Hana’s part :
“ริโกะ”
“อ้าว ฮานะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ริโกะตกใจมากกว่าปกติทั้งที่ฉันทักทายเธอด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่าปกติเลยสักนิด
“ฉันเอาสมุดเลกเชอร์มาให้น่ะ สองวิชาที่จะสอบวันมะรืนนี้ ช่วงนี้ฉันเห็นเธอยุ่งๆ คงไม่ค่อยมีเวลาสรุปเนื้อหาที่จะสอบเอง ฉันเลยทำสรุปมาให้” ฉันบอกยิ้มๆ พร้อมกับยื่นสมุดเล่มเล็กๆ ในมือให้ริโกะ
“ขอบใจนะ เธอนี่รู้ใจฉันจริงๆ”
“เปลี่ยนจากขอบใจเป็นสอบเสร็จแล้วเราแอบออกไปกินบะหมี่เย็นกันมั้ย”
“โอ๊ย เอกสารการเงินของแบล็กซิโนเมื่อเดือนที่แล้วอยู่ที่ไหนกันนะ” ริโกะทำทีเป็นร้องหารายงานก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของเธอในทันที ทิ้งฉันไว้กับความฝันว่าจะได้กินบะหมี่เย็นหน้าโรงเรียนต่อไปอย่างไร้จุดหมาย
“สวัสดีครับคุณฮานะ”
“มาหาริโกะเหรอคะ” ฉันแกล้งแซวเมื่อหันกลับมาเจอโยชิที่เดินเข้ามาทักทายฉันด้วยรอยยิ้ม ในมือเขามีขนมเค้กกล่องเล็กๆ อยู่สองกล่องที่แยกถุงกัน
เอ...ของใครกันนะ จะมีของฉันบ้างรึเปล่า
“นี่ของคุณฮานะครับ ผมซื้อขนมเค้กมาฝาก”
ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในสองนั้นจะเป็นของฉันจริงๆ ด้วย
“ฉันรู้นะว่านายเอาฉันมาบังหน้า” ฉันกระซิบบอกยิ้มๆ ก่อนจะรับถุงขนมเค้กมาจากโยชิ
ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะว่าคนที่เขาตั้งใจจะซื้อขนมมาฝากเป็นริโกะ ไม่ใช่ฉัน แต่ถ้าเขาจะถือมาฝากริโกะโต้งๆ คนเดียว มีหวังได้โดนคิราวะฆ่าทิ้งแน่ๆ เขาก็เลยต้องซื้อเผื่อแผ่มาให้ฉันด้วยยังไงล่ะ
“อย่าเอ็ดไปนะครับ ไม่งั้นผมแย่แน่”
“งั้นครั้งหน้าขอสอง”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา” โยชิรับปากแล้วยิ้มแห้งๆ กลบเกลื่อน ส่วนฉันก็ยิ้มกว้างรับขนมเค้กสองกล่องในอนาคต
“นี่ของเธอ ริโกะ”
“ขอบคุณค่ะคุณโยชิ ซื้อมาจากไหนคะเนี่ย น่ากินเชียว”
“ร้านเล็กๆ แถวมังกุน่ะ พอดีฉันขับรถผ่านแล้วเห็นมันน่ากินดีก็เลยซื้อมาฝากเธอกับคุณฮานะ”
ต้องมีชื่อฉันห้อยไว้ที่ท้ายประโยคแบบนี้ ไม่อย่างนั้นริโกะอาจจะตกที่นั่งลำบากได้
พวกเขารู้ทันกันอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ ฉันหมายถึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นพวกเดียวกันน่ะ ลึกๆ แล้วเหมือนเป็นศัตรูกันยังไงก็ไม่รู้เนอะ นี่ถ้าไม่นับรวมเรื่องงานแล้ววัดกันที่เรื่องหัวใจแล้วละก็ น่ากลัวว่าอาจจะฆ่ากันตายได้จริงๆ
ฉันแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้ริโกะอย่างรู้ทัน ทำทีเป็นมองเธอสลับกับโยชิแล้วลอยหน้าลอยตาใส่ แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเดินออกมาเมื่อหมดธุระของฉันแล้ว
หัวใจเต้นถี่ยิบ รุนแรง และรวดเร็ว ทำไมอยู่ๆ วันนี้ฉันถึงได้รู้สึกว่าทุกอย่างผิดปกติไปหมด ทั้งเรื่องการมาของฮิมาวาริ เรื่องที่ได้ยินริโกะกับคิราวะคุยกัน รวมไปถึงเรื่องของโยชิเมื่อครู่นี้ก็ด้วย
ถ้าโยชิซื้อขนมนี่มาจากมังกุ นั่นก็แปลว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วทำไมโอยามะถึงได้บอกว่าโยชิอยู่ด้วยตอนที่เขาคุยกับฮิมาวาริล่ะ โอยามะจะโกหกฉันงั้นเหรอ?
“เอ่อ โยชิ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ฉันหันกลับไปหาโยชิอีกครั้ง แต่เพื่อความแน่ใจว่าฉันแค่กำลังคิดมากไปเอง ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะลองถามความจริงจากปากของเขาดู
“ครับคุณฮานะ มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” โยชิรีบถาม เดิมทีก็ตั้งใจว่าจะถาม แต่พอจะต้องถามจริงๆ ฉันกลับไม่รู้จะใช้คำถามว่ายังไงน่ะสิ
“ปละ เปล่า ไม่มีอะไร”
ฉันควรทำยังไงดีนะ หรือควรจะเรียกเขาไปแล้วถามต่อหน้าโอยามะไปเลยตรงๆ เมื่อครู่นี้โอยามะก็บอกเองนี่ว่าถ้าฉันไม่เชื่อ ให้เรียกโยชิไปถามก็ได้น่ะ
แต่ถ้าทำแบบนั้น โยชิอาจต้องลำบากไปด้วยแน่ๆ
“ฮานะ” ริโกะเรียกเบาๆ เมื่อฉันยังคงยืนเถียงกับตัวเองไม่เลิก และยังไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหนเลย
เอาละนะ ฉันจะถามจริงๆ แล้ว
“คือฉันอยากรู้ว่าโยชิซื้อขนมนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ มันยังไม่หมดอายุใช่มั้ย”
ฉันถามบ้าอะไรออกไปกันนะ ต่อให้โยชิจะซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน มันก็ยังไม่น่าจะเสียอยู่ดี
“ผมเพิ่งแวะซื้อเมื่อช่วงกลางวันน่ะครับ ซื้อเสร็จก็ขับรถกลับมาเลย ขอโทษด้วยครับคุณฮานะ ผมเองก็ไม่ได้ถามคนขายซะด้วยว่าเขาทำตั้งแต่เมื่อไหร่”
รู้สึกผิดชะมัดที่ทำให้โยชิรู้สึกวุ่นวายใจ
“แต่ร้านขนมร้านนี้ก็คนเยอะอยู่นะครับ เขาน่าจะทำของใหม่ทุกวัน ไม่น่านำของเก่ามาขาย แต่ถ้าคุณฮานะไม่สบายใจ ผมว่า...”
“ไม่ๆๆ ไม่เป็นไร ฉันก็แค่ถามดูเฉยๆ น่ะ ขอบใจนะ” ฉันรีบบอกเมื่อโยชิทำท่าเหมือนจะขอขนมคืน ก่อนจะกลับหลังหันแล้วเดินออกมาเมื่อคิดว่าได้คำตอบที่ต้องการแล้ว
โยชิเพิ่งกลับมาจากมังกุ เขาไม่ได้อยู่ในห้องตอนที่โอยามะคุยกับฮิมาวาริ นั่นแปลว่าโอยามะโกหกฉัน!
“ทำไมไปนาน”
เสียงของโอยามะทำให้ฉันสะดุ้งเบาๆ แล้วรีบเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับส่งยิ้มให้ ซึ่งฉันรู้ว่ามันโง่ที่จะโกหกเขา แต่นาทีนี้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไงให้หัวใจของฉันมันเต้นเบาลง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้ว่าเขากำลังโกหก ซึ่งมันทำให้ฉันเริ่มสงสัยว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยโกหกฉันเลย หรือฉันไม่เคยจับได้เลยกันแน่
“ฮานะ”
“เอ่อ เราจะกลับกันเลยใช่มั้ย ขอโทษที่ทำให้นายรอนาน เมื่อกี้มัวแต่คุยกับริโกะเพลินไปหน่อยน่ะ”
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเธอสักคำ” โอยามะบอกเสียงเข้มแล้วขมวดคิ้วใส่ฉันนิดหน่อย
ฉันรู้ว่าเขาคงกำลังสงสัยกับท่าทีแปลกๆ ของฉัน แต่จะให้ฉันจัดการกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ยังไงดีล่ะ ฉันทำตัวเหมือนปกติไม่ได้เพราะในใจมันกำลังว้าวุ่นไปหมด
“ฮานะ”
เป็นอีกครั้งที่โอยามะต้องเรียกสติฉันด้วยเสียงทุ้มๆ ของเขา
“ฉันรู้สึกเหมือนจะปวดหัวน่ะ วันนี้ยังไม่ไปหาริวได้มั้ย ฉันอยากกลับไปนอนพัก”
ความสับสนทำให้ฉันหวาดกลัวไปหมด คำตอบของโยชิทำให้ฉันมีคำถามที่ต้องถามตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำถาม นั่นคือถ้าฉันรู้ว่าเขาโกหก แล้วฉันจะทำยังไง ฉันมีสิทธิ์อะไรไปต่อว่าเขางั้นเหรอ มีสิทธิ์ไปทู่ซี้เอาความจริงจากปากเขารึเปล่า ฉันไม่กล้าพอจะถามเขาด้วยซ้ำว่าตกลงแล้วความจริงมันคืออะไรกันแน่
“ฮานะ”
“อ้อ โยชิซื้อมาฝากน่ะ” ฉันรีบบอกเมื่อสายตาของโอยามะกำลังมองมาที่ถุงของฝากจากโยชิ
“คือว่า...”
“อะไร มีอะไรงั้นเหรอ” ฉันถามเบาๆ เมื่อท่าทีของโอยามะดูแปลกไปทันทีที่ฉันพูดถึงโยชิขึ้นมา
“ไม่มีอะไร เรากลับกันเถอะ”
นี่สินะเขาถึงได้บอกว่าถ้าคนเราโกหกครั้งแรกได้ มันก็จะมีครั้งต่อไป และเราก็ต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ เพื่อกลบและซ่อนคำโกหกครั้งแรกนั้นเอาไว้
เขาไม่กล้าบอกว่ามีหรอก เพราะนั่นเท่ากับเขายอมรับว่าเขาโกหก
“อยากแวะหาหมอก่อนรึเปล่า”
คำถามแสดงความห่วงใยจากปากของโอยามะเคยทำให้ฉันรู้สึกดีใจที่มีเขาคอยใส่ใจและเป็นห่วง แต่ตอนนี้มันกลับทำให้ความรู้สึกตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับไปกินยาแล้วนอนพักก็คงหาย” ฉันบอกยิ้มๆ
“แน่ใจนะ”
“อืม สงสัยจะเครียดเรื่องสอบมากไปหน่อยน่ะ”
“ถ้างั้นคืนนี้ก็พักซะบ้างล่ะ ฉันเห็นเธออ่านเอาเป็นเอาตาย จริงๆ ถ้าเธอตั้งใจเรียนตั้งแต่แรก เธอก็ไม่จำเป็นต้องโหมอ่านหนังสือขนาดนี้หรอก”
ได้ทีเขาก็รีบบ่น
“เอาไว้ถ้าได้เรียนต่อ ฉันจะตั้งใจเรียนให้มากๆ ก็แล้วกันนะ เรียนจบแล้วจะได้มาช่วยงานนายไง”
“บอกแล้วไงว่าให้เลี้ยงลูกอยู่บ้าน ฉันอยากให้เธอเป็นแม่บ้านมากกว่า”
“ทำไมล่ะ นายไม่เชื่อเหรอว่าฉันทำได้” ฉันแสร้งถามระหว่างที่เรากำลังลงลิฟต์ไปด้วยกัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ฉันกับโอยามะคุยกันเรื่องนี้ แต่สุดท้ายงานประจำหลังเรียนจบชั้นมัธยมปลายของฉันก็คือการเป็นแม่บ้าน อยู่บ้านเลี้ยงลูกทุกทีเลย
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เธอก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” โอยามะบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่แฝงเอาไว้ด้วยความจริงจัง เขาจับมือฉันเอาไว้ตลอดเวลาเหมือนทุกครั้งเวลาที่เราไปไหนมาไหนด้วยกัน
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ในขณะที่เขาหนักแน่น ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นผู้หญิงที่ไม่เอาไหนเอาซะเลย แต่พูดไปเหตุผลของฉันก็ไม่เคยชนะเหตุผลของเขาหรอก เพราะฉะนั้นอย่าพูดดีกว่า ฉันไม่อยากมีเรื่องให้ต้องคิดมากกว่านี้อีกแล้ว
ความจริงแล้วฉันก็แค่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของเขาบ้าง แต่สิ่งที่รู้สึกเสมอคือยิ่งอยากแบ่งเบา ก็เหมือนยิ่งเป็นการเพิ่มภาระให้เขา หน้าที่ของฉันคือการยืนมองเขาจากทางด้านหลัง ไม่มีทางได้ยืนอยู่ข้างๆ เขาได้เลย ทุกอย่างที่เห็น...มันแค่ภาพลวง
“โอยามะ”
“ว่าไง”
“สอบเสร็จแล้วฉันขอกลับไปที่บ้านได้มั้ย ฉันคิดถึงอายู”
นานแล้วที่ฉันไม่ได้กลับไปหาเด็กผู้หญิงที่เปรียบเสมือนตัวแทนของฉันในวัยเด็กและทุกคนที่บ้านเด็กกำพร้า นับตั้งแต่ที่เกิดเหตุไฟไหม้ จนกระทั่งโอยามะสั่งให้คนสร้างที่นั่นใหม่ ฉันก็ได้แต่รับรู้เรื่องราวของทุกคนผ่านคำบอกเล่าเท่านั้นเอง แต่กลับไม่เคยไปเห็นหรือพูดคุยกับทุกคนที่ฉันคิดถึงสุดหัวใจด้วยตัวเองเลยสักครั้งเดียว
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันจะไปเป็นเพื่อนก็แล้วกัน”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงดีใจมากกับความใจดีของโอยามะ แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกหวาดระแวงไปหมด กลัวว่าเขาจะกำลังใจดีกับฉันเพราะเหตุผลบางอย่างที่เขากำลังพยายามปิดมันไว้
มันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ฉันจะได้รับความใจดีมากมายขนาดนี้จากผู้ชายที่เพิ่งจะโกหกฉันไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน...
ระยะทางจากแบล็กทาวน์ถึงแบล็กไลฟ์ไม่ได้ไกลมากนัก อาจเพราะส่วนหนึ่งมาจากความคิดในหัวของฉันที่กำลังตีกันวุ่นวายไปหมดทำให้ฉันไม่ทันจะได้สนใจบรรยากาศระหว่างทาง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โยชิจอดรถที่ลานจอดรถตรงหน้าลิฟต์
ฉันกับโอยามะแยกกันลงจากรถ ก่อนที่เราทั้งคู่จะเดินตรงไปในลิฟต์ ซึ่งถึงแม้เราจะยืนข้างกันเหมือนปกติ แต่กลับไม่มีคำพูดคุยใดๆ หลุดออกมาจากปากของเราเลย
โอยามะไม่ถามหรือพูดอะไรตั้งแต่ที่เราก้าวเท้าขึ้นรถมาจากแบล็กทาวน์ ส่วนฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาเหมือนกัน
มันเป็นการเดินทางที่เงียบเชียบที่สุดตั้งแต่ที่ฉันรู้จักโอยามะมา แต่ฉันรู้นะว่าเขาแอบมองฉันเป็นระยะๆ ซึ่งนั่นแหละที่น่าแปลก เขากำลังสงสัยว่าฉันเป็นอะไร แต่กลับไม่ถาม ทั้งที่การเค้นเอาความจริงจากปากของฉันมันไม่ใช่เรื่องยาก และก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำ
“ฮานะ”
แต่บทจะเรียกก็ทำเอาฉันสะดุ้งตกใจเหมือนกัน
“ว่าไง นายเป็นอะไรรึเปล่าโอยามะ ฉันว่าท่าทางนายดูแปลกๆ นะ” ฉันแสร้งถามยิ้มๆ เมื่อเขาเป็นคนเรียกฉันแต่กลับไม่ยอมพูดสักที ซึ่งทันทีที่ถามจบ ข้อมือของฉันก็ถูกโอยามะคว้าไปจับเอาไว้ก่อนที่เขาจะรั้งฉันเข้าไปกอด อ้อมกอดที่เริ่มทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดขึ้นทุกทีๆ
“ฉันขอโทษเรื่องโยชิ”
ฉันเดาไม่ผิดหรอกว่าเขาต้องรู้ว่าฉันรู้แล้วว่าเขาโกหก เพราะฉันเองก็ตั้งใจจะเตือนเขาตั้งแต่ที่บอกว่าโยชิซื้อขนมมาฝากแล้ว
“ช่างเถอะ”
“ฉันมีเรื่องจำเป็นต้องตกลงกับฮิมาวาริ” โอยามะอธิบายด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ซึ่งครั้งนี้ฉันรู้ดีว่าเขาไม่โกหกหรอก เขาคงจำเป็นมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โกหกฉัน
แม้คำอธิบายของโอยามะจะเป็นแค่คำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่มันมากพอจะบอกให้ฉันรู้ว่าเรื่องที่เขาจะต้องตกลงกับฮิมาวาริคงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอย่างฉัน...ไม่มีสิทธิ์ที่จะรับรู้
“ฉันเข้าใจ นายไม่ต้องคิดมากเพราะฉันหรอก อย่าเป็นกังวลเพราะฉันเลย” ฉันพยายามบอก
ฉันรู้สึกได้ตลอดเวลาว่าเขากำลังกอดฉันแน่นขึ้น แต่ยิ่งเขากอดฉันแน่นมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น อ้อมกอดของเขาไม่อบอุ่นเหมือนเดิม มันแน่นจนอึดอัด มันสั่นจนร่างกายของฉันพลอยสั่นไปด้วย
“หลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทั้งหมดจบ ฉันจะอธิบายให้เธอฟัง”
ก็รู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าคนอย่างฉันไม่มีสิทธิ์พอที่จะรู้...
ฉันได้แต่ยิ้มให้ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ผละตัวออกจากอ้อมกอดของโอยามะ ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับเขา ส่งยิ้มให้เขาอีกครั้งเพราะฉันอยากเห็นเขาสบายใจ ถ้าเลือกได้ ฉันจะยอมปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นถ้ามันจะทำให้เขาไม่หายไปไหน
“ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากรู้หรอก ฉันเชื่อว่าทุกอย่างที่นายทำ มันมีเหตุผล และเหตุผลทั้งหมดของนาย ก็คือเพื่อฉัน”
มันยากจะบอกให้ตัวเองเชื่ออย่างที่พูดออกไป แต่ถ้ามันจะทำให้ฉันยังคงได้มีโอกาสกอดเขาและอยู่ข้างๆ เขาแบบนี้ ฉันจะยอมเป็นแค่ผู้หญิงโง่ๆ ตลอดไปก็ได้
“ฉันรักเธอ” โอยามะกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ฉันส่งยิ้มให้โอยามะอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ พริ้มตาหลับลงเมื่อเขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ เสียงหัวใจเต้นแรงขึ้นทีละนิดๆ อุณหภูมิในร่างกายเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้รับสัมผัสที่แสนจะอ่อนโยนจากริมฝีปากที่ทาบลงมาสนิท
Rrrr~
เหมือนถูกกระชากให้ตื่นจากความฝันเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของโอยามะสั่นดังขึ้นมา
โอยามะค่อยๆ ละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งในขณะที่ฉันเองก็กำลังรู้สึกแบบนั้น ไม่อยากให้เขาหายไปไหน ไม่อยากให้เขาจากไป กลัวว่าเสียงที่ได้ยินจะกระชากฉันกลับขึ้นมาจากโลกของความฝัน
“เข้าไปพักเถอะ”
“อืม นายเองก็ควรจะพักบ้างนะ” ฉันบอกยิ้มๆ อย่างรู้หน้าที่ เพราะการที่โอยามะบอกให้ฉันเข้าไปพัก นั่นแปลว่าคนที่กำลังรอสายอยู่น่าจะมีธุระสำคัญ
บอกตามตรงว่าฉันไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าคนที่รอสายอยู่จะใช่ฮิมาวาริรึเปล่า
ฉันผละตัวออกมาจากโอยามะแล้วเดินตรงไปที่ห้องนอน ทันทีที่ปิดประตูห้องลงได้ ฉันก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ และยังคงยืนจ้องบานประตูห้องอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที
ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย มันสับสน ปั่นป่วน และว้าวุ่นไปหมด ทั้งที่พยายามจะบอกตัวเองว่าเขาจะต้องจัดการทุกอย่างได้ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงยังกลัว
“แน่ใจนะ” น้ำเสียงเข้มๆ ดังมาจากอีกฟากของประตูทำให้ฉันต้องลอบกลืนน้ำลาย
“บอกให้ทุกคนรอคำสั่งจากฉัน ฉันจะต้องปิดบัญชีนี้ให้เร็วที่สุด”
ปิดบัญชีเหรอ แปลว่าจะต้องมีคนตายอีกแล้วสินะ...
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งฉันจะต้องคุ้นชินกับความรู้สึกพวกนี้
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังจนฉันสะดุ้งทั้งที่ยืนอยู่ห่างจากประตูไม่ถึงสองก้าว ต้องรีบเอื้อมมือไปเปิดประตูเพราะดันเผลอกดล็อกเอาไว้เมื่อครู่
“ล็อกประตูทำไม” โอยามะถามเสียงขุ่น
“มือไปโดนน่ะ ไม่ได้ตั้งใจ” ฉันตอบยิ้มๆ ก่อนจะเดินมาที่โต๊ะหนังสือแล้ววางกระเป๋าเป้เอาไว้บนนั้น ส่วนโอยามะก็เดินไปนั่งลงที่ปลายเตียง เขากำลังดึงเนกไทออกจากคอเสื้อ แต่สายตากลับมองมาที่ฉันเป็นระยะๆ
“นายมีอะไรก็พูดมาเถอะโอยามะ เอาแต่มองแบบนี้ฉันอึดอัด” ฉันตัดสินใจพูดเมื่อรู้สึกว่าทนต่อสายตากดดันของเขาไม่ไหว ซึ่งก็เป็นการคาดเดาที่ถูกอีกเหมือนเคย และถ้าให้ฉันเดาต่อ ฉันคิดว่าฉันก็น่าจะยังเดาถูกอีกเหมือนเคยว่าโอยามะจะพูดอะไร
“อาทิตย์หน้าฉันต้องไปงานเลี้ยงของกระเรียนทองกรุ๊ป”
นี่ถ้าฉันเสี่ยงโชค ก็คงได้เพราะดวงดีไม่ใช่เล่น
“อืม”
“ฮานะ”
“ฉันรู้โอยามะ ฉันรู้” ฉันพยายามบอกอย่างเข้าใจ
ถึงเบื้องหน้ากระเรียนทองกรุ๊ปจะยังปีกกล้าขาแข็ง แต่เบื้องหลังนั้นมันเป็นของแบล็กสกอร์เปี้ยนไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โอยามะจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงของฝั่งกระเรียนทองกรุ๊ปบ้าง ซึ่งต่อหน้าก็อาจไปในฐานะแขก แต่แท้จริงแล้วเขาไปในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือประธานกระเรียนทองกรุ๊ปต่างหาก
“ขอบคุณที่เข้าใจ”
“ถ้าฉันอยากจะขอไปกับนายด้วยจะได้รึเปล่า” ฉันลองเสี่ยงที่จะถามออกไป แม้มันจะเป็นอีกหนึ่งคำถามที่ฉันรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าไม่มีทาง ซึ่งก็จริง เพราะทันทีที่ฉันถามจบ โอยามะก็ยังคงเอาแต่มองหน้าฉันกลับมานิ่งๆ ซึ่งเพียงแค่นั้นมันก็มากพอจะยืนยันแล้วว่าฉันไม่มีสิทธิ์
“ไม่เป็นไร ฉันรอนายกลับมาก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องรอ”
“วะ ว่าไงนะ”
“ฉันหมายถึงฉันอาจจะกลับดึกน่ะ”
ทำไมยิ่งคุยกับเขาฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีนะ
“ฉันจะรีบเคลียร์ปัญหาทั้งหมดให้จบ ฉันสัญญา” โอยามะบอกอย่างมั่นใจแล้วลุกขึ้นมาเพื่อกอดฉันเอาไว้อีกครั้ง
”ฉันจะอยู่เพื่อปกป้องเธอตลอดไป”
ไม่เคยมีครั้งไหนที่คำสัญญาของเขาจะทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวได้เท่าครั้งนี้เลย คำว่าตลอดไป มันนานแค่ไหนกันนะโอยามะ...