ตอนที่1 เรื่องบังเอิญ
ตอนที่ 1 เรื่องบังเอิญ
หนึ่งคุณหมอตัวใหญ่กับหนึ่งเด็กสาวตัวเล็ก กำลังเผชิญหน้ากัน มองดูเจ้าแก้มยุ้ยที่ทำหน้าบึ้งตึงทำเอาพยาบาลของเขาปวดหัวไปตามๆ กัน นิสัยเอาแต่ใจไม่ยอมให้ใครแตะตัว
ชายหนุ่มนั่งลงที่ปลายเตียงรักษาระยะห่างกับคนไข้ การรักษาเด็กบางครั้งต้องทำให้เขาไว้ใจและเชื่อใจในตัวหมอก่อน
“สวัสดีครับ หนูชื่ออะไรครับ” น้ำเสียงนุ่มละมุนดูใจดีของคุณหมอทำให้เด็กหญิงเหลือบตามองเล็กน้อย
“ชื่อน้องปันค่ะคุณหมอ ใช่ไหมคะลูก” แม่ของเด็กที่ยืนอยู่ด้านข้างต้องตอบแทนลูกสาวเมื่อลูกของเธอเอาแต่นิ่งเงียบ
“หนูไม่ชอบที่พี่พยาบาลมาตรวจหนูเหรอครับ”
เด็กสาวพยักหน้า
“น้องปันครับ..วันนี้คุณหมอมีตุ๊กตาหมีด้วยนะ” เขาหยิบเอาชุดหูฟังลายหมีสีน้ำตาลแกว่งไปมาให้เด็กน้อยดู
ดวงตากลมโตจ้องมองอย่างสนใจแต่ยังสงวนท่าทีไว้ไม่ให้หมอเข้าใกล้
“อยากลองจับดูไหมครับ” ชายหนุ่มวางหูฟังหมีสีน้ำตาลไว้บนเตียงระหว่างตัวเขากับเด็กน้อย
ดวงตาแววลังเลเล็กน้อย มือป้อมค่อยๆ ขยับไปที่หูฟัง
“คุณหมีน่ารักจังเลยค่ะ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างโล่งใจ เด็กน้อยสองขวบจะหลอกล่ออะไรไปได้ดีกว่าของเล่น
“ถ้าอย่างนั้นให้คุณหมีฟังเสียงหัวใจของน้องปันได้ไหมครับ”
ตากลมมองอย่างไม่เข้าใจ คุณหมีจะฟังเสียงหัวใจของเธอได้ยังไง
“ให้หมอช่วยไหมครับ” หมอหนุ่มเริ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ทีละนิดระยะห่างของช่องว่างเริ่มแคบลง หมออาร์มสอนเด็กน้อยในการใช้หูฟัง ใบหน้าน่ารักทำหน้าจริงจังมองอย่างตั้งใจ
“ให้หมอลองตรวจให้ดูไหมครับ น้องปันช่วยหมอได้ไหม ช่วยเป็นผู้ช่วยให้หมอหน่อย”
“ได้ค่ะ” เด็กน้อยอายุสองขวบนอนลงอย่างเชื่อฟัง แววตาตื่นเต้นจับจ้องไปที่คุณหมออยู่ตลอดเวลา
หมออาร์มใช้เวลาตรวจร่างกายของเด็กน้อยด้วยความรวดเร็ว มือหนาเอื้อมมือไปลูบผมเด็กน้อยอย่างเอ็นดู
“คุณหมีฟังเสร็จแล้วครับ” หมออาร์มหันไปอธิบายอาการของคนไข้ให้พยาบาลฟัง
พยาบาลที่รออยู่ด้านหลังชื่นชมในความสามารถของคุณหมอที่สามารถหลอกล่อเด็กน้อยได้สำเร็จ
“คุณหมอคะ ที่แผนกส่วนบุคคลได้ส่งประวัติของผู้สมัครมาให้คุณหมอแล้วค่ะ” ในระหว่างที่เขาเดินออกจากห้องคนไข้ ขวัญจิราพยาบาลอีกคนก็เดินเข้ามาหา
“โอเคครับเดี๋ยวผมจะกลับไปเช็กอีเมล” ทั้งคู่เดินคุยไปตามทาง
“ถ้าได้คนมาช่วยงานเร็วๆ ก็ดีสิคะ ตอนนี้ขวัญยุ่งจะแย่อยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าคุณหมอจะคัดเลือกคนด้วยตัวเอง”
“การดูแลเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายผมเลยอยากจะสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง”
“ก็จริงนะคะ แต่ยังไงก็รีบเลือกมานะคะคุณหมอขวัญอยากได้ผู้ช่วยแล้วตอนนี้” ขวัญจิราเอ่ย เธอเหนื่อยมากวิ่งวุ่นหัวหมุนมาหลายสัปดาห์ หวังว่าเธอจะได้ผู้ช่วยที่น่ารักมาร่วมงานด้วยกันแค่นี้ก็ดีใจมากแล้ว
เมื่อถึงห้องทำงานพยาบาลสาวก็แยกไปอีกทาง หมออาร์มถอดเสื้อกาวน์แขวนพาดไว้บนราว เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานนั่งลงบนเก้าอี้ มือหนากดตรวจดูอีเมลที่ฝ่ายบุคคลส่งรายชื่อผู้สมัครมาให้ เพราะเมื่อเดือนก่อนผู้ช่วยพยาบาลของเขาได้ลาออกไป
ชายหนุ่มเปิดดูประวัติของผู้สมัครทีละคน ดวงตาคมไล่อ่านทีละบรรทัดมีหลายคนที่โปรไฟล์ดูน่าสนใจแต่ก็ยังรู้สึกไม่ถูกใจเขาเท่าไหร่ ไล่ดูมาจนถึงคนสุดท้ายชายหนุ่มยืดตัวตรงแล้วอ่านประวัติผู้สมัครคนนี้อีกรอบ
“ภัทรวรภิรมย์”
เขาเคาะนิ้วไปบนโต๊ะอย่างใช้ความคิดก่อนตอบกลับฝ่ายบุคคลให้นัดผู้สมัครคนนี้มาสัมภาษณ์ ชายหนุ่มหมุนเก้าอี้มองออกไปนอกหน้าต่างแสงอาทิตย์สีส้มกำลังคล้อยตัวลงต่ำ เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้าเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์เข้า
“เฮ้อ.. คงไม่ได้พักสินะ” ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายในขณะที่หลับตา
“คุณหมอคะ มีเคสฉุกเฉินค่ะ”
“ครับเดี๋ยวผมจะรีบไป” เขาลุกขึ้นยืนบิดเอี้ยวตัวสองสามครั้ง ก่อนคว้าหยิบเสื้อกาวน์มาสวมตามเดิมแล้วรีบเดินไปที่ห้องฉุกเฉินทันที
ร่างบางที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเธอเงยหน้าเหลือบตามองไปที่โทรศัพท์มือถือ เธอจ้องมองจนมันแทบจะทะลุหวังว่าจะมีสักสายโทรเข้ามา
“น้ำตาลนั่งเฝ้าโทรศัพท์ทั้งวันเลยลูก มีอะไรหรือเปล่า” หญิงสูงวัยที่มีท่าทางใจดีเดินเข้าไปหาหลานสาว
“น้ำตาลกำลังรอสายโทรศัพท์เรียกให้ไปสัมภาษณ์งานอยู่ค่ะ”
“อย่ากังวลไปเลยนะลูก หลานยายเก่งอยู่แล้วยังไงเขาก็ต้องโทรมาแน่นอน” เห็นหลานสาวเครียดกินไม่ได้นอนไม่หลับคนเป็นยายก็รู้สึกเศร้าใจแทน
ถ้าไม่เป็นเพราะเธอที่มาป่วยออดๆ แอดๆ แถมหลานชายตัวดีก็ยังมาสร้างหนี้สินให้ที่บ้านอีก หลานสาวของเธอคงไม่ต้องทำงานงกๆ
“ไม่พูดแล้วๆ ยายขอโทษนะลูก”
“ใกล้เที่ยงแล้วเดี๋ยวหนูไปทำข้าวกลางวันให้ยายก่อนดีกว่า” น้ำตาลลุกขึ้นเดินเข้ามาในครัว ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อหันหลังกลับสีหน้าของเธอก็ดูเศร้าลง
หญิงชรามองตามแผ่นหลังของหลานสาวที่พยายามเหยียดตรง
น้ำตาลถอนหายใจด้วยความหนักใจเมื่อเงินในกระเป๋าตอนนี้แทบจะไม่พอใช้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเพดานไม้ที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาพยายามฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลลงมา
เธอส่งใบสมัครงานไปหลายที่แต่ก็ไม่มีที่ไหนตอบกลับมาเลยจนน้ำตาลรู้สึกท้อใจ ด้วยวุฒิการศึกษาของเธอทำให้สมัครเป็นได้แค่ผู้ช่วยพยาบาลทั้งที่ความฝันของเธอคือการได้เป็นพยาบาล น้ำตาลที่เห็นยายป่วยออดๆ แอดๆ ก็ตั้งใจที่จะเรียนพยาบาลอย่างเต็มที่เพื่อจะได้ดูแลยายได้แต่แล้วความฝันของเธอก็พังทลายเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายกับครอบครัวของเธอ
“น้ำตาลมีคนโทรมาลูก” น้ำเสียงที่ตื่นเต้นดีใจตะโกนดังลั่นบ้าน
เมื่อได้ยินเสียงยายตะโกนบอกเธอก็แทบจะวิ่งไปทันที ถ้ามีสายโทรเข้าแสดงว่าจะต้องมีโรงพยาบาลที่ไหนสักที่เรียกเธอไปสัมภาษณ์ ที่เธอมั่นใจขนาดนี้เพราะตัวเธอเองไม่ได้มีเพื่อนมากมายที่จะติดต่อกัน ทั้งชีวิตของเธอตอนนี้แค่หางานทำกับดูแลยายก็ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว