ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนไม่ถึงสองเมตร ต้วนซิ่วหมิงไม่ได้มองหญิงสาว แต่กลับจ้องตรงไปยังภาพวาดเบื้องหน้า ดวงตาทอดมองรายละเอียดทุกส่วนอย่างเคร่งขรึม ภาพนั้นถ่ายทอดบรรยากาศของพิธีแต่งงานออกมาได้อย่างสมจริง เจ้าบ่าวประทับจูบลงบนริมฝีปากของเจ้าสาว ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางกลีบดอกไม้สีชมพูโปรยปราย
แต่…มีบางอย่างผิดไป!
บนพื้นหลังอันอ่อนหวานโรแมนติกของสีชมพูและขาว กลับมีเส้นสีแดงเข้มลากตัดผ่าน เส้นหยาบหนาที่ถูกแต้มลงด้วยจังหวะหนักแน่น เผยให้เห็นภาพของกะโหลกศีรษะ!
กะโหลกนั้นเหมือนมีชีวิต ราวกับจะทะลุออกมาจากผืนผ้าใบ แยกเขี้ยวขย้ำทุกสิ่งตรงหน้า! เส้นสายของมันฉีกกระชากความงดงามเดิมให้แปรเปลี่ยนเป็นความสยดสยอง เลือดสีแดงสดไหลซึมเปรอะเปื้อนลงมาเป็นทางยาว ราวกับกำลังดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป
สีแดงหยาดหยดลงบนพื้นผ้าใบ ค่อย ๆ แผ่ขยายออกมา… ทำลายฉากหลังของงานแต่งทั้งหมดจนสิ้น!
ต้วนซิ่วหมิงจ้องมองภาพวาดตรงหน้าด้วยความทึ่ง ก่อนจะเหลือบไปเห็นพู่กันสีแดงที่ถูกโยนลงพื้นเมื่อครู่ เขาหันกลับมามองเธออีกครั้ง ดวงตาเปล่งประกายบางอย่าง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“สวย!” ไม่ใช่คำชมรูปร่างหน้าตา แต่เป็นคำชื่นชมจากใจ… ชื่นชมจิตวิญญาณของเธอ! ภายนอกดูสงบเยือกเย็น แต่ข้างในนั้นกลับเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและความรุนแรงที่แฝงเร้น
หญิงสาวมองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะเบือนสายตาหนี เธอเพียงจ้องตรงไปที่ใบหน้าของเขา แล้วจู่ ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นว่า
“โสดหรือเปล่า?”
“อืมโสด” ต้วนซิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตอบกลับเรียบ ๆ ทันทีที่เขาตอบ เธอเลื่อนสายตาลงต่ำหยุดที่แผ่นอกของเขา
“นอนด้วยกันสักคืนไหม?” เธอพูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ต้วนซิ่วหมิงแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง! ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมจากภาพกะโหลกสีเลือด เขากลับสัมผัสได้ถึงความย้อนแย้งในตัวหญิงสาวตรงหน้า เธอสวมกี่เพ้าตัวหลวมที่ดูเรียบร้อยเกินไป ราวกับเป็นชุดที่หยิบมาใส่เพราะไร้ทางเลือก ยืนอยู่ในท่าทางที่สง่างาม แผ่วเบาแต่มั่นคง รอยยิ้มบนริมฝีปากคงไว้ด้วยกิริยางามสง่า พอดิบพอดีกับมารยาทของกุลสตรี แต่สายตาของเธอ… มันคมกริบ! หากเพ่งมองให้ดี แววตานั้นไม่ได้ว่างเปล่า ตรงกันข้ามมันเร้นลึกไปด้วยบางสิ่งราวกับคมดาบที่ผ่านการหลอมและถูกแช่แข็งเอาไว้!
“ไม่นอน? งั้นช่างเถอะ” เธอทิ้งท้ายคำพูดไว้เบา ๆ ราวกับไร้น้ำหนัก ทว่ากลับหนักอึ้งในใจคนฟัง ก่อนจะหมุนตัวจากไปอย่างเยือกเย็น ก้าวย่างที่มั่นคงและแน่วแน่พาเธอไปยังประตูซึ่งเปิดออกด้วยเสียงแผ่วเบา เธอก้าวข้ามธรณีประตูไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและบรรยากาศที่อึดอัดค้างคาในห้องนั้น
ต้วนซิ่วหมิงมองตามแผ่นหลังของเธอดวงตาวาววับเล็กน้อย เขากระชับปกเสื้อคลุมอาบน้ำช้า ๆ ไม่เร่งรีบก่อนตัดสินใจเดินตามออกไป ยังไม่ทันได้ตอบสนองเขาจำเป็นต้องใช้เวลาคิดทบทวนไม่ใช่แค่เรื่องคำพูดของเธอ… แต่ยังมีบางอย่างที่ติดอยู่ในใจอย่างประหลาด! ต้วนซิ่วหมิงจำได้ชัดเจน ตอนแรกเธอใช้มือขวาวาดภาพ แต่เมื่อวาดกะโหลกเสร็จ เธอกลับใช้มือซ้ายโยนพู่กันทิ้ง! เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะครุ่นคิดก่อนจะก้าวออกไปยังทางเดินด้านนอก แล้วภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้เขาชะงักเธอกำลังเดินตรงไปหาพนักงานเสิร์ฟหนุ่มหน้าตาดีและกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง…!
ต้วนซิ่วหมิงเร่งฝีเท้าเข้าไปอย่างฉับพลันก่อนที่ผู้หญิงคนนี้จะก่อเรื่องเสียก่อน เขาคว้าแขนเธอแล้วดึงเข้ามาแนบอกอย่างแรง แรงมือของเขาแข็งแกร่งโดยไม่ต้องออกแรงมาก แขนเล็กของเธอขึ้นรอยแดงแทบจะในทันทีแต่เธอกลับไม่แสดงอาการใด ๆ แค่เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาราบเรียบ… ว่างเปล่าไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ต้วนซิ่วหมิงกวาดตามองใบหน้าและเรือนร่างของเธอก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา
“ได้! นอน!” ในเมื่อจะนอนกับใครสักคน ก็ต้องเลือกคนที่สวยที่สุด!
ทันทีที่พูดจบ เขาก็กระชากแขนเธอแล้วพาเดินออกไปทันที!
........
ไม่นานหลังจากนั้นภายในห้องรับรองส่วนตัว ประตูถูกผลักออกและกลุ่มคนที่ก้าวเข้ามาก็ต้องชะงัก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่น!
“อ๊า!!! ใครเป็นคนทำลายภาพนี้!”
“เสียดายชะมัด! ภาพมันสวยขนาดนี้!”
“แต่กะโหลกนี่มัน… น่ากลัวเป็นบ้า! นี่มันละเลงสีชัด ๆ เลยไม่ใช่เหรอ?!”
“ให้ตายสิ! แล้วนังผู้หญิงนั่นหายไปไหน?! แย่งซีนงานแต่งฉันไม่พอ ยังไม่รอให้ฉันมาตรวจงานก่อนจะไปอีก! สุดท้ายภาพของฉันก็โดนทำเละ!”
“แต่พี่ลู่เชียน ชุดที่ไม่พอดีตัวนั่น… ก็พี่บังคับให้เธอใส่เองไม่ใช่เหรอ?”
“หุบปาก!”
“ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่? สวยชะมัดเลย…”
“ฉันบอกให้หุบปากไง!!”
.......
ลึกเข้าไปในโรงแรม ห้องสวีทส่วนตัวที่โอบล้อมด้วยแมกไม้
ลู่หมิงอวี๋รู้สึกถึงแรงกระชากจากอีกฝ่าย ร่างทั้งร่างถูกยกขึ้นพาดบ่า ก่อนจะถูกเหวี่ยงลงบนเตียงอย่างแรง ชายหนุ่มกระชากกระดุมกี่เพ้าออกโดยไม่ลังเล ไม่มีแม้แต่ความอ่อนโยน แต่ในจังหวะที่สำคัญที่สุด…
เขากลับเอื้อมมือไปปิดไฟ เพียงพริบตาเดียวคิ้วของเขาก็ขมวดแน่น มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…
“ครั้งแรก?” เขายื่นมือไปเปิดไฟอีกครั้งกวาดตามองเธอ ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแฝงความประหลาดใจ
“แล้วไง?” ลู่หมิงอวี๋ยกยิ้มบาง ๆ ดวงตาไร้อารมณ์
“เธอเสียสติไปแล้วเหรอ?” ต้วนซิ่วหมิงเอ่ยเสียงเรียบ จ้องมองใบหน้างดงามของเธอที่อยู่ใกล้เพียงคืบ
“เปล่า” ลู่หมิงอวี๋ตอบกลับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“แล้วทำไมไม่บอก?” ต้วนซิ่วหมิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
“มันมีอะไรให้น่าพูดด้วยเหรอ?” หญิงสาวมองเขาอย่างเฉยเมย ก่อนตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ
“เธอบอกว่านี่เป็นครั้งแรก ฉันจะไม่ใช้ความรุนแรงขนาดนี้” ต้วนซิ่วหมิงมองเธออย่างละเอียด เขาคิดว่า…
“ไม่เหมือนกันตรงไหนล่ะ?” ลู่หมิงอวี๋ตอบอย่างเฉยชา
“เธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า? สมองยังปกติอยู่ไหม?” ต้วนซิ่วหมิงจ้องมองใบหน้าของเธอแล้วกล่าวพึมพำว่า ‘หน้าตาสวยเต็มสิบ แต่สภาพจิตใจผิดปกติ?’
“ปกติมาก จะทำต่อไหม?” ลู่หมิงอวี๋มองเขาก่อนจะตอบกลับอย่างไม่พอใจ
ในห้องที่มืดสลัว กลิ่นไอของความร้อนระอุยังคงอบอวลอยู่ในอากาศ ต้วนซิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมกริบหลบสายตาของลู่หมิงอวี๋ราวกับกำลังซ่อนบางสิ่งไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ตอนนี้จะพูดอะไรก็สายไปแล้วเขาเอื้อมมือไปปิดไฟอีกครั้ง ความมืดเข้าปกคลุมห้องทั้งห้องทุกอย่างกลับสู่จุดเริ่มต้น ลู่หมิงอวี๋ยิ้มบาง ๆ ในเงามืด
“บนเตียงคุณก็อ่อนโยนขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของคุณเลยนะ” เธอเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
ต้วนซิ่วหมิงไม่ได้ตอบทันทีเพียงปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ ชายหนุ่มผู้มีพลังอำนาจที่ทำให้คนอื่นไม่กล้าสบตา รูปร่างกำยำขนาดที่ต่อยเธอให้ตายได้ในหมัดเดียว แต่ในตอนนี้ เขากลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
ผ่านไปนาน… ในใจของเขากำลังสับสน
หรือบางที… ความรู้สึกที่เขาไม่เคยยอมรับกำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น
“ไม่เคยมาก่อน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ คราวนี้เป็นลู่หมิงอวี๋ที่ตกใจแทน หลังจากนั้น ต้วนซิ่วหมิงระมัดระวังอย่างยิ่งแม้แต่กดเธอไว้ก็ไม่กล้า ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ต้วนซิ่วหมิงหยุดลง ลุกขึ้นและอุ้มเธอไปวางข้าง ๆ เธอตัวเบามาก อุ้มด้วยมือเดียวก็ยังไหว
“ยังอยากต่ออีกเหรอ?” ลู่หมิงอวี๋เอ่ยขึ้น
“เปิดไฟได้ไหม? ฉันอยากมองเธอ” ต้วนซิ่วหมิงพูดด้วยเสียงทุ้มลึก ลู่หมิงอวี๋ไม่พูดอะไร แต่เดินไปเปิดโคมไฟข้างเตียง แสงไฟสีเหลืองนวลส่องลงมา เผยให้เห็นเรือนร่างที่งดงามของเธอ ต้วนซิ่วหมิงหลับตาลง
“ไม่ใช่ว่าอยากมองเหรอ?” ลู่หมิงอวี๋จ้องมองเขา คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเธอเองก็ได้เห็นเขาชัด ๆ เช่นกัน ร่างกายที่สมบูรณ์แบบอย่างกับเทพเจ้า ไหล่กว้าง เอวคอด ขายาว กล้ามหน้าท้องชัดเป็นลอน เส้นเอ็นเต็มไปด้วยพลัง และความแข็งแกร่ง
ต้วนซิ่วหมิงเบือนหน้าหนีสายตาหลบไปทางอื่น ก่อนจะหันกลับมามองเธออีกครั้งหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
ครั้งนี้ เขาจูบเธอเบา ๆ หลายครั้ง ขณะที่เขาจูบเธอกลับยิ้มออกมา
“เธอเป็นอะไรของเธอ?” ต้วนซิ่วหมิงพยายามกดความรู้สึกในใจ
“ก็ชอบไง” ลู่หมิงอวี๋ยิ้มเบา ๆ ก่อนตอบ
“เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใครก็ชอบแล้วเหรอ?”
“ชอบทักษะการจูบของคุณ” ดวงตาของลู่หมิงอวี๋ยังคงเย็นชา แม้ร่างกายจะเร่าร้อนเพียงใด แต่สายตาของเธอกลับคมกริบราวกับน้ำแข็งที่ไม่อาจละลายได้
“เธอนี่… ไม่มีหัวใจจริง ๆ” ต้วนซิ่วหมิงจ้องมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ ก่อนจะโน้มตัวลงจูบเบา ๆ ที่ดวงตาของเธอ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่นและความอดทนที่ถูกกดไว้ลึก ๆ จากนั้น เขาเลื่อนริมฝีปากลงมาประทับจูบที่ริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา ลมหายใจของเขาร้อนผ่าวแฝงไปด้วยความปรารถนาแต่กลับเต็มไปด้วยการควบคุมตนเอง มือข้างหนึ่งประคองเธอไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหลุดหายไปจากอ้อมแขน แม้ความรู้สึกในใจจะรุนแรงเพียงใดแต่การกระทำของเขากลับอ่อนโยนจนแทบทำให้คนตรงหน้าหวั่นไหว
“คุณกลัวอะไร?” ลู่หมิงอวี๋หัวเราะออกมา
“กลัวกระดูกเธอหัก” ต้วนซิ่วหมิง
........
ตกดึกเสียงน้ำจากห้องอาบน้ำดังแว่วออกมาในความเงียบสงัด ต้วนซิ่วหมิงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำสีเข้ม เดินออกไปยังเก้าอี้หวายในสวน กลิ่นอากาศยามค่ำคืนเย็นเฉียบ แต่ในอกกลับร้อนรุ่ม เขาทิ้งตัวลงนั่งจุดบุหรี่แล้วสูดควันเข้าไปลึก ๆ แสงไฟจากปลายบุหรี่แดงวาบในความมืด ราวกับสะท้อนความรู้สึกในใจที่กำลังเผาไหม้ เขาเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว… ที่มาคลั่งไคล้ผู้หญิงคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น ไม่นานลู่หมิงอวี๋แต่งตัวเรียบร้อยเดินเข้ามา
‘นี่มันหมายความว่าไง?’ ต้วนซิ่วหมิงขมวดคิ้ว เขายังไม่ทันได้ถามอะไรก็เห็นปลายนิ้วเรียวขาวของเธอหยิบบุหรี่จากซองของเขาออกมา
ปะ!
เปลวไฟสว่างวาบเธอจุดบุหรี่อย่างชำนาญ เธอไม่แม้แต่จะมองเขาเพียงแค่พ่นควันออกเบา ๆ แล้วมองไปไกล ๆ ต้วนซิ่วหมิงจ้องมองเธอก่อนถามว่า
“เธอเป็นคนยังไงกันแน่? หรือว่าเป็นพวกหลายบุคลิก?” ลู่หมิงอวี๋ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ดับบุหรี่ลงพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
“ไม่อร่อยเลย”
“ดูชำนาญขนาดนี้ นึกว่าเธอสูบบ่อย”
“บุหรี่ของคุณที่ไม่อร่อยต่างหาก”
“เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน แล้วจะออกไปซื้อบุหรี่สำหรับผู้หญิงให้” ต้วนซิ่วหมิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ในงานแต่งงานเขาเห็นเธอไม่ได้แตะอะไรเลยสักคำ ตั้งใจจะซื้อของกินมาให้เธอด้วย
ลู่หมิงอวี๋ยิ้มบาง ๆ โดยไม่พูดอะไร แล้วเดินไปที่ประตูสวน
จากนั้น… เธอเปิดประตูและเดินออกไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อต้วนซิ่วหมิงจัดการตัวเองเสร็จและออกมา สิ่งที่เขาเห็นก็คือ…ความว่างเปล่า