู้หญิงพูดย้ำอีกครั้งก่อนจะเดินนำเด็กสาวเข้าไปในคฤหาสน์
“เข้าใจค่ะ” อรไพลินเดินตามหลังคำแปงเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัว
อรไพลินยืนตัวลีบหน้าตาตื่นอยู่ข้างๆ คำแปงในบ้านหลังใหญ่ เจ้านายของเธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่สวยมากแต่งหน้าทาปากเหมือนนางเอกละครในโทรทัศน์ที่เธอเคยเห็นแว่บๆ ที่ร้านโกพงในตลาดแต่เธอไม่กล้ามองเต็มตาเพราะชุดที่เจ้านายสวมใส่มันเปิดมากกกว่าปิดจนเธอนึกอายแทน
“ไหว้คุณนายเสียสิหนู” อรไพลินยกมือไหว้แล้วรีบก้มหน้าทันที
“มันชื่อลูกหนูมีชื่อจริงว่าอรไพลิน เพชรพิสุทธิ์”
“อืม คราวนี้เธอนำของดีมาให้ คงเป็นอัญมณีน้ำงามของร้านเราแน่นอน” วิมาลินจ้องมองสินค้าตรงหน้าด้วยความพึงพอใจ
สาวน้อยช่างสวยงามอ่อนหวานบาดตาบาดใจยิ่งนักถ้าสดซิงจริงๆคงทำกำไรให้กับร้านได้มากโข
“อย่าลืมสัญญาของเราก็แล้วกันค่ะ” เงินค่านายหน้าจะถูกโอนเข้าบัญชีของคำแปงหลังจากสินค้าถูกตรวจสภาพเรียบร้อยแล้ว
“ฉันไม่ลืมหรอกแต่แน่ใจนะ ว่าเป็นเนื้อสด” คราวที่แล้วโดนย้อมแมวขายทางร้านโดนลูกค้าด่าจนหูชา
“รับประกันค่ะ”คำแปงตอบด้วยความมั่นใจ
“คราวที่แล้วฉันไม่รู้ว่าเธอโดนหลอกมาหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆ หากครั้งนี้มีลูกค้าโวยวายเธอต้องรับผิดเพียงคนเดียวฉันจะไม่ออกหน้าให้เหมือนคราวที่แล้ว” ตามสัญญานั้นหากสินค้าด้อยคุณภาพ นายหน้าต้องรับผิดชอบโดยชดใช้ค่าเสียหายให้กับทางร้านเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับไป
เด็กสาวไม่รู้ว่าผู้ใหญ่กำลังคุยอะไรกันอยู่เพราะกำลังตื่นเต้นและตกประหม่ากับสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมายังตัวเธออย่างมีความหมาย
“น้าไปนะลูกหนู” คำแปงมีแก่ใจกล่าวคำลากับเหยื่อ “หนูฝากพ่อกับแม่และน้องๆด้วยนะคะ” อรไพลินยกมือไหว้ด้วยหัวใจที่โหยไห้คิดถึงครอบครัวที่เพิ่งจากมาหมาดๆ
“อืม” สาวใหญ่แค่รับปากในลำคอแล้วรีบเดินจากไปในทันที
หลังจากคำแปงกลับไปอรไพลินก็ถูกนำตัวขึ้นไปยังชั้นบนสุดของบ้านเด็กสาวได้แต่สงสัยว่าทำไมคนใช้อย่างเธอถึงได้อยู่บนตึกใหญ่และมีห้องให้อยู่ค่อนข้างสบาย
“ฉันชื่อตาล เธอมาจากไหนล่ะ” เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอซักถามขณะช่วยกันจัดที่นอนอรไพลินบอกชื่อเล่นและบ้านที่ๆ เธอจากมาว่าเป็นตำบลเล็กๆ ทางภาคเหนือ
“เดี๋ยวจะมีคนเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน เธออย่าดื้อนะเขาให้ทำอะไรก็ทำตามที่เขาสั่ง ฉันไปล่ะ” เด็กสาวที่ชื่อตาลออกไปทันทีที่จัดห้องเสร็จทิ้งให้อรไพลินยืนคว้างอยู่กลางห้อง “อูยยย เสี่ย เสี่ยขา”
“หนูจ๋าขย่มแรงๆเลยจ๊ะอย่างนั้นล่ะ ดีมาก อ๊ะ...อ๊าห์...ซี้ดดด” อรไพลินสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงการเสพสังวาสดังมาจากห้องข้างๆเด็กสาวไร้เดียงสาเกินไปจึงไม่รู้ว่าหญิงชายในห้องข้างๆ กำลังทำอะไรกันอยู่เธอได้แต่สับสนและหวาดกลัวกับเสียงครางเหมือนคนได้รับบาดเจ็บจ