วันนี้บ้านตระกูลลู่เต็มไปด้วยความคึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ ตระกูลฉินก็มารับเจ้าสาวไปเข้าพิธี เสียงหัวเราะและความยินดีดังก้องไปทั่วบริเวณ ทว่าในมุมที่ลึกที่สุดของชั้นสามของคฤหาสน์ กลับมีห้องหนึ่งที่ถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา ห้องนี้ถือเป็นพื้นที่ลับที่สุดของตระกูลลู่ หากจะไปถึงต้องปีนขึ้นบันไดสามชั้น ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องเดินอ้อมทางเดินเพื่อไปให้ถึง
ในห้องนั้นลู่หมิงอวี๋อาศัยอยู่มานานนับสิบปี ห้องของเธอเล็กมาก มีเพียงเตียงหนึ่งหลังและโต๊ะเขียนหนังสือ และที่มุมห้องถูกจัดไว้สำหรับวางกระดานวาดภาพ พื้นที่คับแคบจนไม่สามารถวางเก้าอี้เสริมได้ หากจะนั่งก็ต้องนั่งบนเตียง หรือไม่ก็ยืนวาดรูป
ในเวลานี้ เสียงเดียวที่ดังขึ้นในห้องที่เงียบสงัดเสียงเสียดสีระหว่างพู่กันกับกระดาษเท่านั้น เพียงแค่ประตูหนึ่งบานที่กั้นระหว่างโลกสองใบเอาไว้ ซึ่งต่างจากบรรยากาศในบ้านตระกูลลู่เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องแห่งความยินดี เมื่อเจ้าสาวอย่างลู่เชียน ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่หมิงอวี๋ เธอเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลและเป็นลูกสาวของลุงใหญ่ของลู่หมิงอวี๋ ถูกเจ้าบ่าวอย่างฉินเหลี่ยน อุ้มขึ้นรถมงคลและเดินทางไปยังบ้านเจ้าบ่าว นี่ถือเป็นการแต่งงานที่สมเกียรติและสูงส่ง
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงเวลาเที่ยงวันเสียงอึกทึกค่อย ๆ จางหายไป
........
ณ ชั้นสามของคฤหาสน์
เสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้นที่หน้าห้องเล็ก ๆ นั้น ลู่หมิงอวี๋รีบพลิกหน้ากระดาษที่กำลังวาดไปอีกด้านหนึ่งพร้อมทั้งจัดตำแหน่งกระดาษให้เข้าที่ ก่อนจะเปลี่ยนมือที่ถือพู่กันและลากเส้นแบบลวก ๆ ลงบนกระดาษ
แกร๊ก ประตูถูกเปิดออก
“คุณหนูรอง เชิญลงไปทานอาหารกลางวันครับ” พ่อบ้านนามว่า หวังฉี เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสุภาพ ลู่หมิงอวี๋วางพู่กันลง ก่อนจะลุกขึ้นและเดินลงไปยังห้องอาหาร
….....
มื้ออาหารกลางวันนี้ มีเพียงเธอคนเดียว สมาชิกตระกูลลู่ต่างพากันตามขบวนรถมงคลไปยังบ้านตระกูลฉิน หรือไม่ก็ไปช่วยจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองในโรงแรมในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ จึงเหลือเพียงเธอกับคุณย่า ลู่หมิงอวี๋นั่งอยู่ที่ปลายสุดของโต๊ะอาหาร ซึ่งเป็นที่นั่งที่เธอถูกกำหนดให้นั่งมาตลอด ต่อให้วันนี้จะมีเพียงเธอคนเดียวแต่เธอก็ยังต้องนั่งในตำแหน่งนี้
หวังฉี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลบ้าน ยืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะอาหาร คอยเปลี่ยนจานและเก็บจานให้เธออย่างเงียบเชียบ เขาทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ ไร้อารมณ์ไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ ทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ ปีแล้วปีเล่า
หลังจากทานอาหารเสร็จ ลู่หมิงอวี๋ก็ลุกขึ้นและเดินไปยังสวนหลังบ้าน แต่… ประตูสวนกลับถูกล็อกเอาไว้
“คุณหนูรอง คุณไม่สามารถออกไปที่สวนหลังบ้านได้ครับ” หวังฉีปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเธอและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างสุภาพ
“พ่อบ้านหวัง ฉันแค่อยากออกไปเดินเล่น ชมต้นแปะก๊วยเท่านั้นเอง” ลู่หมิงอวี๋หันกลับมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“คุณหนูรอง คุณไม่สามารถออกไปที่สวนหลังบ้านได้ครับ” หวังฉียิ้มบาง ๆ แต่ยังคงกล่าวซ้ำประโยคเดิม
“ฉันรู้แล้ว”
บรรยากาศอึดอัดและเงียบงันปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง ลู่หมิงอวี๋มองประตูที่ถูกล็อกแน่นหนา ก่อนจะหันหลังกลับไปยังห้องของตนเอง ที่นี่คือบ้านเกิดของเธอ แต่กลับเป็นสถานที่ที่เธอไม่เคยได้รับอิสระแม้แต่น้อย
หลังจากลู่หมิงอวี๋กลับไปที่ห้องของตนเอง เธอจัดแจงตั้งกระดานวาดภาพและเริ่มวาดต่ออย่างเงียบเชียบ
…....
ในยามเย็นที่แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลงและท้องฟ้ากำลังถูกย้อมด้วยสีคราม ณ โรงแรมหรูซึ่งจัดงานเลี้ยงฉลอง ท่ามกลางแขกเหรื่อที่พลุกพล่านในห้องโถงใหญ่ต้วนซิ่วหมิงเผชิญหน้ากับจันเซียงที่สวมชุดสูทดูเรียบร้อยเขาหยุดฝีเท้าลง ดวงตาคมกริบมองจ้องไปที่จันเซียงเป็นเชิงถาม
“ญาติห่าง ๆ ของฉันแต่งงาน พี่หมิงมาร่วมงานเป็นสิริมงคลหน่อยไหม?” จันเซียงเห็นเช่นนั้น จึงรีบอธิบาย
“ไปสิ” ต้วนซิ่วหมิงพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวฉันพาพี่ไปเปลี่ยนชุดก่อน”
“เปลี่ยนอะไร?” ต้วนซิ่วหมิงขมวดคิ้วแน่น
“เอ่อ...พี่หมิง..พี่จะใส่ชุดนี้ไปงานแต่งเหรอครับ?” จันเซียงมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้ง ๆก่อนจะถามเสียงแผ่ว
“ทำไม? ใส่ไม่ได้เหรอ?” ต้วนซิ่วหมิงเลิกคิ้ว
“ใส่ได้… ใส่ได้ครับพี่… ” จันเซียงกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะยิ้มแหย ๆ ถึงแม้เขาจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจเขากลับร้องไห้หนักมาก ใครกันจะกล้าห้ามการแต่งตัวของต้วนซิ่วหมิง บุคคลที่แม้แต่ในโลกใต้ดินยังต้องเกรงใจ?
อย่างไรก็ตาม การแต่งตัวในชุดคลุมอาบน้ำบวกกับรองเท้าแตะ พร้อมกับรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าที่ดูดุดันของเขา ไม่ได้เหมือนมาร่วมแสดงความยินดีแต่ราวกับเขามาที่นี่เพื่อถล่มงานแต่งเสียมากกว่า
“พี่หมิงครับ… เอ่อ… ไปนั่งที่ห้องรับรองชั้นสองดีกว่าไหมครับ? จากตรงนั้นมองเห็นงานแต่งได้ชัดเจนเลยแถมมีอาหารและเครื่องดื่มพร้อม แถมยังออกไปที่ระเบียงสูบบุหรี่ได้ด้วยนะครับ ฮ่าฮ่า…” จันเซียงยืนลังเลอยู่ที่หน้าประตู ในที่สุดก็ไม่กล้าพาต้วนซิ่วหมิงเข้าไปในงานจึงรีบเสนอทางออกให้ ต้วนซิ่วหมิงมองเขาอย่างไร้อารมณ์ ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีหรือไม่ดี
“พี่!… พวกเราอยู่ในต่างถิ่นนะครับ พี่เล่นเด่นขนาดนี้ ผมก็กลัวเป็นนะ…” จันเซียงยิ้มแห้งๆ พร้อมกับเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้า
“อืม ไปก็ได้” ต้วนซิ่วหมิงมองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“เยี่ยมเลยครับพี่!” จันเซียงแทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ต้วนซิ่วหมิงเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เขาเลือกห้องที่ไม่มีคนก่อนจะเดินเข้าไปในห้องรับรอง ต้วนซิ่วหมิงเปิดไวน์หนึ่งขวด เดินไปที่ระเบียงและพิงราวกั้น มองลงไปยังงานแต่งที่กำลังดำเนินไปอย่างคึกคัก เขาไม่ได้สนใจงานแต่งเป็นพิเศษ เพียงแต่อยากเก็บเกี่ยวความโชคดีจากบรรยากาศมงคลเท่านั้น
ณ เวลานี้ งานเลี้ยงฉลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พิธีกรที่ทำหน้าที่อย่างกระฉับกระเฉง แสงไฟต่างสว่างไสวในห้องโถง ดนตรีบรรเลงไพเราะเจ้าบ่าวและเจ้าสาวยิ้มแย้มท่ามกลางคำอวยพร
สายตาของต้วนซิ่วหมิงกวาดมองไปทั่วงาน ก่อนจะหยุดลงที่มุมหนึ่ง ตรงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนเงียบเงียบอยู่ในมุมที่ไม่มีใครสนใจ ดูเหมือนว่าไม่มีที่นั่ง? เธอสวมชุดกี่เพ้าสีขาวมุก ผมดำยาวถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่ายทว่าชุดกี่เพ้าที่เธอสวม กลับดูหลวมและไม่พอดีตัวราวกับเป็นชุดของพนักงานต้อนรับในงาน แม้จะดูไม่เข้ากับบรรยากาศ แต่เธองดงามจนแยกออกจากคนในงานอย่างชัดเจน ความงามที่ไม่ใช่แค่สวยแต่เป็นความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์
แขกในงานหลายคนต่างก็เหลือบมองเธอ แม้แต่ผู้คนที่นั่งไกลก็ยังลุกขึ้นมาดู ไม่นานนัก เพื่อนเจ้าสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปพูดกับหญิงสาวคนนั้น ก่อนจะพาเธอออกไป ต้วนซิ่วหมิงหยุดสนใจและมองไปรอบๆ อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ เขาก็เดินไปที่ระเบียงพร้อมกับไวน์ในมือของเขา ‘งานแต่งงานช่างน่าเบื่อ’
ภายในห้องรับรองแห่งนี้ มีระเบียงที่สามารถมองเห็นงานแต่งด้านล่าง และอีกฝั่งเปิดโล่งสู่ภายนอก ต้วนซิ่วหมิงถือแก้วไวน์ในมือเดินออกมาริมระเบียง ก่อนจะนั่งบนเก้าอี้และทอดสายตามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม ขณะเดียวกันก็พลางดึงม่านบางส่วนออกมาปิดกั้นแสงไฟจากงานเลี้ยงที่อยู่ด้านหลัง เขาต้องการความเงียบสงบในยามนี้ หลีกหนีจากความพลุกพล่าน และปล่อยให้สายลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวหน้าอย่างช้าๆท่ามกลางความเงียบสงบของคืนนี้
ต้วนซิ่วหมิงเดินทางมาถึงเมืองซีจื่อครั้งแรก และเขาก็ถูกดึงดูดจากทิวทัศน์อันเขียวชอุ่มของเมืองนี้ มองไปที่ใดก็เห็นแต่ความเขียวขจีของป่าไม้หนาแน่นที่ไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกถึงความสงบสุข แต่ยังให้ความรู้สึกเหมือนหลุดออกจากโลกภายนอก ต้นไม้ยืนต้นสูงใหญ่ราวกับยักษ์ใหญ่ที่ยาวนานหลายพันปี รากของมันฝังลึกในผืนดิน และกิ่งก้านแผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า ขณะที่ต้นไม้เหล่านี้ยังคงเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของโลกด้วยความเงียบสงบในทุก ๆ ศตวรรษ
โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำที่สวยงามกลมกลืนกับธรรมชาติรอบด้านจนแทบแยกไม่ออกทิวทัศน์ที่นี่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับที่ใดได้จริง ๆ ทุกสิ่งดูงดงามและเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่
ขณะที่เขากำลังหลงใหลไปกับความยิ่งใหญ่ของต้นไม้โบราณที่อยู่ไกลออกไป...
แกร๊ก! เสียงประตูห้องรับรองถูกเปิดออก พร้อมกับเสียงคำสั่งที่ดังขึ้น
“ได้ยินว่าเธอวาดรูปเก่ง วาดภาพบรรยากาศงานแต่งให้หน่อย”
ปัง! ประตูถูกปิดลงหลังสิ้นคำสั่ง
ต้วนซิ่วหมิงหันศีรษะไปมองภายในห้องผ่านม่านที่กั้นระหว่างเขากับด้านใน เขาเห็นว่าเพื่อนเจ้าสาวได้ออกไปแล้ว เหลือเพียงสาวในชุดกี่เพ้าสีขาวมุก ที่สวยงามราวกับนางฟ้าในชุดผ้าไหม
ผ่านมุมมองที่ไม่สามารถเห็นได้จากภายในห้อง เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเขายืนอยู่บนระเบียงมุ่งมั่นจัดท่าทางในการวางแผ่นผ้าใบเพื่อเริ่มต้นการวาดภาพอย่างเงียบๆใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยสมาธิ ดวงตาเหม่อมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า
ขณะที่ปลายพู่กันค่อย ๆ จรดลงบนผืนผ้าใบ เธอหยิบพู่กันขึ้นด้วยมือขวาแล้วเริ่มลงมือวาดภาพ แผ่นหลังผอมบางของเธอตั้งตรง ผมที่ถูกรวบขึ้นเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียนดูเปราะบางราวกับจะแตกหักได้ง่าย ๆ แม้แต่เงาหลังยังดูงดงามจนชวนตะลึง สวยสะดุดตา แต่ก็น่าเบื่อเป็นบ้า!
........
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด… ต้วนซิ่วหมิงหลับตาลง พักสายตาสักครู่ เสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบา ปล่อยให้ช่วงเวลาสำคัญดำเนินไปอย่างงดงาม ท่ามกลางแสงไฟสลัวอันอบอุ่น ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด เสียงปรบมือกึกก้องดังกระจายไปทั่วทั้งงาน ราวกับหยาดฝนแห่งความยินดีโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า เจ้าบ่าวกุมมือเจ้าสาวไว้แน่น ดวงตาสองคู่สบประสานกันทอประกายอ่อนหวานและลึกซึ้งราวกับจะบอกกล่าวทุกถ้อยคำที่หัวใจรู้สึก
“เอาละ และแล้วเวลาก็ดำเนินมาถึงช่วงสำคัญที่สุดของค่ำคืนนี้แล้ว” พิธีกรประกาศด้วยน้ำเสียงสดใส เสียงเชียร์ของแขกเหรื่อดังขึ้นประสานกันเป็นหนึ่งเดียว
ริมฝีปากของเจ้าบ่าวค่อย ๆ โน้มลงหาหญิงสาวตรงหน้า ลมหายใจร้อนผ่าวปะทะกับปลายจมูกของเธอ ใกล้เสียจนได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันเต้นเป็นจังหวะเดียวกันและในที่สุดสัมผัสอ่อนโยนก็แนบลงบนริมฝีปากของเจ้าสาว เสียงเฮดังสนั่น แขกทุกคนปรบมือให้กับภาพความรักอันแสนงดงามตรงหน้า
ต้วนซิ่วหมิงลืมตาขึ้น กวาดสายตามองไปทั่วห้องเหอะ! ฝีมือวาดของผู้หญิงคนนี้ก็ใช้ได้อยู่หรอก แม้เวลามีจำกัดจนเธอไม่มีโอกาสเก็บรายละเอียดให้สมบูรณ์แบบ แต่เธอก็สามารถจับจุดสำคัญของงานแต่งได้ สีสันที่เลือกใช้ก็ดูโรแมนติกไม่น้อย เพียงแต่ว่า… ‘ไร้ชีวิตชีวาสิ้นดี!’
สั่งให้เธอวาดก็วาด บอกให้ทำอะไรก็ทำตามอย่างว่าง่าย ตลอดทั้งงานแต่งเธอแทบไม่ได้แตะอาหารสักคำเอาแต่ก้มหน้าก้มตาวาดรูปเท่านั้น น่าเบื่อ แข็งทื่อ แถมยังยอมคนไปเสียทุกอย่าง เสียดายใบหน้าที่งดงามราวสวรรค์สรรค์สร้าง! ‘ช่างน่าผิดหวัง!’
ต้วนซิ่วหมิงหลับตาลงอีกครั้ง ราวกับจะนอนหลับไปจริง ๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน บรรยากาศภายในงานยังคงอบอวลไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะและบทสนทนาแว่วดังเป็นระยะ ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพราะพิธีสำคัญหรือซีนโรแมนติกใด ๆ หากแต่เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย การจับรางวัลส่งท้ายงานแต่ง
“ถึงเวลาลุ้นโชคแล้วนะคะ ของรางวัลแต่ละชิ้นล่อตาล่อใจไม่น้อยเลยทีเดียว!” เสียงพิธีกรประกาศขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แขกเหรื่อที่เริ่มอิ่มหนำกับอาหารและบรรยากาศต่างพากันหันมาสนใจ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหลายคนเมื่อมองไปยังกล่องจับรางวัลที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า เจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนเคียงข้างกัน ถือไมโครโฟนด้วยท่าทางสนุกสนาน
ต้วนซิ่วหมิงลืมตาขึ้น ตั้งใจจะลุกออกจากห้องบรรยากาศแห่งงานมงคลที่ดำเนินไปด้านนอกเขาสัมผัสมาพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ ทว่าเมื่อเปิดม่านก้าวเข้ามาในห้อง ภาพแรกที่เห็นคือหญิงสาวคนเดิมผู้ที่เขาแทบลืมไปแล้วว่าอยู่ที่นี่ด้วย มือซ้ายของเธอกระตุกเล็กน้อยก่อนจะโยนพู่กันลงพื้นอย่างแรง
ปัก!
เสียงปลายด้ามไม้กระทบพื้นดังก้องสะท้อนในความเงียบรอบตัว บรรยากาศเย็นชาฉายชัดบนใบหน้าของเธอ ขณะที่หยดหมึกเปรอะเปื้อนอยู่บนกระดาษตรงหน้า
ต้วนซิ่วหมิงหรี่ตามอง ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อยด้วยความนึกขึ้นได้ ใช่สิ! เกือบลืมไปเลยว่าที่นี่มีหญิงสาวน่าเบื่อคนหนึ่งกำลังวาดภาพอยู่
เสียงดังขึ้นเบา ๆ ด้านหลัง ทำให้ลู่หมิงอวี๋หันกลับไปมองยังทิศทางนั้น ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าสวมแค่ชุดคลุมอาบน้ำตัวเดียว และยังใส่รองเท้าแตะของโรงแรมด้วยท่าทางที่ไม่สนใจอะไรราวกับไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน เขาไม่ใช่คนจากเมืองซีจื่อแน่นอน
ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงโปร่งและสง่างามทรงตัวอย่างมั่นคง ผมที่ยังไม่แห้งดีถูกดึงไปทางด้านหลังเปิดเผยใบหน้าที่คมชัดและชัดเจน ทุกส่วนของใบหน้าเผยให้เห็นรายละเอียดของโครงสร้างที่สวยงามและดุดัน คิ้วดกหนาคู่กับดวงตาที่เหมือนดาวตก ทอดสายตามองมาด้วยความคมคายที่เหมือนจะมองทะลุไปยังจิตใจ
ชุดคลุมอาบน้ำที่ปลิวไปกับลมเปิดเผยส่วนที่ไม่มีการปิดบังของร่างกาย และแผ่นอกที่มองเห็นได้ชัดเจนกล้ามเนื้อที่โค้งมนอย่างงดงามและกระชับมีเส้นสายที่ดูแข็งแกร่ง ราวกับเสือชีตาห์ที่พร้อมจะพุ่งทะยาน ร่างกายนี้ให้ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยอำนาจและสง่าผ่าเผย...