bc

จารรักกลางใจ

book_age18+
305
FOLLOW
3.5K
READ
billionaire
others
sex
bxg
slavery
poor to rich
ancient
naive
passionate
seductive
like
intro-logo
Blurb

ร่างหนาขยับขึ้นลงหนักหน่วง แต่ยังเป็นห่วงคนใต้ร่างจึงยังไม่ซอย ทว่าเมื่อขยับเข้าออกหลายครั้งก็รีดหยาดน้ำออกมามากมายทำให้เดินทางได้สะดวกขึ้นท่านจึงเลื่อนไล้กายเร็วรี่ เสียงหวานที่ครางระส่ำและเอวอ่อนที่ร่อนตามทำให้ท่านต้องซอยยิก

“นายท่านเจ้าขา นายท่าน ช่วยบ่าวด้วย อ๊ะๆๆ กรี๊ด”

ร่างน้อยแอ่นโค้งเกร็งค้างพร้อมกับกรีดร้องเสียงหวาน ท่านเศรษฐีขยับสะโพกเข้าออกถี่ กระแทกกระทั้นสุดแรงพร้อมกับคำรามก้องกระโจนตามดรุณีน้อยไปติดๆ ท่อนแขนแข็งแรงรัดร่างเล็กเอาไว้แน่นขณะปลดปล่อยของเหลวร้อนผ่าวเข้าสู่ซอกลึก

“รตี เจ้าดีนักหนา” ท่านเศรษฐีหายใจเข้าแรงก่อนจะก้มลงประกบจูบปากนุ่มดูดกลืนความหวานขณะที่อัดกายนิ่งหลั่งพิษออกไปจนหมดจึงได้เริ่มใหม่อีกครั้ง

เรือนร่างกลมกลึงอรชรอ้อนแอ้นทอดกายอ่อนระทวยบนฟูกนอนนุ่มหนา ดวงตาหลับพริ้ม ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดี ท่านเศรษฐีกวาดสายตามองร่อยรอยบอบช้ำบนกายดรุณีน้อย เจ้าช่างบอบบางเสียเหลือเกินปาวรตี ดูกลางกายสิชอกช้ำจนท่านใจหาย เหตุเพราะนางทำให้ท่านถวิลหามาหลายเพลาท่านจึงควบคุมตัวเองไม่ได้

“เจ็บหรือไม่เจ้า” แตะมือลงกลางซอกขาเบาๆ

chap-preview
Free preview
เล่มที่ 1 ตอนที่ 1 ท่านเศรษฐีและปาวรตี
1 ท่านเศรษฐีและปาวรตี   โคมังระอาณาจักรโบราณประกอบด้วยเมืองแปดเมืองคือ        ศรีวัตถา เซียงโห มุมมะ บันบัย ดงษา สมอดง พงศาระ คชหิ อาชีพสำคัญของชาวโคมังระคือการเกษตรเพราะมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันระหว่างเมือง สินค้าที่นิยมคือ ไม้หอม กำยาน เครื่องเทศ และผ้าทอ การแต่งกาย ชาวบ้านโดยทั่วไป สตรีนุ่งผ้าถุงเปลือยกายท่อนบนทรงผมนั้นมัดเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ส่วนบุรุษนั้นใช้โสร่งพันกายผืนเดียว ทรงผมนั้นไว้ยาวและปล่อยสยาย หากแต่สตรีมีฐานะจะมีผ้าคาดอกปกปิดท่อนบน ส่วนบุรุษก็ใช้ผ้าทอลวดลายประณีตหรือผ้าไหมที่เป็นสินค้าจากแดนไกล ชาวโคมังระมีผิวขาวเดินเท้าเปล่า ชอบการแกะสลักเครื่องประดับ สลักหิน มีตัวอักษรใช้ มีทาสเชลยศึก บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ หนา บึกบึน สตรี มีรูปร่างบอบบางทว่าแข็งแรงเจริญเติบโตเร็วเข้าสู่วัย     เจริญพันธุ์ตั้งแต่อายุสิบสองปี ที่อยู่อาศัยจะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง หากมีฐานะก็จะมีเรือนหลาย หลังอยู่ในบริเวณเดียวกัน มีเรือนครัว เรือนซักผ้า เรือนทาสเรือนเลี้ยงม้า ซึ่งปลูกล้อมรอบเรือนใหญ่ผู้เป็นเจ้านาย “หนึ่งสอง ถอยรุก หนึ่งสอง รุกถอย”เสียงเล็กดังกังวานหวานแว่วพร้อมกับจังหวะของเท้าเล็กขาวอวบอูมที่ขยับอย่างคล่องแคล่วขณะแกว่งดาบในมือ แขนเรียวเกร็งรับน้ำหนักของดาบขณะฟาดฟันออกไป “อุ๊ย!” ปากจิ้มลิ้มส่งเสียงอุทานมือข้างหนึ่งนั้นหมายจะจับผ้ารัดหน้าอกที่เริ่มคลายออก แต่ทว่าจู่ๆ ลมก็พัดแรงพาให้ผ้านั้นหลุดปลิวไปกับสายลม “แย่แล้วปาวรตี” ดรุณีน้อยละล้าละลังขณะเอามือปิดหน้าอกเอาไว้ จะทำเยี่ยงไร นางแหงนมองผ้าทอที่แขวนอยู่ที่กิ่งไม้เหนือศีรษะ “จะสอยลงมาได้หรือไม่นะ” ดรุณีน้อยใช้ดาบสอยผ้าลงมาแต่ปลายดาบนั้นแตะไม่ถึง เหลือเพียงนิดเดียวแค่นั้น ฉับพลันนั้นดรุณีน้อยก็ตัวแข็งทื่อเมื่อรู้สึกไอร้อนที่แนบชิดมาจากด้านหลังพร้อมกันนั้นกิ่งไม้ก็ถูกโน้มลงมาแล้วมือใหญ่ก็ดึงผ้าที่เกี่ยวติดอยู่ปลายกิ่งไป นางหันขวับกลับไปทันทีด้วยความไร้เดียงสาทำให้หน้าอกอิ่มตึงเสียดสีกับผิวกายตึงแน่นของบุรุษที่แข็งกระด้างราวกับ แท่นหินก็ไม่ปาน “นายท่าน!” นางคงจะทรุดกายลงนั่งแทบเท้าบุรุษผู้เป็นนายหากมือใหญ่ไม่กดรั้งไว้ที่สะโพก “ต่อไปเจ้าห้ามมาที่นี่อีก” “ไยถึงมาไม่ได้เล่า” ความไร้เดียงสาทำให้กล้าที่จะต่อปากต่อคำกลับไป ดรุณีน้อยไม่เคยสนทนากับบุรุษผู้นี้ ไม่เคยรู้ว่าผู้ที่เปรียบเสมือนเจ้าชีวิตนั้นน่ากลัวเพียงใด รู้เพียงว่านายท่านแห่งจันทภาณุเป็นคนดีและดีกว่าเศรษฐีเรือนอื่นในหมู่บ้านแห่งนี้ “ข้าเกรงว่าเจ้าจะทำผ้าหลุดอีก” “แต่บ่าวอยากมาซ้อมดาบ” “ข้าสั่ง” คำสั่งของนายอยู่เหนือสิ่งอื่นใดแม้จะไร้เดียงสาแต่พอจะรู้อยู่บ้าง “เจ้าค่ะ บ่าวขอผ้าคืนด้วยเจ้าค่ะ” จันทภาณุผู้เป็นใหญ่แห่งเรือนจ้องหน้าดรุณีน้อยนิ่งดั่งจะประทับไว้ในความทรงจำจากนั้นจึงชูมือขึ้นสูงดวงตาคมกริบคู่นั้นสงบนิ่งไร้แววหยอกเอินหรือยั่วเย้าเกี้ยวพาราสี “เอื้อมให้ถึงผ้าก็จะเป็นของเจ้า” ว่ากระไรนะ นายท่านเสียสติไปแล้วจะให้เอื้อมดึงผ้าจากมือท่านนี่นะ จะเป็นไปได้เยี่ยงไร “บ่าวเอื้อมไม่ถึงดอก” “เอื้อมไม่ถึงข้าไม่ให้กลับเรือน” มือใหญ่รั้งร่างเล็กเข้าหากายจนแนบสนิททุกอณูเนื้อ ดรุณีน้อยหน้าร้อนผ่าวโกรธหรืออายยากจะแยกแยะความรู้สึกนั้นได้ แต่จะให้ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดท่านเศรษฐีก็กระไรอยู่จำต้องหาทางออกไปจากอ้อมแขนนี้ให้ได้ ดรุณีน้อยไหล่ห่อคอตกก้มหน้าถอนหายใจ แล้วตัดสินใจกระทำการปีนร่างท่านเศรษฐีดึงผ้ามาจากมือท่านอย่างรวดเร็ว “ได้ผ้าแล้ว” ดรุณีน้อยรูดตัวลงมาแล้วร้องยี้แลบลิ้นใส่ท่านเศรษฐีก่อนจะวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว บุรุษร่างสูงยืนตัวแข็งทื่อหาใช่เพราะดรุณีน้อยแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ไม่ แต่เป็นเพราะไฟร้อนที่แผดเผากาย กลิ่นกายหอมกรุ่นยังติดจมูก และความรู้สึกของสัมผัสยามเนื้อแนบเนื้อยังตราตรึง ทั้งนุ่มแน่นเนียนละมุนดุจผ้าไหมจากต่างแดนทำให้กลางกายโป่งพองดันผ้าออกมาเป็นรูปรอย ท่านเศรษฐีหนุ่มอยากแกล้งดรุณีน้อย ตนเองจึงต้องรับผลกรรมที่กระทำนั้น บ้าจริงเชียว! “สิขิล ไอ้สิขิล” “ขอรับ มาแล้วขอรับนายท่าน” “ปาวรตีอายุเท่าไหร่” “อีกสิบวันก็ครบสิบสี่ขอรับ” “มีระดูหรือยัง” “ยังขอรับ” หากมีระดูบิดาของดรุณีน้อยจะแจ้งให้ทราบ “ไยถึงได้ช้ายิ่งนัก” ท่านเศรษฐีมีสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่าน “ขอรับช้ากว่าคนอื่นๆ” “เรียกแม่หญิงขึ้นมาหาข้าบัดเดี๋ยวนี้ และถ่ายทอดคำสั่งจากข้าลงไปให้ปาวรตีขึ้นมาเรียนรู้งาน” “ขอรับนายท่าน”             บ่ายนั้น ณ เรือนท่านเศรษฐีจันทภาณุ หมู่บ้านสาวัตถีแห่งเมืองพงศาระท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวชนิดที่สายลมซึ่งพัดแผ่วเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ก็ไม่อาจบรรเทาได้ ร่างใหญ่ของชายที่อาบด้วยเหงื่อขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวอยู่เหนือเรือนร่างสตรีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ตอบสนองร่างหนาด้านบนอย่างไม่ระย่นย่อพร้อมกับเสียงครางที่ดังปานจะขาดใจตาย “นายท่าน โอว...นายท่าน” เสียงขยับตัว เสียงผิวกายปะทะกัน และเสียงครวญครางของสตรีที่ดังลอดออกมาทำให้นางทาสซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องก้มหน้ามองพื้นสองมือที่วางอยู่บนหน้าขากำแน่น นางทาสสิมซึ่งเป็นบ่าวต้นห้องท่านเศรษฐีมานานนั้นได้ยินจนกลายเป็นความเคยชินแต่ปาวรตีนั้นเพิ่งขึ้นมารับใช้บนเรือนยังไม่คุ้นชินจึงมีอาการกระอักกระอ่วนเหงื่อไหลโซมกายดรุณีน้อยสะดุ้งเมื่อมีมือมาแตะที่แขน “ตั้งสติหน่อยนะมึง แรกๆ ก็อย่างนี้กันทุกคน ไม่กี่เพลาก็จะชิน เป็นเรื่องปกติที่จะได้ยินแม่หญิงส่งเสียงร้องขอส่วนบุญ” ปาวรตีอดจะหัวเราะให้กับคำเปรียบเปรยนั้นไม่ได้จากนั้นก็กล่าวออกไปว่า “เสียงแม่หญิงโยทะการ้องเสียงดังน่ากลัวมาก” บุรุษผู้นั้นทำอะไรแม่หญิงไฉนแม่หญิงจึงส่งเสียงร้องดังลั่นเช่นนั้นขณะที่ตัวเองกลับไม่มีเสียงใดๆ หลุดลอดออกมา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์คงทำร้ายแม่หญิงเป็นแน่ ดรุณีน้อยกัดริมฝีปากให้เจ็บเพื่อลดอาการตื่นเต้น “นั่นล่ะ แม่นั่นอยากอวด ครางเหมือนตะโกนซะลั่นเรือน” “เสียงร้องดังเยี่ยงนั้นแม่หญิงจะตายหรือไม่” นางสิมหัวเราะคิกคักแล้วกล่าวว่า “ตายเพราะความเสียวจุกอกดอก ใช่ว่าจะตายเพราะเจ็บปวดก็หาไม่” นางสิมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเกราะไม้ดังขึ้นสองครั้งแสดงว่านายท่านเรียกให้เข้าไปหา “มึงนั่งรอตรงนี้ หากกูเรียกก็รีบตามเข้าไปนะ” “จ้ะ”ปาวรตีนั่งหน้าซีดหัวใจเต้นแรงภาวนาขออย่าให้นาง         สิมเรียกเข้าไป แล้วคำภาวนาของดรุณีน้อยก็บรรลุผล นางสิมไม่ได้เรียกให้เข้าไปรับใช้ท่านเศรษฐี นางรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกเมื่อลงจากเรือนใหญ่เท้าเล็กก็กระโดดโลดเต้นไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปสู่เรือนทาส ดรุณีน้อยไม่ปรารถนาจะอยู่ใกล้ท่านเศรษฐี ไม่อยากเรียนรู้งานปรนนิบัติ ไม่อยากเป็นบ่าวบำเรอ แต่สักวันต้องเป็น ต้องมีสักวันที่ต้องเข้าไปเรียนรู้ งานนางไม่อาจหลีกหนีภาระหน้าที่นั้นได้ ดรุณีน้อยรู้มาว่าเป็นบ่าวบำเรอมีหน้าที่ปรนนิบัติท่านเศรษฐี ซึ่งจะต้องขึ้นไปเรียนรู้งานปรนนิบัติก่อนจะปรนนิบัติจริง แต่นางไม่เคยรู้ว่าต้องทำเช่นไร ไม่เคยรู้ว่าบุรุษและสตรีเสพสมกันเช่นไร “ข้าจะลงไปเรือนทอผ้า” ร่างสูงสง่าผึ่งผายของท่านเศรษฐีก้าวขึ้นจากถังไม้ “ขอรับ แล้วจะไปซ้อมเพลงดาบไหมขอรับ” สิขิลทาสรับใช้คนสนิทซับหยาดน้ำบนร่างเปลือยแห้งพอหมาดแล้วชโลมน้ำมันคลายกล้ามเนื้อทั่วกายแข็งแกร่งจากนั้นก็นวดตั้งแต่ไหล่ลงมาถึงปลายเท้า ไม่เว้นแม้กระทั่งกึ่งกลางกายที่ชูชันสวยงามและยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม “ไอ้สิขิล!” ท่านเศรษฐีปรามเสียงหนักเนื่องจากมือของไอ้ทาสคนสนิทวนเวียนอยู่ที่แก่นกายของท่านไม่ยอมขยับไปส่วนอื่น “ขอรับ” สิขิลหัวเราะแหะๆ “มึงอยากโดนย้ายไปอยู่เรือนเลี้ยงม้าหรือวะ” “ไม่ขอรับ ไม่ๆ” ปฏิเสธลิ้นรัว “ไม่อยากโดนย้ายก็อย่าทะลึ่ง นวดดีๆ” “ขอรับ” นวดเสร็จก็ลงเครื่องหอมที่มีสรรพคุณไม่ให้ยุงหรือเหลือบริ้นเข้ามาไต่ตอมอีกทั้งทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าดูหนุ่มกว่าวัยขับกลิ่นกายบุรุษเพศให้กำจายไปทั่วร่าง กลิ่นเฉพาะตัวนั้นเย้ายวนต่อมราคะของสตรีก่อให้เกิดอารมณ์กำหนัดได้โดยง่าย ใช่ว่าท่านเศรษฐีปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น ท่านปรารถนาแค่ให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย แต่มันเป็นสรรพคุณข้างเคียงของตัวยาที่ส่งผลให้ท่านเป็นบุรุษนักรักที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ยากที่จะหาใครเทียมเท่าได้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยสิขิลก็สางผมที่ยาวประบ่าจนเส้นผมทิ้งตัวยาวสลวยเป็นมันวาวจากนั้นก็นำผ้าโสร่งมาพันกายให้ร่างเปลือยของท่านเศรษฐีก็เป็นอันว่าเสร็จ ร่างสูงใหญ่องอาจดูมีเสน่ห์ลึกลับใบหน้าสะอาดสะอ้านนั้นหล่อเหลาคมคายประกอบด้วยเครื่องหน้าที่ได้สัดส่วนชวนมอง ดวงตาคมเข้มดุกร้าวคล้ายดวงตาพญาเหยี่ยว คิ้วเข้มหนาตวัดเฉียงส่งให้ดวงตาคู่นั้นลุ่มลึกน่ากลัวทว่าแผงขนตายาวงอนลดความดุดันน่ากลัวลงไปกว่าครึ่ง จมูกโด่งขึ้นสันและเรียวปากกระด้างแดงระเรื่อยิ่งทำให้บุรุษนักรักผู้นี้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ที่ได้พบเห็น “พิฆาตไพรีขอรับนายท่าน” สิขิลยื่นถ้วยยาใบเล็กให้ท่านเศรษฐี พิฆาตไพรีเป็นยาบำรุงกำลังที่ท่านหมอทองปรือซึ่งเก่งกาจเรื่องสมุนไพรได้ปรุงขึ้นเพื่อบำรุงร่างกายท่านเศรษฐี บุรุษที่ได้ดื่มยาตัวนี้จะมีกำลังวังชา ร่างกายฟิตปั๋ง มีเรี่ยวแรงดุจพญาช้างสาร ทำงานไม่เหนื่อย ห่างไกลจากความอ่อนเพลีย จัดเป็นยาอายุวัฒนะเมื่อกินเป็นประจำจะมีอายุยืนยาว ท่านเศรษฐีถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า “อยากให้กูอยู่ค้ำฟ้ามึงก็อย่าชิงตายไปเสียก่อนล่ะ” ท่านเศรษฐีบังคับให้คนสนิทดื่มยาตัวนี้ด้วยกัน ครานั้นเมื่อสิขิลปฏิเสธท่านก็กล่าวว่า ‘มึงอยากให้กูอายุยืนมึงก็ต้องอายุยืนด้วย เพราะมึงต้องรับใช้กูมึงจะตายก่อนกูไม่ได้’ ‘แต่ตัวยาหายากนะขอรับ’ ‘กูต้องใส่ใจด้วยกระนั้นรึ’ ท่านเศรษฐีไม่ได้ใส่ใจเรื่องตัวยา มีก็กินไม่มีก็ไม่ต้องกิน ท่านไม่อยากกินเสียด้วยซ้ำแต่โดนมารดา ท่านหมอ และคนสนิท เซ้าซี้ให้ดื่ม เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากท่านจึงตัดความรำคาญแค่ยกถ้วยสาดยาเข้าคอเท่านั้น ทำให้เสร็จๆ จะได้ไม่ต้องทนฟังเสียงเซ้าซี้ให้ระคายหู “ดาบขอรับนายท่าน” สิขิลหยิบดาบคู่กายของท่านเศรษฐียื่นส่งให้ท่าน ท่านเศรษฐีรับดาบมาถือไว้ รูปร่างสูงใหญ่ที่มีผ้าทอพันกาย    ผืนเดียวดูสูงส่งสง่างามน่าเกรงขามดุจราชาผู้ปกครองแคว้นอาจเป็นเพราะท่านมีเลือดของผู้ปกครองเมืองพงศาระไหลเวียนอยู่ในกายก็เป็นได้

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

กระชากกาวน์

read
4.8K
bc

My Buddy เล่นเพื่อน

read
15.8K
bc

นางสาวอินทุอรณ์

read
5.6K
bc

FirstLove น้องพี่ที่รัก

read
7.1K
bc

ซ่านเสน่หา พี่น้องต่างสายเลือด

read
4.0K
bc

ร้อยสวาททาสหัวใจ

read
2.7K
bc

แคดดี้ที่รัก

read
1.2K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook