บทที่ 1 เพียงเจ้าเปลี่ยนเป้าหมาย
ฮ่องเต้หมิงพระราชทานตำแหน่งสำคัญที่ยังไม่มีผู้ใดในรัชกาลนี้ได้ดำรงมาก่อน นั่นคือ ชินอ๋อง หรือองค์ชายขั้นหนึ่ง ให้กับ จวิ้นอ๋อง หมิงจิ้นเหอ ผู้เป็นแม่ทัพแห่งภาคเหนือ คุมกองกำลังพยัคฆ์เหินอันเกรียงไกร ชินอ๋องผู้นั้นอภิเษกสมรสกับฟ่านซิ่วอิง บุตรีใต้เท้าฟ่าน เสนาบดีฝ่ายซ้ายคนสำคัญ และเป็นหลานของฮองไทเฮาที่เป็นพระมารดาเลี้ยงของฮ่องเต้
ชื่อเสียงที่โด่งดังอย่างยิ่งในยามนี้ของชินอ๋องกับพระชายาเอก คือ การที่มีบุตร ฝาแฝดถึงสี่คน กล่าวขานกันว่า พระชายาเอกผู้นี้คือ เทพีแห่งการมีบุตรที่สวรรค์เบื้องบนประทานพรมาให้
ชินอ๋องผู้เป็นแม่ทัพที่มีฉายาว่า ‘ปีศาจภูเขา’ ควงทวนฟาดฟันศัตรูไม่เคยลดละ ถือดาบตัดหัวคนไม่กระพริบตาผู้นั้น บัดนี้กำลังสาละวนกับการเลี้ยงทารกน้อยทั้งสี่ช่วย พระชายาจนไม่ได้สนใจเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นการส่วนตัวเช่นแต่ก่อน
บัดนี้ ฮ่องเต้หมิง พระเชษฐาผู้ฉ้อฉลและโฉดยิ่งผู้นั้น กำลังวางแผนที่จะเข้าไปยึดเอาทรัพยากรในแคว้นจิน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นหมิง คำว่า ‘จิน’ ที่แปลว่า ทองนั้น มีที่มาจากเหมืองทองคำที่แคว้นนี้ครอบครองอยู่มาหลายชั่วอายุคน นับตั้งแต่ยังดำรงเป็นชนเผ่า จวบจนสถาปนาแคว้นขึ้น
“องค์ชายสิบสอง นับตั้งแต่คราวนั้น เจิ้นยังติดค้างรางวัลในการช่วยชีวิตเจิ้นไว้”
“หามิได้ พะยะค่ะ ฮ่องเต้ทรงมอบอาวุธลับเหล่านั้นให้หม่อมฉันก็เพียงพอแล้ว” องค์ชายสิบสอง หมิงเฉินกง เป็นผู้หลงใหลในอาวุธลับ เมื่อครั้งงานสมรสพระราชทานของรองแม่ทัพมู่ เกิดเหตุลอบสังหารฮ่องเต้ คราวนั้นนักฆ่าจากต่างถิ่นได้ขว้างอาวุธลับแปลกประหลาดเป็นรูปสี่แฉกออกมาจำนวนมาก
“ครั้งนี้ เราจะให้เจ้าดำรงตำแหน่งจวิ้นอ๋อง ต่อจากเจ้าห้า แต่ว่า....”
สัญชาตญาณขององค์ชายสิบสองเริ่มไม่ค่อยดีนัก ขนอ่อนตรงท้ายทอยคล้ายจะลุกชันขึ้นพร้อมกัน ‘ใครบ้างจะไม่รู้ถึงความเหลี่ยมจัดของเจ้าพี่ฮ่องเต้’
“เราจะให้อภิเษกสมรสกับองค์หญิงจินเฟิ่ง ธิดาของอ๋องจิน”
องค์ชายสิบสองผงะในทันที ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับองค์หญิงต่างถิ่นนั้น ล้วนแล้วแต่ไปในทางเลวร้าย ก็ดูอย่างองค์หญิงซู่ลี่หมีขาวใหญ่นั่นปะไร ลือกันนักว่า งามล่มเมือง
“เอ่อ...ขอหม่อมฉันสืบข่าวก่อนได้หรือไม่?”
ฮ่องเต้หรี่ตามองน้องชาย ก่อนจะโบกพระหัตถ์ “ไม่ว่าจะอย่างไร เจิ้นก็อยากให้เจ้าสมรสกับนาง ตำแหน่งจวิ้นอ๋องก็คงไม่น้อยหน้าที่จะทำให้อ๋องจินยอมรับเจ้าในฐานะราชบุตรเขยได้”
หมิงเฉินกงนึกถึงเรื่องเล่าที่ข้าราชบริพารเคยเล่าถวายเมื่อครั้งยังเยาว์ แคว้นจินเป็นชนเผ่าป่าเถื่อน แม้จะสถาปนาแคว้นขึ้นมาได้ แต่กลับไม่สนใจเคร่งครัดในธรรมเนียมปฏิบัติมากนัก บริเวณรายรอบแคว้นเป็นป่ารกทึบ ทั้งชายและหญิงจึงนิยมล่าสัตว์ พวกเขามีผิวคล้ำ ร่างกายสูงใหญ่ แค่คิด องค์ชายสิบสองก็ถึงกับฝันร้าย
เมื่อออกจากห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ได้ ก็รีบรุดไปหาชินอ๋อง ป้าย ‘วังสามพยัคฆ์’ ที่ได้รับพระราชทานหลังจากให้กำเนิดโอรสทั้งสามในคราวเดียวเด่นหรา จวิ้นอ๋องพระองค์ใหม่ถึงกับถอนหายใจ ‘เจ้าพี่ฮ่องเต้ ให้แต่สิ่งดีๆ กับชินอ๋อง แต่กับข้าเล่า?’
ชินอ๋องที่อุ้มลูกชายคนโต หันมามองน้องชายที่หน้าบึ้งมาแต่ไกล
“อ้าว! จวิ้นอ๋อง เจ้ามาแต่เช้าเทียว”
“ท่านรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว ไม่เตือนเปิ่นหวางสักคำ”
ทารกอายุสามเดือนขดแขนขาอยู่ในห่อผ้า แม่นมทั้งสี่และพี่เลี้ยงอีกแปดคนคอยวนเวียนดูแลอยู่ไม่ห่าง ชินอ๋องหน้าตาแจ่มใส ฮ่องเต้ให้พระองค์พักงานได้หกเดือน จึงเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่เลี้ยงบุตรธิดา ที่สำคัญหลังสามเดือนแล้วได้คลอเคลียพระชายาที่อวบอิ่ม น่ากินกว่าแต่ก่อนได้ทุกค่ำคืน
“เตือนเจ้าแล้วจะเป็นกระไรได้ ฮ่องเต้วางแผนเรื่องนี้ไว้นานแล้ว หาแค่ผู้ที่เหมาะสมเป็นราชบุตรเขยแคว้นจินเท่านั้น”
“เหตุใดต้องเป็นองค์ชายสิบสองที่แต่งไปแคว้นนั้น มิใช่นางแต่งมาแคว้นเรา” พระชายาหันไปหาชินอ๋อง
แคว้นหมิงยิ่งใหญ่กว่าแคว้นจินมากมายนัก กองทหารก็ยิ่งใหญ่กว่า มิต้องพูดถึงความสามารถในการรบของชินอ๋องสวามีของนาง แค่จำนวนไพร่พลของกองทัพหมิงก็ยังเป็นครั่นคร้ามของอีกสี่แคว้น
“นั่นเพราะเหมืองทองอย่างไรเล่า?” องค์ชายสิบสองไตร่ตรองเรื่องราว “ฮ่องเต้อาจจะทรงเล็งเห็นโอกาสที่จะได้ร่วมมือกันกับแคว้นจิน เพราะแคว้นเหลียนเองก็เริ่มทำการค้าทางทะเลกับต่างแดนแล้ว”
ชินอ๋องพยักหน้า เขากำลังติดตามเรื่องนี้ แคว้นจินเองก็พยายามจะติดต่อกับแคว้นเหลียนที่มีท่าเรือขนาดใหญ่ นี่เป็นเหตุผลที่ฮ่องเต้หมิงพยายามสานสัมพันธ์กับแคว้นจินก่อนที่แคว้นจินกับแคว้นเหลียนจะตกลงกันได้ หากเปลี่ยนเป็นการอภิเษกสมรสระหว่างแคว้นเหลียนกับแคว้นจิน คราวนี้แคว้นหมิงย่อมสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล เพราะแคว้นหมิงไม่มีทางออกทางทะเล มีเพียงแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน
“แคว้นเหลียนก็มีโอรสธิดาหลายพระองค์ หากจะตกลงอภิเษกกับบุตรทั้งสองของอ๋องจินก็สมควร” ชินอ๋องคิดว่า ตนเองก็ต้องเริ่มสืบเรื่องนี้อย่างจริงจัง
“แต่ว่า เปิ่นหวางจะต้องอภิเษกกับนาง ท่านก็เคยเห็นนี่ชินอ๋อง คนแคว้นจินรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ หยาบกระด้าง” สีหน้าสยดสยองของน้องชายผู้สุภาพเรียบร้อยและดูเป็นบัณฑิตทุกกระเบียดนิ้ว ทำเอาชินอ๋องอมยิ้ม
“นั่นเป็นชาวพื้นเมืองเดิมของแคว้นจิน แต่ได้ยินมาว่า ภายหลังนิยมแต่งงานกับ ชาวเผ่าต่างๆ ที่อยู่แถบทิศเหนือของแคว้นที่มีผิวขาวจัด ตาสีฟ้าจึงมีคนส่วนหนึ่ง เปลี่ยนไป”
“พี่ห้า คราวนี้ท่านต้องช่วยเปิ่นหวาง” เมื่อเรียกชื่อนี้ ชินอ๋องรู้ว่า น้องชายคงได้รับความร้อนใจอย่างยิ่ง
“หากเปิ่นหวางต้องเดินทางไปแคว้นจิน ต้องเตรียมคนที่เก่งที่สุดไปด้วย”
ชินอ๋องกับพระชายาปรึกษากันแล้วจึงมอบองครักษ์เงาผู้เก่งกาจอันดับสองของวังสามพยัคฆ์ คือ ฉินจางหย่ง หรือฉินผู้น้อง ไปร่วมกับทีมองครักษ์เงาของจวิ้นอ๋อง ที่สำคัญงานนี้ จินวั่งซู ญาติผู้พี่นั้นขอติดตามไปด้วย
“แคว้นจิน หากนับแล้วเป็นญาติสายหนึ่งของหม่อมฉัน จวิ้นอ๋องก็ควรให้หม่อมฉันไปด้วย เพื่อจะได้ช่วยเจรจา” ท่านปู่ของจินวั่งซูเป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลจินที่ขอเดินทางมาค้าขายยังแคว้นหมิง ครั้นร่ำรวยลงหลักปักฐานตบแต่งภรรยาที่นี่จึงไม่ได้กลับไปเยี่ยมต้นตระกูลอีกเลย
“แต่ไปคราวนี้ เราจะไปในฐานะอื่น”
“หือ....” จินวั่งซูรู้สึกได้ว่า การเดินทางครั้งนี้ต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นรออยู่เป็นแน่
“เปิ่นหวางจะปลอมเป็นพ่อค้า ไปสืบเรื่องของอ๋องจินและจิน เฟิ่งให้ชัดเจนเสียก่อน” ใบหน้าหล่อราวเทพเซียนนั้น ปรากฏแววตาหนักแน่น องค์ชายสิบสองตั้งมั่นจะมีพระชายาที่แช่มช้อย อ่อนหวาน สง่างาม รู้ศาสตร์ที่เขาเชี่ยวชาญทั้งเชิงพิณ อักษร และหมากล้อม สมเป็นกุลสตรี
จินวั่งซูจอมยุแยง หรี่ตามองญาติผู้น้อง “จวิ้นอ๋อง คิดจะทำสิ่งใด?”
“ในเมื่อทำให้ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ได้ เปิ่นหวางก็ต้องทำให้นางเปลี่ยนเป้าหมายจากเปิ่นหวางไปเป็นผู้อื่น”
สองมือเรียวใหญ่นั้นหันมากอบกุมมือของจินวั่งซูไว้อย่างมีความหวัง
“พี่วั่งซู หากได้คนโฉดเช่นท่านช่วยเปิ่นหวาง เรื่องนี้ต้องสำเร็จแน่”
***********************