“แม่ง ส้มตำเผ็ดมาก” ตองเก้าเอ่ยพร้อมใช้มือพัดปากที่แสบร้อนของตัวเองเบา ๆ ท้องก็ปั่นป่วนเพราะพิษพริกที่เผ็ดร้อน เหมือนกับตกอยู่ในนรก
“มึงเชื่อไหมว่ากูเผ็ดจนปากบาน น้ำลายนี่ไหลย้อยเลย ขี้มูกก็ไหลจนน่าเกลียดอีก หูก็อื้ออึงทรมานชะมัด แต่ส้มตำแม่งก็อร่อย” หมัดเอ่ย
“ที่มาของคำว่าเผ็ดหูดับ อร่อยปากลำบากท้องกับตูด เวลาขี้แสบสุด ๆ เลยนะมึง” ตองเก้าบ่นอุบ ริมฝีปากของเธอร้อนมากราวกับมีไฟสุม แสบร้อนหูก็อื้ออึงจนแทบทนไม่ได้
“โอ้ย แสบท้องไปหมด แม่งเอ้ย! ทรมานกูชะมัด กินวันเดียวทรมานแทบตาย สงสัยต้องงดไปเป็นอาทิตย์ สงสารกระเพาะมันคงร้องไห้แล้วมั้ง” โขงเอ่ย
“อืม พักก่อนสักอาทิตย์แล้วกัน แล้วพวกเราค่อยกินอีก ทรมานแบบนี้ไม่ไหวแน่ ๆ หิวก็ทนเอาแล้วกัน วันหลังกินก๋วยเตี๋ยวกินอะไรอย่างอื่นดีกว่า”
“อืม” ทั้งสามเดินเคียงกันไปจนกระทั่งสายตาไปสะดุดกับรถราคาแพงที่วิ่งเข้าไปในวัด
“กูอยากจะมีเงินซื้อรถแบบนี้สักคัน” หมัดเอ่ย
“จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อตอนนี้แค่จะมีกินไปวัน ๆ ก็ยังแทบจะไม่มี ไหนจะลูกกูอีกแค่นี้กูก็แย่แล้ว”
“นั่นน่ะสิตั้งแต่มีโควิคเข้ามาอะไรก็แย่ไปหมด ขนาดงานของเราก็ยังไม่ค่อยมีเลย”
“ช่วงนี้เราต้องประหยัด เผื่อหาเหยื่อไม่ได้เราจะได้ไม่ลำบากกัน แต่คนที่แย่สุดคือมึงไอ้โขง เพราะมึงมีลูกเล็กที่กำลังกินเลย แล้วแม่งของเด็กก็มีแต่แพง ๆ”
“เด็กอะ จะให้ประหยัดกินอด ๆ อยาก ๆ เหมือนคนโตไม่ได้หรอกนะ ถ้ามันสุดจริง ๆ กูก็คงจะต้องไปขอข้าววัดไปต้มให้ลูกกูกินเหมือนทุก ๆ ครั้งนั่นแหละ แย่จริง ๆ” โขงทำหน้าเศร้า
“เฮ้อ กูถึงบอกว่าอย่าเพิ่งมีเมีย เห็นไหมว่ามันลำบากแค่ไหน ดูกูกับอีตองสิขนาดไม่มีพันธะเหมือนมึง พวกกูยังลำบากเลย”
“กูน่ะลำบากเพราะป้ากู”
“ฮ่า ๆ จริง”
“ไอ้โขงลูกมึงกี่เดือนแล้ววะ”
“สิบเอ็ดเดือนแล้ว แต่ดีหน่อยที่แม่กูช่วยเลี้ยง ทำให้กูออกมาหาเงินไปจุนเจือครอบครัวได้ ส่วนเมียกู...” โขงทำหน้าเศร้าเตรียมดราม่า
“พอ ๆ มึงไม่ต้องเล่า อีเหมยทิ้งมึงกับลูกไปเอาผัวใหม่ มึงเล่าให้กูฟังเป็นพันรอบแล้ว”
“มึงก็พูดเวอร์นะอีตอง”
“เดี๋ยวกูซื้อโจ๊กให้ลูกกับแม่มึง”
“มึงนี่ใจดีสุด ๆ เลยอีตอง”
“ตอนนี้ปากหวานเชียวนะมึง”
ตองเก้าจัดแจงซื้อโจ๊กเจ้าประจำให้โขงแล้วถือเดินไปบ้านเช่าในสลัมเดียวกันที่ทั้งสามพักอาศัยอยู่ ทารกน้อยนั่งอยู่ในคอกไม้ ดีดตัวลุกขึ้นเมื่อเจอหญิงสาว
“ลูกมึงน่าเกลียดน่าชังจังวะ” ตองเก้าอุ้มทารกน้อยมาอุ้มพร้อมกับฟัดแก้มหอมแก้มนุ่มเบา ๆ
“ชมพู่คงจะชอบมึง ดูสิหัวเราะคิกคักน่าเป็นเชียว”
“ป้าอร ตองซื้อโจ๊กมาฝากค่ะ”
“ขอบใจตองมาก ๆ เลย นี่ป้าก็ว่าจะไปหาอะไรให้ชมพู่กินอยู่พอดีเลย”
“จ้ะ ไอ้หมัดเอาโจ๊กให้ป้าอร”
“ได้ ๆ” หมัดรีบเอาโจ๊กให้เอมอร
“ขอบใจจ้ะ เออ โขง ตอนเย็นซื้อนมมาให้ชมพู่ด้วยนะ นมใกล้หมดแล้ว” เอมอรเอ่ยกับบุตรชาย
“ครับแม่”
“อืม ดูนังหนูให้แม่ก่อนเดี๋ยวแม่ไปเอาโจ๊กใส่ถ้วยให้ชมพู่ก่อน เออ อย่าลืมไปจ่ายค่านมค่าเเพมเพิสกับค่าของกินร้านเฮียเส็งนะ เขาทวงแล้ว”
“แล้วมันเท่าไหร่แม่”
“ร่วมค่ากิน ของใช้ค่าแพมเพิสค่านมค่าอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ก็หลายพันอยู่”
“เดี๋ยวตอนเย็น ๆ ผมเอาไปจ่ายเองครับ”
“เป็นหนี้ก็ต้องรีบจ่าย จ่ายแล้วถ้าไม่มีเงินเราก็ยังไปเชื่อแกได้อีก”
“ครับ” โขงยิ้มแล้วมองตามหลังมารดาที่เดินเข้าไปในครัวแล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ “จ่ายหนี้หมดจะเหลือเงินเท่าไหร่วะเนี่ย ค่าเช่าห้องค่าน้ำค่าไฟก็ยังไม่ได้จ่ายเลย”
“มึงเหนื่อยใช่ไหมวะ” ตองเก้าเอ่ยถามเพื่อนอย่างห่วงใย
“เหนื่อย แต่ก็ต้องสู้แหละ ทำไงได้ล่ะตังค์ไม่มีเรียนไม่จบ หางานดี ๆ ทำก็ยากมาทำอาชีพที่เราทำกัน ก็ใช่ว่าจะมีเงินเข้ามาทุกวัน พวกเราวิ่งราวแทบทุกวัน แต่เหยื่อของเราส่วนมากชอบใส่ของปลอม”
“ก็เศรษฐกิจไม่ดีใครเขาจะอยากใส่ของจริงกันล่ะ ได้ทองจริงบ้างไม่ได้บ้างก็ต้องทำใจเหรอวะ ทำยังไงได้ล่ะ เศรษฐกิจแบบนี้ ช่วงโรคระบาดแบบนี้ ใครก็แย่กันหมด”
“กูอยากจะมีงานใหญ่ ๆ สักงาน ได้เงินคนสิบล้าน เลิกเป็นโจรไอ้โขงกูมึงจะได้สบาย” หมัดเอ่ย
“เฮ้อ”
“มึงอย่าเพิ่งพูดเรื่องโจรให้หลานกูฟังได้ไหมวะ เอาไว้คุยกันทีหลัง เราอย่าเพิ่งมาคุยต่อหน้าเด็ก ถึงตอนนี้เขาจะยังไม่รับรู้แต่กูเชื่อว่าเขาต้องซึมซับแน่นอน เพราะฉะนั้นมึงหุบปากไปเลยไอ้หมัด” ตองเก้าเอ่ยเสียงขุ่น เพื่อตัดบทสนทนาที่กำลังทำให้เพื่อนรู้สึกหนักใจ
“เออ ๆ”
“เด็กดีของแม่ตอง อย่าดื้อกับพ่อนะคะ พ่อโขงกำลังทำทุกอย่างเพื่อให้หนูกับย่านะคะ”
“แอ้ ๆ หม่ำ ๆ”
“ดูสิ อยากพูด น่ารักน่าเอ็นดูเชียว น้องชมพู่ไปหาพ่อแป๊บเดี๋ยวแม่ให้ตังค์ซื้อนม” ตองเก้ายื่นทารกน้อยให้ผู้เป็นบิดา
“ใจดีตลอดอีตอง” หมัดเอ่ย
“เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิวะ ถ้ามึงมีลูกแล้วลำบาก กูก็จะช่วยเหมือนที่ช่วยไอ้โขงนั่นแหละ ถ้ามึงอยากรู้ว่ากูจะช่วยมึงไหมมันก็ลองมีลูกมีเมียดู แต่เมียมึงต้องทิ้งมึงเหมือนไอ้โขงนะ”
“เสียใจกูไม่เอาเมียว่ะ กูเห็นไอ้โขงร้องไห้จะเป็นจะตาย ตอนที่เมียมันทิ้ง กูก็กลัวแล้วว่ะ กูกลัวกูหอนเหมือนมัน” หมัดเอ่ยอย่างเข็ดขยาด
ตอนที่โขงเพื่อนรักของเขาถูกเมียทิ้ง ร้องไห้ฟูมฟายเป็นหมา เขาต้องกินเหล้าแล้วนอนเห่าหอนด้วยเกือบเดือน กว่าจะผ่านมาได้ เล่นเอาเขากับตองเก้าแทบแย่เหมือนกัน
“นี่เงิน เอาไปไว้ซื้อนมซื้อข้าวให้ลูกมึงกิน เก็บไว้ซื้อให้แม่มึงกินด้วย” ตองเก้ายื่นเงินแบงก์พันให้
“ใช้หนี้หมด กูยังพอมีเงินอยู่ มึงเก็บไว้ก่อนมึงก็ลำบากเหมือนกัน ถ้ามึงไม่มีเงินให้ป้ามึง รับรองมึงโดนบ่นหูชาเป็นแน่” โขงรีบปฏิเสธ ถึงแม้ว่าเขาจะลำบากแต่เขาก็ไม่อยากจะเบียดเบียนเพื่อน ตองเก้าก็ไม่ใช่คนมีตังค์ ลำบากเหมือนกันแค่ลำบากคนละอย่างเท่านั้นเอง
“แต่ยังไงป้ากูก็ไม่ลำบากเหมือนมึงไง อีกอย่างกูก็ไม่มีลูกเล็ก ป้ากูก็ไม่มีลูก ส่วนมึงกับลูกกับแม่มึงลำบากกว่ากูเยอะ เพราะฉะนั้นมึงเก็บเงินจำนวนนี้เอาไปไว้ซื้อนมให้ลูกมึง”
“แต่...”
“มึงรับไปเถอะ ส่วนนี่ส่วนของกู กูให้มึงพันนึง เอาไปซื้อนมกล่องใหญ่มาไว้จะว่ากินสักเดือนนึงเลย มึงจะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดเรื่องนมลูกมึง” หมัดเอ่ยพร้อมกับยื่นธนบัตรแบงค์พันให้เพื่อน โขงได้แต่มองเพื่อนรักทั้งสอง น้ำตาลูกผู้ชายของเขาหลั่งไหลออกมาทันที เมื่อได้เห็นทั้งสองแสดงความห่วงใยเขากับลูกและครอบครัวอย่างชัดเจน
“กูขอบใจพวกมึงมาก ๆ นะ ถ้าไม่มีพวกมึงค่อยช่วยเหลือ กูก็คงแย่เหมือนกัน”
“มึงอย่าคิดมากเลยเอาไว้วันไหนที่เราได้รับเงินเยอะ ๆ หรือมีงานใหญ่ให้ทำ เราจะทำแล้วเลิกเป็นโจรกันสักที”
“ขอบคุณพวกมึงมาก ๆ จริง ๆ ขอบคุณจากหัวใจของกูเลย” โขงเอ่ยขอบคุณ นี่สินะเขาเรียกว่าเพื่อนแท้ เพื่อนที่ช่วยเหลือกันยามลำบาก ถึงจะกินหัวกันเป็นบางครั้ง แต่เวลาที่ลำบากทั้งสามจะช่วยเหลือกันอยู่เสมอ
ตกเย็นของวันนั้น ตองเก้าอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มรองเท้าผ้าใบสีดำ ผมดำขลับถูกรวบเป็นหางม้า มือเล็กคว้าหน้ากากอนามัยมาสวมใส่ แล้วรีบเดินออกมาจากห้อง
“อีตองมึงจะไปไหน” ดวงสมรรีบเอ่ยถามเมื่อเห็นอาการเร่งรีบของหลานสาว
“ไปทำงานสิป้า แล้วป้าล่ะวันนี้ไม่มีบวกเลขกันเหรอ”
“จะไปบวกหาหอกอะไรล่ะ โควิดใครจะกล้า อันตรายจะตาย”
“ป้ากลัวตายตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แต่โควิดมันไม่กล้าทำไรป้าหรอก เพราะมันกลัวปากป้า”
“โถ อีหลานเวร หลานเชี่ย มึงจะไปไหนก็ไปอย่ามาปากดี”
“งั้นฉันไปแล้วนะ” ตองเก้าไหวไหล่แล้วเดินออกมา เธอเดินมาสมทบกับเพื่อนสนิทอยู่ที่หลังป่าช้าแล้วเดินไปหาเหยื่อพร้อมกัน
ตองเก้าเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อหาเหยื่ออยู่แถวป้ายรถเมล์ แต่ทว่าวันนี้มันกลับเงียบพิกล ไม่มีใครมานั่งรอรถเมล์หรือยืนให้เธอวิ่งราวเลย
“ทำไมวันนี้มันไม่มีเหยื่อเลยวะ” หมัดบ่นพร้อมกับกวาดสายตาไปมาวันนี้มันเงียบเงียบจนผิดปกติ
“นั่นน่ะสิ”
“เราไปหลังตลาดกันไหม ไปดูว่าจะมีเหยื่อให้เราจัดการอยู่ที่นั่นหรือเปล่า”
“แต่หลังตลาดมันโจ่งแจ้งเกินไปอีกอย่างมันใกล้สถานีตำรวจด้วย ถ้าโดนตำรวจจับมาซวยเลยนะมึง” โขงเอ่ย
“แต่ถ้าจะมายืนรอจนถึงสว่างไม่มีเหยื่อให้เราวิ่งราว นั่นคือพรุ่งนี้เราจะไม่มีเงินเข้ากระเป๋า เงินกูก็ไม่ใช่ว่าจะมีเยอะส่วนมึงก็ต้องใช้เงินไม่ใช่เหรอ เราจะมาเสียเวลาไม่ได้ ถ้ามันไม่มีตรงนี้เราก็ต้องรีบไปดูที่หลังตลาด” หมัดเอ่ย
“งั้นก็รีบไป อย่าชักช้าถ้าดึกกูง่วง”
“อืม”
ผ่านไปอีกสามช่วงโมง พระจันทร์คล้อยต่ำจนแทบจะลาลับ ทั้งสามยังคงยืนที่มุมมืดหลังตลาด
แปะ! แปะ! แปะ!
“เชี่ย จะแดกกูให้หมดตัวเลยหรือไงวะไอ้ยุงนรก” ว่าพลางตบยุงไปด้วย
“แสบขาไปหมดแล้วเนี่ย”
“เฮ้อ คนไปไหนหมดวะ”
“กูนี่อย่างเซ็งเลยวะ เฮ้อ วันนี้แม่ค้าก็น้อยคนเดินตลาดก็ไม่มี ปกติคึกคักจะตาย วันนี้มันวันนรกแตกวันโลกาวินาศหรือไงวะ” หมัดบ่น
“รออีกสามสี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว กูจะรอแค่สว่างเท่านั้น มีไม่มีค่อยว่ากันอีกที”
“อืม เซ็ง ๆ กูเซ็ง”
“เฮ้อ”