“อืม เซ็ง ๆ กูเซ็ง”

1923 Words
“แม่ง ส้ม​ตำเผ็ดมาก” ตองเก้าเอ่ยพร้อมใช้มือพัดปากที่แสบร้อนของตัวเองเบา ๆ ท้องก็ปั่นป่วนเพราะพิษพริกที่เผ็ดร้อน เหมือนกับตกอยู่ในนรก “มึงเชื่อไหมว่ากูเผ็ดจนปากบาน น้ำลายนี่ไหลย้อยเลย ขี้มูกก็ไหลจนน่าเกลียดอีก หูก็อื้ออึงทรมานชะมัด แต่ส้มตำแม่งก็อร่อย” หมัดเอ่ย “ที่มาของคำว่าเผ็ดหูดับ อร่อยปากลำบากท้องกับตูด เวลาขี้แสบสุด ๆ เลยนะมึง” ตองเก้าบ่นอุบ ริมฝีปากของเธอร้อนมากราวกับมีไฟสุม แสบร้อนหูก็อื้ออึงจนแทบทนไม่ได้ “โอ้ย แสบท้องไปหมด แม่งเอ้ย! ทรมานกูชะมัด กินวันเดียวทรมานแทบตาย สงสัยต้องงดไปเป็นอาทิตย์ สงสารกระเพาะมันคงร้องไห้แล้วมั้ง” โขงเอ่ย “อืม พักก่อนสักอาทิตย์แล้วกัน แล้วพวกเราค่อยกินอีก ทรมานแบบนี้ไม่ไหวแน่ ๆ หิวก็ทนเอาแล้วกัน วันหลังกินก๋วยเตี๋ยวกินอะไรอย่างอื่นดีกว่า” “อืม” ทั้งสามเดินเคียงกันไปจนกระทั่งสายตาไปสะดุดกับรถราคาแพงที่วิ่งเข้าไปในวัด “กูอยากจะมีเงินซื้อรถแบบนี้สักคัน” หมัดเอ่ย “จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อตอนนี้แค่จะมีกินไปวัน ๆ ก็ยังแทบจะไม่มี ไหนจะลูกกูอีกแค่นี้กูก็แย่แล้ว” “นั่นน่ะสิตั้งแต่มีโควิคเข้ามาอะไรก็แย่ไปหมด ขนาดงานของเราก็ยังไม่ค่อยมีเลย” “ช่วงนี้เราต้องประหยัด เผื่อหาเหยื่อไม่ได้เราจะได้ไม่ลำบากกัน แต่คนที่แย่สุดคือมึงไอ้โขง เพราะมึงมีลูกเล็กที่กำลังกินเลย แล้วแม่งของเด็กก็มีแต่แพง ๆ” “เด็กอะ จะให้ประหยัด​กินอด ๆ อยาก ๆ เหมือนคนโตไม่ได้หรอกนะ ถ้ามันสุดจริง ๆ กูก็คงจะต้องไปขอข้าววัดไปต้มให้ลูกกูกินเหมือนทุก ๆ ครั้งนั่นแหละ แย่จริง ๆ” โขงทำหน้าเศร้า “เฮ้อ กูถึงบอกว่าอย่าเพิ่งมีเมีย เห็นไหมว่ามันลำบากแค่ไหน ดูกูกับอีตองสิขนาดไม่มีพันธะ​เหมือนมึง พวกกูยังลำบากเลย” “กูน่ะลำบากเพราะป้ากู” “ฮ่า ๆ จริง” “ไอ้โขงลูกมึงกี่เดือนแล้ววะ” “สิบเอ็ดเดือนแล้ว แต่ดีหน่อยที่แม่กูช่วยเลี้ยง ทำให้กูออกมาหาเงินไปจุนเจือครอบครัว​ได้ ส่วนเมียกู...” โขงทำหน้าเศร้าเตรียมดราม่า “พอ ๆ มึงไม่ต้องเล่า อีเหมยทิ้งมึงกับลูกไปเอาผัวใหม่ มึงเล่าให้กูฟังเป็นพันรอบแล้ว” “มึงก็พูดเวอร์นะอีตอง” “เดี๋ยว​กูซื้อโจ๊กให้ลูกกับแม่มึง” “มึงนี่ใจดีสุด ๆ เลยอีตอง” “ตอนนี้ปากหวานเชียวนะมึง” ตองเก้าจัดแจงซื้อโจ๊กเจ้าประจำให้โขงแล้วถือเดินไปบ้านเช่าในสลัมเดียว​กันที่ทั้งสามพักอาศัยอยู่ ทารกน้อยนั่งอยู่ในคอกไม้ ดีดตัวลุกขึ้นเมื่อเจอหญิงสาว “ลูกมึงน่าเกลียด​น่าชังจังวะ” ตองเก้าอุ้มทารกน้อยมาอุ้มพร้อมกับฟัดแก้มหอมแก้มนุ่มเบา ๆ “ชมพู่​คงจะชอบมึง ดูสิหัวเราะคิกคักน่าเป็นเชียว” “ป้าอร ตองซื้อโจ๊กมาฝากค่ะ” “ขอบใจตองมาก ๆ เลย นี่ป้าก็ว่าจะไปหาอะไรให้ชมพู่กินอยู่พอดีเลย” “จ้ะ ไอ้หมัดเอาโจ๊กให้ป้าอร” “ได้ ๆ” หมัดรีบเอาโจ๊กให้เอมอร “ขอบใจจ้ะ เออ โขง ตอนเย็น​ซื้อนมมาให้ชมพู่ด้วยนะ นมใกล้หมดแล้ว” เอมอรเอ่ยกับบุตรชาย “ครับแม่” “อืม ดูนังหนูให้แม่ก่อนเดี๋ยวแม่ไปเอาโจ๊กใส่ถ้วยให้ชมพู่ก่อน เออ อย่าลืมไปจ่ายค่านมค่าเเพมเพิสกับค่าของกินร้านเฮียเส็งนะ เขาทวงแล้ว” “แล้วมันเท่าไหร่แม่” “ร่วมค่ากิน ของใช้ค่าแพมเพิสค่านมค่าอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ก็หลายพันอยู่” “เดี๋ยวตอนเย็น ๆ ผมเอาไปจ่ายเองครับ” “เป็นหนี้ก็ต้องรีบจ่าย จ่ายแล้วถ้าไม่มีเงินเราก็ยังไปเชื่อแกได้อีก” “ครับ” โขงยิ้มแล้วมองตามหลังมารดาที่เดินเข้าไปในครัวแล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ “จ่ายหนี้หมดจะเหลือเงินเท่าไหร่วะเนี่ย ค่าเช่าห้องค่าน้ำค่าไฟก็ยังไม่ได้จ่ายเลย” “มึงเหนื่อยใช่ไหมวะ” ตองเก้าเอ่ยถามเพื่อนอย่างห่วงใย “เหนื่อย​ แต่ก็ต้องสู้แหละ ทำไงได้ล่ะตังค์ไม่มีเรียนไม่จบ หางานดี ๆ ทำก็ยากมาทำอาชีพที่เราทำกัน ก็ใช่ว่าจะมีเงินเข้ามาทุกวัน พวกเราวิ่งราวแทบทุกวัน แต่เหยื่อของเราส่วนมากชอบใส่ของปลอม” “ก็เศรษฐกิจไม่ดีใครเขาจะอยากใส่ของจริงกันล่ะ ได้ทองจริงบ้างไม่ได้บ้างก็ต้องทำใจเหรอวะ ทำยังไงได้ล่ะ เศรษฐกิจแบบนี้ ช่วงโรคระบาดแบบนี้ ใครก็แย่กันหมด” “กูอยากจะมีงานใหญ่​ ๆ สักงาน ได้เงินคนสิบล้าน เลิกเป็นโจรไอ้โขงกูมึงจะได้สบาย” หมัดเอ่ย “เฮ้อ” “มึงอย่าเพิ่งพูดเรื่องโจรให้หลานกูฟังได้ไหมวะ เอาไว้คุยกันทีหลัง เราอย่าเพิ่งมาคุยต่อหน้าเด็ก ถึงตอนนี้เขาจะยังไม่รับรู้แต่กูเชื่อว่าเขาต้องซึมซับแน่นอน เพราะฉะนั้นมึงหุบปากไปเลยไอ้หมัด” ตองเก้าเอ่ยเสียงขุ่น เพื่อตัดบทสนทนาที่กำลังทำให้เพื่อนรู้สึกหนักใจ “เออ ๆ” “เด็กดีของแม่ตอง อย่าดื้อกับพ่อนะคะ พ่อโขงกำลังทำทุกอย่างเพื่อให้หนูกับย่านะคะ” “แอ้ ๆ หม่ำ ๆ” “ดูสิ อยากพูด น่ารักน่าเอ็นดูเชียว น้องชมพู่ไปหาพ่อแป๊บเดี๋ยวแม่ให้ตังค์​ซื้อนม” ตองเก้ายื่นทารกน้อยให้ผู้เป็นบิดา “ใจดีตลอดอีตอง” หมัดเอ่ย “เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิวะ ถ้ามึงมีลูกแล้วลำบาก กูก็จะช่วยเหมือนที่ช่วยไอ้โขงนั่นแหละ ถ้ามึงอยากรู้ว่ากูจะช่วยมึงไหมมันก็ลองมีลูกมีเมียดู แต่เมียมึงต้องทิ้งมึงเหมือนไอ้โขงนะ” “เสียใจกูไม่เอาเมียว่ะ กูเห็นไอ้โขงร้องไห้จะเป็นจะตาย ตอนที่เมียมันทิ้ง กูก็กลัวแล้วว่ะ กูกลัวกูหอนเหมือนมัน” หมัดเอ่ยอย่างเข็ดขยาด ตอนที่โขงเพื่อนรักของเขาถูกเมียทิ้ง ร้องไห้ฟูมฟายเป็นหมา เขาต้องกินเหล้าแล้วนอนเห่าหอนด้วยเกือบเดือน กว่าจะผ่านมาได้ เล่นเอาเขากับตองเก้าแทบแย่เหมือนกัน “นี่เงิน เอาไปไว้ซื้อนมซื้อข้าวให้ลูกมึงกิน เก็บไว้ซื้อให้แม่มึงกินด้วย” ตองเก้ายื่นเงินแบงก์​พันให้ “ใช้หนี้หมด กูยังพอมีเงินอยู่ มึงเก็บไว้ก่อนมึงก็ลำบากเหมือนกัน ถ้ามึงไม่มีเงินให้ป้ามึง รับรองมึงโดนบ่นหูชาเป็นแน่” โขงรีบปฏิเสธ ถึงแม้ว่าเขาจะลำบากแต่เขาก็ไม่อยากจะเบียดเบียนเพื่อน ตองเก้าก็ไม่ใช่คนมีตังค์ ลำบากเหมือนกันแค่ลำบากคนละอย่างเท่านั้นเอง “แต่ยังไงป้ากูก็ไม่ลำบากเหมือนมึงไง อีกอย่างกูก็ไม่มีลูกเล็ก ป้ากูก็ไม่มีลูก ส่วนมึงกับลูกกับแม่มึงลำบากกว่ากูเยอะ เพราะฉะนั้นมึงเก็บเงินจำนวนนี้เอาไปไว้ซื้อนมให้ลูกมึง” “แต่...” “มึงรับไปเถอะ ส่วนนี่ส่วนของกู กูให้มึงพันนึง เอาไปซื้อนมกล่องใหญ่มาไว้จะว่ากินสักเดือนนึงเลย มึงจะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดเรื่องนมลูกมึง” หมัดเอ่ยพร้อมกับยื่นธนบัตรแบงค์พันให้เพื่อน โขงได้แต่มองเพื่อนรักทั้งสอง น้ำตาลูกผู้ชายของเขาหลั่งไหลออกมาทันที เมื่อได้​เห็น​ทั้งสองแสดงความห่วงใยเขากับลูกและครอบครัวอย่างชัดเจน “กูขอบใจพวกมึงมาก ๆ นะ ถ้าไม่มีพวกมึงค่อยช่วยเหลือ กูก็คงแย่เหมือนกัน” “มึงอย่าคิดมากเลยเอาไว้วันไหนที่เราได้รับเงินเยอะ ๆ หรือมีงานใหญ่ให้ทำ เราจะทำแล้วเลิกเป็นโจรกันสักที” “ขอบคุณพวกมึงมาก ๆ จริง ๆ ขอบคุณจากหัวใจของกูเลย” โขงเอ่ยขอบคุณ นี่สินะเขาเรียกว่าเพื่อนแท้ เพื่อนที่ช่วยเหลือกันยามลำบาก ถึงจะกินหัวกันเป็นบางครั้ง แต่เวลาที่ลำบากทั้งสามจะช่วยเหลือกันอยู่เสมอ ตกเย็นของวันนั้น ตองเก้าอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มรองเท้าผ้าใบสีดำ ผมดำขลับถูกรวบเป็นหางม้า มือเล็กคว้าหน้ากากอนามัยมาสวมใส่ แล้วรีบเดินออกมาจากห้อง “อีตองมึงจะไปไหน” ดวงสมรรีบเอ่ยถามเมื่อเห็นอาการเร่งรีบของหลานสาว “ไปทำงานสิป้า แล้วป้าล่ะวันนี้ไม่มีบวกเลขกันเหรอ” “จะไปบวกหาหอกอะไรล่ะ โควิดใครจะกล้า อันตรายจะตาย” “ป้ากลัวตายตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แต่โควิดมันไม่กล้าทำไรป้าหรอก เพราะมันกลัวปากป้า” “โถ อีหลานเวร หลานเชี่ย มึงจะไปไหนก็ไปอย่ามาปากดี” “งั้นฉันไปแล้วนะ” ตองเก้าไหวไหล่แล้วเดินออกมา เธอเดินมาสมทบกับเพื่อนสนิทอยู่ที่หลังป่าช้าแล้วเดินไปหาเหยื่อพร้อมกัน ตองเก้าเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อหาเหยื่ออยู่แถวป้ายรถเมล์ แต่ทว่าวันนี้มันกลับเงียบพิกล ไม่มีใครมานั่งรอรถเมล์หรือยืนให้เธอวิ่งราวเลย “ทำไมวันนี้มันไม่มีเหยื่อเลยวะ” หมัดบ่นพร้อมกับกวาดสายตาไปมาวันนี้มันเงียบเงียบจนผิดปกติ “นั่นน่ะสิ” “เราไปหลังตลาดกันไหม ไปดูว่าจะมีเหยื่อให้เราจัดการ​อยู่ที่นั่นหรือเปล่า” “แต่หลังตลาดมันโจ่งแจ้งเกินไปอีกอย่างมันใกล้สถานีตำรวจด้วย ถ้าโดนตำรวจจับมาซวยเลยนะมึง” โขงเอ่ย “แต่ถ้าจะมายืนรอจนถึงสว่างไม่มีเหยื่อให้เราวิ่งราว นั่นคือพรุ่งนี้เราจะไม่มีเงินเข้ากระเป๋า เงินกูก็ไม่ใช่ว่าจะมีเยอะส่วนมึงก็ต้องใช้เงินไม่ใช่เหรอ เราจะมาเสียเวลาไม่ได้ ถ้ามันไม่มีตรงนี้เราก็ต้องรีบไปดูที่หลังตลาด” หมัดเอ่ย “งั้นก็รีบไป อย่าชักช้าถ้าดึกกูง่วง” “อืม” ผ่านไปอีกสามช่วงโมง พระจันทร์​คล้อยต่ำจนแทบจะลาลับ ทั้งสามยังคงยืนที่มุมมืดหลังตลาด แปะ! แปะ! แปะ! “เชี่ย จะแดกกูให้หมดตัวเลยหรือไงวะไอ้ยุงนรก” ว่าพลางตบยุงไปด้วย “แสบขาไปหมดแล้วเนี่ย” “เฮ้อ คนไปไหนหมดวะ” “กูนี่อย่างเซ็งเลยวะ เฮ้อ วันนี้แม่ค้าก็น้อยคนเดินตลาดก็ไม่มี ปกติคึกคัก​จะตาย วันนี้มันวันนรกแตกวันโลกาวินาศ​หรือไงวะ” หมัดบ่น “รออีกสามสี่ชั่วโมง​ก็เช้าแล้ว กูจะรอแค่สว่างเท่านั้น มีไม่มีค่อยว่ากันอีกที” “อืม เซ็ง ๆ กูเซ็ง” “เฮ้อ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD