เกิดเหตุ
คฤหาสน์สุดหรูตั้งตระหง่านอยู่พื้นที่หลายร้อยไร่ รอบ ๆ นอกถูกประดับประดาด้วยต้นไม้ราคาแพง ซึ่งตอนนี้มันกำลังผลิดอกออกผล กลิ่นหอมของพฤกษาลอยโชยเข้ามาทำให้คนที่ได้กลิ่นของมวลดอกไม้รู้สึกดีที่ได้กลิ่นมัน
ร่างบางของม่านหมอกกำลังง่วนอยู่กับการช่วยแม่บ้านทำอาหารอย่างทะมัดทะแมง ไม่นานนักอาหารก็เสร็จเรียบร้อย
“อันนา” เธอตะโกนเรียกบุตรสาว มือสองข้างยกอาหารมาวางที่โต๊ะ
“...”
“อันนา”
“ค่ะแม่”
“ลงมาได้แล้ว”
“ค่ะ” อันนา เด็กสาวเเต่งหน้าแต่งตาอยู่ที่กระจกบานใหญ่ที่กำลังสะท้อนร่างกายระหงของหญิงสาวสมบูรณ์แบบอย่างเธออยู่ตอนนี้
ริมฝีปากบางเล็กยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้เห็นใบหน้าสวยหวานสวยสดใส
อันนา ดำรงค์พงษ์เมธาเดินกรีดกรายพลางกลอกกลิ้งสายตามองไปรอบๆ เท้าเล็ก ๆ เดินย่ำไปบนพื้นกระเบื้องราคาแพงลงมาข้างล่าง สายตาของเธอมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะอาหารที่กำลังส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยอย่างพอใจ
“หอมมาก ๆ เลยค่ะแม่”
“แกงอ่อมเนื้อ แม่เห็นว่าตอนที่อันนาไปบ้านยายครั้งก่อนแล้วบ่นอยากกิน แม่ก็เลยทำให้หนูได้ทาน”
“ยายโทรมาบอกเหรอคะ?”
“เปล่าหรอกจ้ะ ราเมศเป็นคนบอกแม่” คำตอบของผู้เป็นมารดาทำเอาหญิงสาวเขินอายหน้าแดง รู้สึกดีใจที่ราเมศสนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆตอนที่ไปเที่ยวบ้านคุณยายของเธอครั้งก่อน
“เเล้วเขาพูดอะไรอีกไหม?”
“ก็พูดเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ รีบทานอาหารเถอะ เดี๋ยวแม่จะไปตามน้องก่อน คชานี่ตื่นสายตลอด”
“ค่ะ” อันนาเอ่ยตอบรับกับมารดาพลางตักอาหารเข้าปากอย่างสุขใจ
ราเมศ มากทรัพย์ เป็นเพื่อนกับเธอมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะติวหนังสือหรือช่วยทำการบ้านเขาก็ช่วยเธอตลอด ราเมศเข้าออกบ้านหลังนี้ราวกับเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว
“ส่วนเจนจิรา สิงหา หรือเรียกเจนสั้นๆก็เป็นเพื่อนรักของเธออีกคน ทั้งสามเรียนที่เดียวกันจนกระทั่งสนิทสนมกัน มีงานกลุ่มหรือใครเรียนไม่ทันจะช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งเรียนจบราเมศเจนจิราอันนา ทั้งสามก็ได้ทำงานที่บริษัทของบิดาของเธอ
ตึก! ตึก!
เสียงฝีเท้าหนักวิ่งลงมาจากข้างบนตรงมาที่ครัว ใบหน้างามหันไปตามเสียงเป็นน้องชายตัวดีของเธอวิ่งลงมา
“พี่อัน”
“ว่า”
“แม่หมอกบ่นเก่งชิบหาย ยิ่งแก่ก็ยิ่งนับวันยิ่งบ่นมากเลย ไม่รู้ว่าพ่อทนผู้หญิงอย่างแม่ได้ยังไง บ่นไม่ได้หายใจหายคอเลยเหมือนจังหวะแร็ป รัวๆเร็วๆ” คชาเอ่ยพลางพ่นลมหายใจ
“แม่ไม่เคยบ่นพ่อนะ”
“แต่กับชาบ่นจนหูชา”
“ก็อย่าทำให้แม่บ่นสิ หัดตื่นเช้าบ้างเถอะ”
“ก็ที่นอนมันนุ่ม ตื่นเร็วก็ง่วงน่ะสิ”
“แกนี่เน้อ” อันนาถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอาเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นน้องชายเอื้อนเอ่ย ทั้งสองนั่งทานอาหารด้วยกันจนกระทั่งทานเสร็จเรียบร้อย บิดาของเธอเดินเข้ามาในบ้าน พร้อมกับผู้เป็นลุง
“พะ... พ่อ” อันนาเบิกตากว้างรีบตรงเข้าไปหาบิดาด้วยความตกใจ บิดาของเธอในตอนนี้หัวแตกถูกพันหัวด้วยผ้าก๊อตสีขาว
“ไม่มีอะไรหรอกลูก เงียบไว้อย่าตื่นตระหนกเกินไป พ่อกลัวแม่จะตกใจ” ปั้นจั่นเอ่ยกับบุตรสาว
“พาพ่อไปนั่งโซฟาก่อนอันนา” ปั้นสิบเอ่ย
“ค่ะลุง” อันนารีบพาบิดาไปนั่งที่โชฟา
“ตายจริงไปโดนอะไรมาคะ?” ม่านหมอกรีบตรงมาถามไถ่อาการสามีที่ตอนนี้ใบหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ไปโรงบาลมาแล้วไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“มันเกิดเรื่องนี้ได้ยังไงคะ”
“แค่อุบัติเหตุน่ะไม่มีอะไรหรอก”
“พ่อเจ็บแบบนี้อันนาไม่หยุดแล้วค่ะ อันนาจะไปช่วยพ่อทำงาน” หญิงสาวเอ่ยปกติเธอไม่ค่อยหยุดหรอก แต่บิดาของเธอเห็นว่าทำงานมาหลายอาทิตย์ไม่ได้หยุด ท่านก็เลยให้หยุด3วัน
“ไม่เป็นไร ลูกพักเถอะ”
“ไม่เอาค่ะ อันนาจะไปทำ”
“งั้นก็ได้ พ่อให้ราเมศไปช่วยดูบริษัทแถวรามอินทรา ถ้าลูกสะดวกไปทำบริษัทนั้นลูกก็ไปได้นะ”
“ค่ะ” อันนาพยักหน้า เธอเพิ่งเรียนจบและเพิ่งได้ทำงานที่บริษัทบิดา เธอพยายามช่วยงานบริหารทุกอย่าง แต่คนที่เก่งที่สุดเห็นจะเป็นราเมศ
เขาเป็นคนที่บิดาของเธอไว้ใจจนมอบหมายงานให้ไปดูแลบริษัทแถวรามอินทรา ซึ่งราเมศก็ทำได้ดี
“คุณอาครับ” ราเมศเอ่ยแล้วสาวเท้ายาวๆเข้ามาในคฤหาสน์ นัยน์ตาคมกริบจ้องมองปั้นจั่นอย่างหวงใย
ปั้นจั่นหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มที่เดินเข้าอย่างเอ็นดู ภาพราเมศเด็กชายตัวน้อยที่ไปมาหาสู่บ้านของเขาเป็นประจำ ผ่านไปหลายปีเป็นหนุ่มรูปงามใบหน้าคมเข้มร่างกายกำยำ
เขาเองก็พอทราบมาว่าราเมศชอบพอบุตรสาวของเขา ซึ่งอันนาก็มีใจให้ราเมศและพัฒนาความสัมพันธ์กันมาเรื่อย ๆ โดยที่เขากับครอบครัวไม่ได้ขัดขวางทั้งสองแต่อย่างใด
จนตอนนี้ราเมศเป็นคนรักของบุตรสาว ซึ่งทั้งสองปลูกต้นรักจนสุกงอมเต็มที่
ครอบครัวของเขาไม่เคยรังเกียจเด็กหนุ่มที่มีฐานะยากจนและอาศัยอยู่กับมารดาเพียง2คน ไม่ว่าเขาจะบอกให้ราเมศพามารดามาพักอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย เด็กหนุ่มก็ปฏิเสธทุกครั้ง
ราเมศทำงานก็เริ่มมีเงิน เขาซื้อบ้านให้มารดาอาศัยอยู่ แต่ปั้นจั่นกลับไม่เคยเห็นหน้าผู้ให้กำเนิดของเด็กหนุ่มเลย ตั้งแต่เด็กจนโตก็ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้างครับ”
ราเมศเอ่ยถามอย่างอาทร แม่ในใจตอนนี้จะสะใจมากก็ตาม เขามันเล่นละครเก่ง ต่อให้เกลียดชังคนตรงหน้าสุดหัวใจ เขาก็แสร้งห่วงใยได้เป็นอย่างดี และซ่อนความเกลียดเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
“ช่วงนี้มักมีเรื่องแย่ ๆ ครอบครัวไอ้วิคเตอร์ไปเกาะไข่มุกเป็นปีแล้ว ตอนนี้ทำอะไรก็ระวังตัวกันหน่อย” ปั้นสิบเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล วิคเตอร์ไปเกาะไข่มุกเพื่อมอบหมายงานสำคัญให้คริสเตียนกับคริส ส่วนอลิซกับคริสโตเฟอร์ไปทำงานอยู่อเมริกา
“อืม บริษัทก็ยุ่งๆ ประมูลงานไม่เคยทันบริษัทคู่แข่งเลย ดีหน่อยที่มีราเมศคอยช่วย”
“อืม พวกกูก็ยุ่งๆ แต่ดีหน่อยที่แดลเนียลกับดารินช่วย แต่งานก็เยอะมาก”
“ถ้าคชาโตและเรียนจบมาช่วยงานอีกคนกูก็คงจะเบาใจ”
“มันไม่มีอะไรหรอก แต่ก็อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติ หมอกพามันไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ” ม่านหมอกประครองสามีให้ลุกขึ้น
“เดี๋ยวอันนาช่วยค่ะ”
“อันนาอยู่กับราเมศเถอะจ้ะ เดี๋ยวแม่ให้คชามาช่วย”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับคำแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆบิดา
“อันนารักพ่อนะคะ” อันนาเอ่ยแล้วเขย่งเท้าหอมแก้มบิดา “พ่อต้องระวังตัวมาก ๆ นะคะ”
“ครับพ่อจะระวังตัว พ่อเองก็รักหนูรักแม่หมอกรักคชาที่สุดเลยรู้ไหม?” คำตอบของปั้นจั่นทำเอาราเมศกำมือแน่น ใช่สินะ! ชีวิตของคนเลว ๆ ก็มีแต่ครอบครัวกับลูกสองคนของเขา โดยที่ไม่คิดถึงลูกที่ถูกทิ้งอย่างเขาเลย
หลายปีที่เขาเก็บความคั่งแค้น แล้วมันถึงเวลาแล้วที่เขาจะเอาคืน