โจรสาว

1890 Words
ตึก! ตึก! ตึก! “อีตอง! อีตองรอกูด้วย” เสียงเพื่อนสนิทตะโกนดังไล่หลัง​ พร้อมกับเสียงฝีเท้าของคุณตำรวจวิ่งตามอย่างไม่ลดละ มือเล็กกำสร้อยแน่นเท้าวิ่งฉับ ๆ อย่างว่องไว ฟิ้ว ตองเก้าอาศัยความคล่องตัวที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจวบจนอายุยี่สิบสาม วิ่งหนีตำรวจที่วิ่งไล่จับโจรกระชากสร้อยอย่างเธอด้วยความรวดเร็ว มิจฉาชีพสาวกระโดดข้ามรั้วหลบอยู่หลังพุ่มไม้ อาศัยความมืดเข้าช่วย แล้วมันก็ดีอย่างที่คิดมันพรางตัวจนลุงตำรวจพุงพลุ้ย​หาเธอไม่เจอ “ฟูว์ นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว” ตองเก้าพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พลางกวาดสายตามองซ้ายมองขวา มือเล็กชูสร้อยคอทองคำน้ำหนักประมานสามบาทที่เธอเพิ่งกระชากมาหมาด ๆ อย่างภาคภูมิใจ วันนี้เธอก็ทำสำเร็จอีกครั้ง... มิจฉาชีพสาวรอจนตำรวจที่กำลังตามเธอวิ่งไปอีกทาง ร่างเล็กก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหลังป่าช้า มันเป็นสถานที่นัดหมาย เวลาที่ฉกชิงวิ่งราวของมีค่ามาได้ เธอกับเพื่อนก็จะรวมตัวกันอยู่ที่นั่น “อีตองอีตะไลวิ่งไม่รอกูเลย” เสียงก่นด่าของเพื่อนรัก ทำเธออยากจะกรอกตามองบนสักพันรอบ เมื่อไอ้หมัดเอ่ยทักทายด้วยคำพูดที่แสนจะหยาบคาย​ “อะไรของมึง” ตองเก้าเอ่ยตอบอย่างหงุดหงิด “นับวันยิ่งวิ่งเร็วนะมึง มึงรู้ไหมว่ากูเกือบไม่รอด ตำรวจที่เคยวิ่งไล่กูทุกวันเพิ่มเลเวลความเร็วขึ้นมาแล้วนะมึง” หมัดนั่งหอบหายใจรัวเร็ว “ถ้ามันเพิ่มเลเวลขึ้นมามึงก็ต้องอัพเกรดให้ดีกว่าเดิม มึงต้องวิ่งและสับขาหลอกให้ดี มึงดูกูไว้เป็นตัวอย่างสิ ปราดเปรียวว่องไว ไล่จับกูแทบทุกวันแต่ก็ไม่เคยทันกู” “พูดง่ายแต่ทำยากนะมึง” “แม่ง! กูวิ่งลิ้นแทบห้อยออกมา เหนื่อยฉิบหาย กูวิ่งเก่งวิ่งทุกวันขนาดนี้กูน่าจะไปแข่งโอลิมปิก​ วิ่งหนีตำรวจแทบทุกวัน” โขงเพื่อนร่วมขบวนการอีกคนเอ่ย “เขาไม่เอาไอ้เป๋อย่างมึงไปวิ่งหรอก ไม่รู้ว่าขาเป๋ ๆ ของมึงจะพาร่างมึงวิ่งหนีตำรวจได้สักกี่น้ำ กูกลัวว่าอีกไม่นาน มึงจะโดนตำรวจจับสักวันน่ะสิ” “ไม่มีทางหรอกโว้ย เห็นขาเป๋อย่างนี้วิ่งเร็วนะเว้ย วิ่งทีฉับ ๆ ไอ้ตำรวจอ้วนเป็นตือโป๊ยก่ายไม่มีวันทันกูแน่นอนฮ่า ๆ” “ให้มันจริงเถอะ วิ่งเป็นหมาหอบแดดแบบนี้ กูว่าสักวันต้องพลาดแน่ ๆ” “ก่อนจะพลาดก็ขอกอบโกยให้มากที่สุดก่อนแล้วกัน ภาระข้างหลังมีมากมาย เศรษฐกิจแบบนี้ทำงานอื่นก็ไม่พอกิน” “แต่วิ่งทุกวันอย่างนี้เหนื่อยชะมัด กูกลัวว่าวันไหนเราจะพลาดสักวัน ถ้าเป็นไปได้กูอยากจะรับงานใหญ่ ๆ แล้วเลิกเป็นโจรเป็นขโมยสักที” ไอ้หมัดเอ่ย “อยากจะเลิกแต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็มันไม่มีงานใหญ่ให้ทำ อีกอย่างก็เพื่อเงินทั้งนั้นแหละ เลิกก็ไม่ได้ด้วย ถ้าเลิกแล้วกูไม่มีเงินป้าดวงสมรบ่นกูหูชาแน่” “นั่นสิ ป้ามึงด่าแต่ล่ะที รัวเป็นจังหวะเเร็ปเลย” “อืม อะนี่พรุ่งนี้มึงเอาไปขายนะ” ตองเก้ายื่นสร้อยคอทองคำให้เพื่อนรัก ทั้งสามคนทำงานเป็นทีมฉกชิงวิ่งราวแล้วเอาเงินมาแบ่งกัน “ว่าแต่หาเหยื่อต่อไหมวะ” “ไม่ กูเหนื่อยอยากกลับบ้านแล้ว” “แล้วจะกลับเลยไหม?” “กลับเลย พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ว่าจบเธอก็เดินลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ แถวป่าช้าแล้วทะลุออกไปสลัมบ้านที่เธออาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก เท้าเล็กย่ำไปตามพื้นคอนกรีต​จนกระทั่งถึงบ้านไม้หลังหนึ่ง ป้าของตองเก้าเป็นแม่ค้าขายหอย เอ้ย! ขายหวยใต้ดิน และชอบตั้งวงไพ่ บางวันตำรวจจับป้าเธอก็ไปนอนเล่นที่มุ้งสายบัวให้ยุงกัดเล่นประจำ “อีตอง” เสียงทรงพลังดังขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นป้าดวงสมรป้าของหล่อนเอง ป้าดวงสมรท้าวสะเอวมืออีกข้างถลกผ้าถุงขึ้น แกคงพร้อมที่จะพ่นคำด่าทอใส่เธออีกเป็นแน่ “อะไรป้า” “ไหนเงินเอามาให้กูสิ กูจะไปต่อทุน” “ไม่มีหรอก” ตองเก้า​ปฏิเสธ​ ป้าของเธอเป็นคนขี้งกขี้บ่น ต่อให้พยายามทำงานงก ๆ หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอใช้ ที่เธอต้องไปฉกชิงวิ่งราวก็เพราะต้องหาเงินมาไว้ให้ป้าตัวดีใช้จ่าย ถ้าไม่มีเงินป้าของเธอจะบ่นจะแซะจะแขวะจนตองเก้าทนไม่ไหว ต้องออกไปหางานทำ ส่วนงานของเธอมันก็คืองานที่คนทั่วไปเกลียด ถึงมันจะเป็นอาชีพที่แย่แต่ไม่มีงานไหนที่ได้เงินดีเท่าเป็นโจรอีกแล้ว “ป้าอย่าบ่นได้ไหมฉันง่วงนอน” “นังเด็กคนนี้ นับวันยิ่งปากดีตอนเด็ก ๆ ฉันน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากแกให้ตายไป แกจะได้ไม่ต้องมาต่อปากต่อคำกับฉันอยู่แบบนี้ นังหลานไม่รักดีนังหลานอกตัญญู” “หูย ป้านี่บ่นเก่งจริง ๆ บ่นจนลุงตายไปคนแล้ว บ่นได้บ่นดีเสีย​สุขภาพ​จิตชะมัด” “อีตองอีหลานเวร!” “เฮ้อ” ตองเก้าถอนหายใจแล้วรีบเดินไปหลังบ้าน โดยไม่สนใจเสียงด่าทอของผู้เป็นป้า ถ้าเธอไม่แสร้งทำไม่สนใจไม่ได้ยิน ต่อล้อต่อเถียงต่อปากต่อคำกับแก แกไม่จบง่าย ๆ ป้าของเธอเป็นแชมป์ด่าประจำสลัม ถ้าจะให้เถียงกับแก วันนี้ทั้งคืนเธอก็คงจะไม่ได้นอน วันต่อมา “โอ้โห! ยอดผู้ติดเชื้อโควิด ทำไมมันพุ่งทะยานแบบนี้วะ ฉิบหายแล้วถ้ามันยังติดเชื้อกันอยู่แบบนี้วงไพ่ของฉันก็คงต้องงดล่ะสิ” ดวงสมร​บ่นพร้อมกับ​ทำท่าทางหัวเสีย “....” “ไอ้พวกตะไลเนี่ยอยู่มาเจ็ดแปดปีไม่มีประโยชน์อะไรเลย พวกมนุษย์ถ้ำพวกเต่าล้านปี ทำไมไม่รู้จักให้คนหนุ่ม ๆ เขาเข้าไปบริหารบ้าง ไอ้พวกแก่ ๆ แบบนี้ควรปลดระวางได้แล้ว ฉันละเบื่อจริงๆ อยู่มาไม่มีประโยชน์ห่าเหวเลย เขาจะอดตายกันอยู่แล้ว” ตองเก้าเดินเข้ามาในครัวพร้อมกับต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน พยายามไม่สนเสียงก่นด่าที่แกด่าผู้บริหารประเทศ​ซะยับเยิน “อีตอง มึงจะกินอะไรแต่เช้าวะ” “ขนาดป้ายังกินเลย” “เอ้าอีนี่” “หยุดพูด ถ้ายังบ่นอีกฉันจะไม่เอาเงินให้ป้าอีก” ตองเก้าขู่และมันก็ได้ผลป้าของเธอเงียบปากแล้วนั่งดูข่าวไม่พูดไม่จา ตองเก้ายกยิ้มมุมปากก่อนจะต้มบะหมี่แล้วนั่งทานดูข่าวเงียบ ๆ ไม่ต่างกัน เธอต้องกินเยอะ ๆ เพราะว่าตอนกลางคืนเธอจะต้องไปหาเหยื่ออีก เธอไม่ชอบวิ่งราวตอนกลางวัน เพราะทางหนีทีไล่มันไม่ง่ายเหมือนตอนกลางคืน ช่วงหัวค่ำช่วงมืด ๆ เธอจะไปนั่งที่ป้ายรถเมล์แล้วดูว่าใครมีสร้อยแหวนเงินทองอะไรบ้าง ส่วนใหญ่คือจะเล็งเป้าหมายคนที่ใส่สร้อยเส้นใหญ่ ๆ มากกว่า “ฉันจะไปข้างนอกนะป้า” “กูก็เห็นมึงไปอยู่ทุกวันมึงจะขออนุญาตทำห่าอะไร” “ถ้าฉันไม่ขออนุญาตป้าตอนเย็นกลับมาป้าก็จะต้องบ่นฉัน หาเรื่องฉันว่าฉันไปไม่บอกไม่กล่าว สู้ฉันบอกตั้งแต่ตอนนี้ให้ป้าบ่นดีกว่าป้าไปบ่นยาว ๆ ให้ฉันฟังตอนฉันจะนอน บางครั้งฉันก็รำคาญนะป้าที่ป้าชอบบ่นชอบด่า แต่ถ้าขาดเสียงด่าของป้าไปมันคงจะเหงาพิกล” “อีเด็กเวรจะไปไหนก็ไปอย่ามาปากดี” “ฉันไปแล้วนะป้า” ว่าจบตองเก้าก็รีบก้าวเท้ายาว ๆ ไปที่ป่าช้าหลังวัด เพื่อนรักของเธอนั่งรออยู่ข้างศาล ในมือกำลังนับเงินไปด้วย ตองเก้ารีบเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะแย่งเงินมานับเอง เธอนับทีล่ะใบจนกระทั่งถึงใบสุดท้าย นัยน์ตาเรียวเล็กจ้องมองเพื่อนรักทั้งสองตาเขม็งก่อนจะชูธนบัตรแบงค์พันปึกนั้นให้ชายทั้งสองดู “มันขาดไปสองใบพวกมึงตั้งใจจะโกงกูเหรอ?” “เปล่าสักหน่อย สร้อยมันขายไม่ค่อยได้ราคาต่างหากล่ะ” “โถไอ้เพื่อนเวร ราคาทองเมื่อวานกูก็ไปดูราคามันอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะโดนหักไปตั้งสองพันถ้ามึงไม่ได้มุบมิบ​กู” “พวกกูเปล่ามุบมิบมึงสักหน่อย” “จะเอาออกมาดี ๆ หรือจะให้กูต้องใช้กำลังกับพวกมึง พวกมึงก็รู้นิสัยกูดีนะว่า ถ้ากูโกรธพวกมึงจะเป็นยังไง” มือเล็กยกกำปั้นขึ้น พร้อมกับจ้องมองทั้งสองอย่างเอาเรื่อง “อ้ะ ๆ” ไอ้หมัดล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกงออกมาสองใบยื่นให้ตองเก้า เธอยกยิ้มมุมปากเบา ๆ แล้วรับเงินมาจากนั้นก็จะแจกแบ่งเงินออกเป็นสามส่วน ถึงจะได้น้อยแต่มันก็ดีกว่าที่เธอต้องไปรับจ้างรายวัน ค่าแรงแค่สามร้อยกว่าบาทส่วนค่าครองชีพนะเหรอแพงหูดับเลย “ช่วงนี้เราได้เงินน้อยไปนะ ตอนเย็นเราจะต้องวิ่งราวให้ได้อย่างน้อยสามคนเราถึงจะอยู่ได้” “ตอนเย็นค่อยว่ากันแล้วกันว่าแต่ตอนนี้กูหิวไปหาอะไรกินกันดีกว่า ไปกินส้มตำกันไหมวะ” โขงเอ่ยขึ้น “กูอยากกินส้มตำถาดรีบไปกันเถอะ ว่าแต่มึงเลี้ยงใช่ไหมอีตอง” “กูจะไม่เลี้ยงมึงก็ตรงมึงเรียกจิกหัวกูนั่นแหละ เมื่อไหร่มึงจะเลิกเรียกกูว่าอีสักทีวะไอ้เวรตะไล” “ถ้ามึงอยากให้กูเลิกเรียกมึงมึงก็ต้องเลิกด่ากูแบบนี้สักที” “พอ ๆ พอเลิกเถียงกันไปกินส้มตำกันดีกว่า” พูดจบทั้งสามก็เดินเคียงข้างกันเพื่อไปกินส้มตำ ที่ร้านประจำในตลาดทันที “ป้าแดงส้มตำถาดชุดใหญ่​ไฟกระพริบ” “ได้เลย ว่าแต่หายหน้าหายตาไปนานนะช่วงนี้” “ช่วงโควิด ใครจะอยากออกไปไหนล่ะป้า” “เฮ้อ มันก็จริงเนาะ แล้ว...” “รีบ ๆ ไปตำส้มตำเถอะอย่าพูดมากหน่อยเลย พวกฉันอยากกินส้มตำที่อร่อยที่สุดแล้ว” โขงเอ่ยพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม “ได้จ้า รับรองว่าอร่อยจนต้องร้องขอชีวิต​แน่นอน” ป้าแดงว่าจบก็รีบควงสากโชว์ลีลาการตำส้มตำที่อร่อยที่สุดในสามโลกทันที และแน่นอนว่าเด็กพวกนี้ต้องอร่อยจนซี๊ดปากแน่นอน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD