ตอนที่ 1 บรรณาการจักรพรรดิมาร (1)

3321 Words
ตอนที่ 1 บรรณาการจักรพรรดิมาร (1)  บันทึกราชวงศ์ ปีอู้เซิน[1] วันที่สาม เดือนห้า เมิ่งกุ้ยเฟยถูกกักบริเวณ องค์ชายรองเฉียนเวยถูกขังในตำหนักเย็น วันที่ยี่สิบสาม เดือนห้า องค์ชายรองสิ้นพระชนม์โดยไม่ทราบสาเหตุ เมิ่งกุ้ยเฟยมิได้หลั่งน้ำตาแม้สักหยด วันที่หนึ่ง เดือนหก จิ้งหม่านหงถูกอวยยศเป็นองค์หญิงจิ่งหยวน หลังจากนั้นเพียงเจ็ดวันก็ถูกส่งไปแดนมาร อภิเษกสานสัมพันธ์กับจักรพรรดิมาร...เยียนจิ่ง บุปผามีใจ สายธารไม่แลเหลียว คือคำจำกัดความสำหรับเรื่องของนาง ไม่ใช่... เรื่องของนางเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง หากเป็นมนุษย์อีกครั้งแล้วก็สมควรลืมเลือนไปเสียสิ้น ทว่านางมิใช่ดวงจิตของมนุษย์ นางจุติมาเกิดในโลกมนุษย์เพียงเพื่อทำตามที่เสด็จปู่ขอไว้ สร้างบุพเพกับเทพมังกร เชื่อมไมตรีระหว่างเขากับนาง แม้ว่าเขาจะมีคู่บุพเพที่ปรากฏบนศิลาสวรรค์ก็ตาม ศิลาสวรรค์...หึ นางทำตามเสด็จปู่ ตัดสัมพันธ์กับศิลาสวรรค์ ชาตินี้ยอมทำทุกอย่างเพื่อสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แม้แต่ต้องอกตัญญูต่อเทียนเฟิ่งผู้ประทานนามนี้ให้นาง...หม่านหง มหาเทพเฉียนเวยเป็นเทพบรรพกาลที่ได้รับความเคารพในฐานะเทียนหลง ทั้งหกภพภูมิไม่มีผู้ใดไม่เห็นแก่หน้าเขา เพื่อความผาสุกของทั้งหกภพ เขาใช้พลังทั้งหมดไปกับการสร้างเสาค้ำยันสวรรค์ทั้งหมด เมื่อเสาค้ำยันสวรรค์ต้นสุดท้ายถูกสร้างจนสำเร็จ เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นมังกรทอง จำศีลตรงเสาค้ำยันสวรรค์ในสระปทุมทองนานนับสิบหมื่นปี ชื่อเสียงของเขา นามของเขา มักถูกกล่าวขานเคียงคู่กับเทียนเฟิ่ง เทียนหลงเฉียนเวย...เทียนเฟิ่งหม่านหง หม่านหง...นามอันแสนไพเราะ กอปรกับถ้อยคำยกยอจากทั่วทั้งเก้าชั้นฟ้า เพียงเพราะเทียนเฟิ่งไม่เคยเปิดเผยใบหน้าของนาง นามหม่านหงนี้ก็ถูกกล่าวขานโดยบรรดาเทพเซียนชั้นผู้น้อย ว่าเป็นนามขององค์หญิงแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ผู้งดงามเหนือสตรีใดในหกภพ เมื่อเสด็จปู่เปิดโอกาสให้นางได้สร้างบุพเพกับมหาเทพองค์ที่เหล่าเทพธิดาต่างก็ปรารถนาในตัวเขา ให้อิสระในการจุติลงไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ องค์หญิงน้อยที่มีความหยิ่งผยองโดยกำเนิด ไหนเลยจะไม่ทดสอบความงามของตน น่าเสียดาย...สุดท้ายแล้วนางก็ทำพลาด หลังจากที่เทียนเฟิ่งประทานนามหม่านหงให้ผู้อื่น นางก็เปลี่ยนนามทุกหมื่นปี จนกระทั่งเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลังจากงานชมบุปผชาติของเทียนโฮ่ว เทียนเฟิ่งผู้เป็นที่เคารพในหกภพก็พลันหายตัวไป ผู้คนเข้าใจว่านางถูกอสนีของเทพมังกรได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องเร้นดวงจิตไปจากทั้งหกภพ แต่ไม่มีมีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วกลับเกิดความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของเทียนเฟิ่ง จนนางต้องลงมายังโลกมนุษย์ในฐานะศิษย์ของปรมาจารย์ไป๋หยางสุ่ยและยังเป็นศิษย์น้องของหม่านหง แม้จะอยู่ในร่างของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง แม้จะไม่มีรัศมีอันเลิศล้ำของมหาเทพบรรพกาลอย่างที่หม่านหงเคยพบ แต่เทียนเฟิ่งกลับยังสามารถคว้าหัวใจของมหาเทพเฉียนเวยได้ ครั้งนั้นนางจึงได้รู้ ว่าการขัดขวางบุพเพของผู้อื่น โดยเฉพาะบุพเพของมหาเทพทั้งสองนั้น เท่ากับเป็นการลงแรงอย่างเสียเปล่าโดยแท้ ทว่าก่อนที่มหาเทพเฉียนเวยในภพมนุษย์จะเข้าสำนักเซียน เขาได้ทำสัญญากับจักรพรรดิเฉียนหลงผู้เป็นพระบิดาไว้ หากไม่สามารถชนะการประลองสี่สำนัก จำต้องกลับสู่วังหลวงของต้าเฟิงเพื่ออภิเษกกับหม่านหงและรับตำแหน่งรัชทายาทเพื่อสืบราชสมบัติ ในเวลาเดียวกันนั้นจักรพรรดิมารก็ได้ยื่นข้อเสนอให้จักรพรรดิเฉียนหลงส่งองค์หญิงเพื่อมาเป็นบรรณาการ องค์จักรพรรดิแม้จะทรงเหี้ยมหาญและเผด็จการ กระนั้นแล้วก็ยังทรงรักใคร่เอ็นดูโอรสธิดาทุกพระองค์เป็นอย่างยิ่ง จึงไม่มีทางยินยอมให้องค์หญิงทั้งหลายไปเป็นบรรณาการให้กับจักรพรรดิที่ผู้คนร่ำลือว่าทั้งวิปริตและโหดเหี้ยมทารุณ เป้าหมายและความกดดันจึงถูกชี้มาที่นาง ธิดาของมหาเสนาบดีที่ถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายา หากนางเปลี่ยนใจมหาเทพเฉียนเวย...ไม่สิ องค์ชายเฉียนเวยไม่สำเร็จ ก็จะถูกส่งไปยังแดนมารเพื่อเป็นบรรณาการ และใช่...นางกลายเป็นบรรณาการให้แก่จักรพรรดิมารในที่สุด ข่าวลือว่าจักรพรรดิเฉียนหลงส่งองค์หญิงองค์ใหม่ไปเป็นบรรณาการยังแดนมารแพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้เหล่าชาวเมืองเฟิงหยางซึ่งเป็นเมืองหลวงต่างก็ออกมารอส่งองค์หญิงบรรดาศักดิ์ผู้น่าสงสารองค์นี้ ท่ามกลางเสียงพูดคุยปนสมเพชต่อจิ้งหม่านหง ในซอกมุมหนึ่งของตรอกเล็กๆ กลับมีร่างสองร่างนั่งบนกำแพง สายตาทอดมองเกี้ยวขนาดสิบหกคนหาม ที่เคลื่อนไปพร้อมกับหีบสินเดิมเจ้าสาวซึ่งอีกนัยหนึ่งคือเครื่องบรรณาการแด่จักรพรรดิมารเยียนจิ่งยาวนับสิบลี้ด้วยความเวทนา เนื่องด้วยแผ่นดินต้าเฟิงเชื่อมต่อกับทั้งแดนมาร แดนปีศาจ และส่วนหนึ่งยังเกี่ยวข้องกับแดนเซียน ดังนั้นแล้วจักรพรรดิเฉียนหลงจึงมีพระประสงค์ที่จะสานสัมพันธ์กับแดนมารเพื่อสมดุลแห่งอำนาจ องค์หญิงที่ประสูติโดยพระสนมทั้งหลายไม่มีผู้ใดยินยอมอภิเษกออกไป ด้วยเพราะหวาดกลัวคำร่ำลือที่ว่าจักรพรรดิมารทั้งโหดเหี้ยมและทารุณ องค์จักรพรรดิเองก็ทรงไม่อยากให้ธิดาอภิเษกออกไปเช่นกัน เดิมทีแล้วพระองค์คิดจะแต่งตั้งสามัญชนปลายแถวสักคนหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการในครั้งนี้ ทว่าจักรพรรดิมารมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน แม้มิเคยออกมาสำแดงฤทธิ์เดชต่อหน้าชาวมนุษย์ แต่ก็ทราบกันดีว่าด้วยอำนาจที่มีแล้วยังเพียงพอให้ถล่มแผ่นดินต้าเฟิงให้ราบเป็นหน้ากลอง จิ้งหม่านหงเป็นธิดาของมหาเสนาบดี เดิมทีแล้วสมควรจะได้อภิเษกสมรสกับองค์ชายรองเฉียนเวย หากแต่องค์ชายรองสิ้นพระชนม์อย่างไร้สาเหตุ สุดท้ายแล้วนางจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการให้กับจักรพรรดิมารเยียนจิ่ง เมื่อรับหน้าที่หนึ่งมาแล้ว ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีก แม้นางจะยังมีความทรงจำของชีวิตในภพก่อน ทว่าความเป็นจริงแล้วชีวิตนี้สภาพของนางก็ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก เพราะความกตัญญูเป็นตัวชี้นำ แม้จะถูกมองเป็นหมากตัวหนึ่ง นางก็จำต้องยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นเสด็จปู่ในภพก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นบิดาในชาตินี้ แต่ละคนล้วนเห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งวันนี้นางร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายโลหิต พวกเขาก็มิได้เห็นใจนาง หากว่ายามอยู่บนเก้าชั้นฟ้าไม่มีเสด็จแม่คอยปลอบโยน นางก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถยิ้มแย้มอ่อนหวานให้กับผู้ใดได้ เสด็จพ่อของนางเป็นเพียงองค์ชายรองที่ดำรงแต่เพียงยศศักดิ์ หากแท้จริงแล้วกลับมิได้มีอำนาจเลยแม้แต่น้อย บางครานางยังลอบคิดในใจ ว่าหากมารดาของนางมิใช่คนของเผ่าวิหค หากว่านางมิได้มีพรของเทียนเฟิ่งมาตั้งแต่เกิด เสด็จปู่จะยังทรงเห็นนางเป็นหลานรักหรือไม่ หรือเพราะเป็นเช่นนี้ เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนางถึงไม่คิดมีโอรสธิดาเพิ่ม หม่านหงพยายามมองเรื่องเหล่านี้ในแง่ดี ว่าเทพเซียนให้กำเนิดบุตรธิดายากนัก พยายามไม่มองว่าเพราะพวกเขาเห็นนางทนทุกข์ จึงไม่คิดมีน้องสาวน้องชายให้นาง เมื่อจุติลงมาในโลกมนุษย์ นางยังคงความทรงจำแต่เก่าก่อน เดิมแล้วแม้จะดีใจที่ได้ลงมาสร้างบุพเพกับมหาเทพองค์นั้น แต่ก็ย่อมเข้าใจอยู่ลึกๆ ว่าเขามิได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย กระทั่งยามที่เขาปลอบประโลมนาง ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในหัวใจ หรือแม้กระทั่งยามที่ดื่มน้ำแกงลืมเลือน เขาก็ไม่เคยปฏิเสธบุพเพที่ศิลาสวรรค์กำหนดได้ หม่านหงใช้ชีวิตตามที่ผู้อื่นขีดเส้นให้ แม้จะจุติลงมา ได้บิดาเป็นถึงมหาเสนาบดี เขากลับมองนางเป็นเสมือนเครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น เคราะห์ยังดีที่ฟูเหริน[2]ของมหาเสนาบดีรักใคร่เอ็นดูนาง แท้จริงแล้วในภพมนุษย์ของนางก็มิได้ดีไปกว่ายามเป็นองค์หญิงของเผ่าสวรรค์เลย ครั้นเทียนเฟิ่งเปิดเผยตัวตน นางจึงตระหนักได้ว่าเทพปักษาลงมายังโลกมนุษย์ ก่อนหน้านี้นางเพียงเคลือบแคลงสงสัยถึงบุรุษหนุ่มที่โผล่มาในสำนัก คิดไม่ถึงว่านั่นคือเทียนเฟิ่งที่หายตัวไป ใจของนางก็ร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว หากภารกิจในครั้งนี้ของนางไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าฐานะของเสด็จพ่อนางจะยังตกต่ำไปมากกว่านี้หรือไม่ ตลอดเส้นทางที่ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนผ่าน ไม่มีครั้งใดที่นางจะหยุดหลั่งน้ำตา เป็นดังที่เทียนเฟิ่งกล่าวไว้ สิ่งใดที่หยิบยืมผู้อื่นมา สักวันก็ต้องคืนเขาไป มือของนางสั่นระริก ความหวาดกลัวกำลังกัดกินจิตใจนาง ชีวิตนี้นางหวังเพียงอย่างเดียว หวังเพียงให้มีคนสักผู้หนึ่งเป็นดังเช่นกิ่งไม้ให้นางได้เกาะยึด นางอยากทิ้งชีวิตบนเก้าชั้นฟ้า ที่ตอบรับลงมาจุติก็เพียงเพื่อได้ลองใช้ชีวิตในรูปแบบอื่น แต่กลับหนีไม่พ้นการจับตาของเสด็จปู่ แท้จริงแล้วชีวิตของนาง...เป็นของผู้ใด คนของผู้อื่น...แม้จะอยากแย่งชิงก็หาได้แย่งชิงตามใจไม่ สุดท้ายแล้วเขาผู้นั้นก็ยอมทิ้งชีวิตในภพนี้ กลับไปยังจุดเดิมที่เคยอยู่ กลีบปากบางเหยียดยิ้ม นึกสมเพชตัวเองที่เป็นเช่นนี้ หากคราวนั้นนางเชื่อเสด็จแม่ ไม่ยอมตัดสัมพันธ์กับศิลาสวรรค์ ถึงตอนนี้แม้แต่เทียนจวินก็คงไม่สามารถกำหนดเรื่องบุพเพวาสนาของนางได้ เกี้ยวขนาดสิบหกคนหามเคลื่อนเข้าสู่ดินแดนมาร กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีบนเขาคุนหลุนปลุกสติของนางได้ชะงัด หม่านหงลอบมองผ่านผ้าม่านในเกี้ยวเจ้าสาว พลันรู้สึกว่าทิวทัศน์ภายนอกงดงามจับตายิ่งนัก สิ่งเหล่านั้นสะกดสายตาของนางอยู่เนิ่นนาน ทว่าเมื่อรู้ตัวอีกที เสียงแตรที่แห่นำขบวนเจ้าสาวก็พลันหายไป คนหามเกี้ยว คนแบกหีบสินสอด ผ้าแพร ดอกไม้ คนนำขบวนล้วนมลายหายไป กระแสลมเย็นคลอเคลียชุดเจ้าสาว นางหนาวสะท้านไปถึงจิตใจ คนที่ตามขบวนเจ้าสาวมาพร้อมกับนาง แม้กระทั่งสาวใช้จากจวนมหาเสนาบดี เมื่อถึงเขตแดนมารก็พลันลี้หนีหาย หม่านหงหัวเราะเยาะตัวเอง ตำแหน่งองค์หญิงเป็นเพียงตำแหน่งเลื่อนลอย ไม่มีผู้ใดอยากฝากชีวิตไว้กับนาง ไม่มีผู้ใดคิดอยากก้าวเข้าสู่แดนมาร ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยออกจากปากของผู้เป็นจักรพรรดิ ก็ไม่ต่างกับผายลมสุนัข ล้วนแล้วแต่ไม่มีผู้ใดดีไปกว่ากันทั้งสิ้น ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวผืนบางจนมองเห็นภายนอกได้ ทิวทัศน์ที่อาบย้อมสีแดง แฝงกลิ่นอายอันตรายรอบด้าน หญิงสาวนั่งอย่างสงบ ปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เมื่อชะตาชีวิตของนางได้ถูกตัดสินเพื่อให้เป็นของเล่นแก่จักรพรรดิมาร นางก็จะอดทน รอจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่ กลับคืนสู่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า รอดูว่าเสด็จปู่จะมีอะไรมาใช้งานนางอีก ผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา เจ้าสาวยังคงนั่งนิ่งในเกี้ยว นอกจากน้ำตาที่รินไหลแล้ว แววตากลับมิได้มีความหวาดหวั่นแต่อย่างใด ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่บนต้นไม้นึกฉงน สตรีตรงหน้าเป็นอย่างไรไม่มีใครคาดเดาได้ หากแต่แววตาเย็นชาของเขากลับปรากฏความแค้นวูบหนึ่ง อาภรณ์เก่าทว่าสะอาดสะอ้านบนกายมิได้ช่วยปกปิดกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมา เขาสวมงอบเข้ากับศีรษะ ใช้มือไล้แผลเป็นใต้ตาขวาเพื่อตรวจสอบ ก่อนจะพลิ้วกายไปยังเกี้ยวเจ้าสาว หม่านหงสะดุ้ง แววตาไหวระริก เมื่อเห็นชายหนุ่มท่าทางอันตรายเบื้องหน้า สัญชาตญาณของผู้ฝึกเซียนทำให้นางไขว้มือทำมุทรารอ ใบหน้าใต้งอบที่มีผ้าสีดำปิดอยู่มืดทะมึน แม้ว่าจะมีลมพัดให้ผ้าผืนนั้นไหวพะเยิบ กลับไม่อาจมองเห็นแววตาของเขาได้ “ข้าขอถาม เจ้าใช่บรรณาการที่จักรพรรดิเฉียนหลงส่งมาใช่หรือไม่” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยแรงดึงดูดอันร้ายแรงจนหัวใจของคนฟังแทบกระดอนออกมา ปรากฏว่าชายแปลกหน้าผู้นี้มีน้ำเสียงที่ไพเราะจนแม้แต่เทพธิดาอย่างนางก็รู้สึกหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัว บอกก็เท่ากับว่านางยอมรับ นางมาที่นี่ในฐานะบรรณาการก็จริง ทว่าไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องบอกเขา เมื่อเห็นความสงบของนาง ภายในใจของชายหนุ่มบังเกิดความรู้สึกอยากทำลายสตรีตรงหน้ายิ่งขึ้น “หึ...ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสามทาง มากับข้า รอจักรพรรดิมารหรือตาย” ดวงตาคู่งามช้อนขึ้นมองผ้าสีทึมที่ปกปิดใบหน้าของชายหนุ่ม ตายหรือ...ดวงตาหงส์คู่งามสั่นไหวเล็กน้อย หากนางตายก็เท่ากับไปพบเทียนจวินรวดเร็วขึ้น แต่...ชีวิตอิสระของนางมีเพียงเท่านี้เองหรือ ทว่าพบกับจักรพรรดิมาร...ต้องถูกเขาย่ำยี ก็ไม่ต่างกับตายทั้งเป็น หากไปกับเขา...ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่านางจะอยู่รอดปลอดภัย หม่านหงหลุบตาลง ตัดสินใจไม่พูดกับคนตรงหน้า เขาเข้ามาในเกี้ยว รังสีกดดันทำให้นางหายใจไม่ออก มือที่ทำมุทราค้างไว้สั่นระริก นางได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขา เมื่อรู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเลิกขึ้น เวลาต่อมาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบตรงดวงตา ภาพตรงหน้ามืดลง นางตกใจจนแทบสิ้นสติ สัมผัสเย็นเฉียบนั้นหายไปแล้ว ร่างกายของนางถูกช้อนลอยขึ้น กลิ่นหอมของดอกจี้ฮวา[3]ลอยกรุ่นตรงปลายจมูก นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของเขา อ้อมแขนแกร่งที่โอบประคอง กระแสลมเย็นที่ตีผ่านใบหน้า ทว่ากลับมองไม่เห็นสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย นางตาบอดแล้วหรือ...ง่ายถึงเพียงนี้ หม่านหงมิได้หวาดกลัวว่าตนเองจะตาบอด ทว่านางกำลังหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะทรมานนาง กลีบปากอิ่มเต็มกัดเม้มจนห้อเลือด เกิดความลังเลใจว่านางควรจะถามเขาหรือไม่ แต่ไม่มีใครสามารถบอกเรื่องนี้กับนางได้ ชีวิตที่ไม่เคยผ่านการตัดสินใจด้วยตัวเอง ยากลำบากถึงเพียงนี้เชียวหรือ น้ำตาของนางรินไหล รสชาติเค็มปะแล่มไหลเข้าปาก พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดตรงปลายจมูก ไม่มีความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ทว่ายังรู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนตรงใบหน้า นางถูกพาไปยังสถานที่ใดก็มิอาจทราบได้ รู้ตัวอีกทีนางก็ถูกวางบนเตียงแข็ง พร้อมกับเสียงแหบพร่าของเขาที่เดาอารมณ์ไม่ถูก “ในเมื่อเจ้าไม่เลือก ข้าก็ถือว่าเจ้าเลือกข้อแรก ต่อจากนี้ไปเจ้ากลายเป็นของข้าแล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็จะไม่มีวันหาเจ้าพบอีก” เป็นของเขา? นางมีทางเลือกหรือไม่? หานางไม่พบอีก...จริงหรือ? ใจของนางเต้นระส่ำ แม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับคำพูดหยาบกระด้างของเขา แต่ส่วนหนึ่งที่นางสัมผัสได้ กลับเป็นความพอใจจากน้ำเสียงของคนผู้นั้น สายตาของนางมืดบอด ทว่าโสตสัมผัสกลับชัดเจนยิ่ง ยังคงเป็นเสียงอันไพเราะของเขาที่ทำให้นางเผลอเคลิบเคลิ้มโดยไม่รู้ตัว ในโลกนี้นอกเหนือจากเทียนหลงเฉียนเวยแล้ว ยังมีผู้ใดที่มีเสียงอันไพเราะและเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้อีก นี่คงเป็นเพียงสิ่งที่ดีที่สุดที่สวรรค์ประทานให้ ทว่าเหตุใดอิสระที่ได้มาต้องแลกกับการมองเห็นของนางด้วยเล่า เขาพานางไปยังที่แห่งหนึ่ง มงกุฎหงส์ที่ศีรษะถูกปลด มือนุ่มนิ่มหลายมือเลื่อนมาช่วยนางถอดอาภรณ์ เสียงกระซิบให้ระวังของสตรีสองสามคนดังขึ้น นางถูกคนจูงให้เดินสักพัก กลิ่นหอมกรุ่นกำจายไปทั่ว เมื่อปลายเท้าสัมผัสน้ำร้อน เมื่อร่างกายถูกจับวางลงในบ่อน้ำขนาดพอดีตัว สตรีเหล่านั้นขัดผิวให้นางอย่างเบามือ สระผมให้นางอย่างคล่องแคล่ว นั่นยิ่งทำให้นางแคลงใจว่าบุรุษที่พานางมาคือผู้ใด กระทั่งอาบน้ำเสร็จและเช็ดผมจนแห้ง สตรีเหล่านั้นก็เงียบเสียงลง มือเย็นเฉียบของบุรุษจับแขนของนางไว้ สัมผัสบางเบาแตะตรงริมฝีปาก กลีบปากบางเผยออ้าเล็กน้อย รสชาติขมฝาดพลันไหลลงคอจนแสบร้อน นางรู้สึกว่าเขาเริ่มดันตัวให้เอนราบ แม้จะเตรียมใจมาว่าสักวันก็ต้องตกเป็นของบุรุษสักคนหนึ่ง แต่ไม่คิดว่าต้องกลายเป็นของบุรุษแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามผู้นี้ มันดีแล้วหรือ? ในหัวของนางยังคงมีความสงสัย ขณะเดียวกันความรู้สึกแปลกใหม่ก็เหลียนเวียนในความคิด เลือดลมของนางสูบฉีดเพราะฤทธิ์สุราที่เพิ่งกลืนลงท้อง ให้ช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้น หม่านหงนิ่วหน้าด้วยความตระหนก ตัวของนางสั่นเกร็งอย่างมิอาจห้ามได้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีปลายถันก็ถูกสัมผัสแผ่วเบาแตะไล้ ค่อยๆ เคล้นคลึงจนนางหอบหายใจ ไม่ทันที่นางจะเบี่ยงตัวหลบแขนทั้งสองข้างก็ถูกกดราบลงกับพื้นเตียง กลิ่นดอกจี้ฮวาลอยกรุ่นตรงปลายจมูกจนนางเกือบเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสแห่งตัณหาที่เขาสร้างขึ้น หากแต่เมื่อมีสติเพียงแวบหนึ่ง นางจึงพยายามดิ้นรนขัดขืนและกรีดร้องออกมาด้วยความตระหนก ทว่ากลับมีเพียงเสียงลมแหบพร่าราวกับคนเป็นใบ้ น้ำตาของนางรินไหลเพราะความหวาดกลัวในส่วนลึก แม้ว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจแล้ว แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง นางกลับปรารถนาจะได้มอบความบริสุทธิ์ทั้งหมดให้กับคนที่นางพึงใจ ทันใดนั้น ในหูพลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น “เป็นของข้า แล้วเจ้าจะไม่ถูกผู้ใดพบเห็น เจ้ามิใช่ปรารถนาอิสรเสรี สามารถหลบพ้นหูตาและการบังคับกะเกณฑ์ของผู้อื่นหรือ” ยังคงเป็นเสียงที่ไพเราะจนเกือบทำให้นางใจอ่อน คล้ายกับว่าเขาผ่อนแรงลง อ่อนโยนลงอีกนิด ใจของนางเต้นระทึก สัมผัสวาบหวามทำให้นางทำตัวไม่ถูก ฤทธิ์สุราเพิ่มความอยากรู้อยากเห็น ขณะเดียวกันศีลธรรมในใจทำให้นางพยายามดิ้นรน [1] ปีลิงธาตุดิน หยาง [2] ในเรื่องนี้จะใช้ยศศักดิ์แบบจีนกลาง อาจมีการเปลี่ยนแปลงการเรียกขานให้เป็นแบบจีนกลางทั้งหมด ฟูเหริน = ฮูหยิน [3] ดอกไม้แห่งแดนมาร สัญลักษณ์แห่งการไม่อาจปล่อยวาง มีกลิ่นหอมพิเศษ ลักษณะคล้ายกับดอกวิสทีเรีย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD