01

2906 Words
“นิล คะแนนคิวเอเราไม่ค่อยดีเลยนะ ทำงานมาสามอาทิตย์แล้วนะ พี่หวังว่าเราจะปรับปรุงตัวเองมากกว่านี้นะ" เสียงพี่น้ำชาหัวหน้างานของปลานิลบอกกล่าว ปลานิลพยักหน้ารับ พลางทอดถอนหายใจ เธอเพิ่งเรียนจบใช้เวลาเกือบปีกว่าจะหางานทำได้ ชีวิตของเธอมันไม่ได้สุขสบายเหมือนคนอื่น ปลานิลเป็นคนที่มีความสามารถเหมือนเป็ด ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่ดีสักอย่าง ภาษาก็พอเข้าใจหลายภาษา แต่กลับไม่เก่งไปสักภาษา เพราะในแต่ละภาษาก็ต้องสอบวัดระดับทั้งนั้น จะไปทำงานสายบริการก็ติดตรงที่หน้าตาของปลานิลไม่ได้สวยแบบพิมพ์นิยม เธอมีเพียงน้ำเสียงสุภาพที่เธอสามารถทำงานสายคอลเซนเตอร์ได้  ปลานิลเป็นเด็กกำพร้า เธอเติบโตมาก็คุณยายที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไม่น้อย แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ เพราะโชคดีที่คุณยายเป็นข้าราชการ ก็พอจะมีเงินบำนาญรายเดือนมาจุนเจือ ส่งเสียปลานิลจนเรียนจบมหาวิทยาลัย พร้อมกับเงินก้อนน้อยไว้ให้เธอหนึ่งก้อนหลังจากที่คุณยายจากไป ปลานิลรู้สึกหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตไม่น้อย เธอไม่เหลือใครเลย ในตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย ด้วยเพราะชีวิตที่ลำบากเลยต้องทำงานพิเศษ ทำให้ไม่มีเวลา เพื่อนก็มีไม่มาก และด้วยความที่เงินของเธอนั้นมีจำกัด ทำให้เธอไม่ค่อยได้เข้าสังคมกับใครเลย แค่ค่ากระดาษหนังสือเรียนก็แทบจะไม่เหลือเงินกินข้าวแล้ว การเรียนหนังสือของปลานิลก็นับว่าไม่ได้ดีหรือแย่อะไร เธอไม่ได้เรียนเก่ง เป็นคนระดับกลาง จบมาด้วยคะแนนก็ปานกลาง แต่เมื่อใกล้จบคุณยายที่เป็นญาติคนเดียวในชีวิตของเธอก็มาจากไป เธอแทบจะเสียสติที่ที่พึ่งพาสุดท้ายในชีวิตไป แต่ชีวิตคนเราก็ต้องเดินต่อไป อย่างน้อยที่เหลืออยู่ก็คือลมหายใจของเธอ ปลานิลสมัครงานกับบริษัทอีคอมเมิร์สแห่งหนึ่ง ทำงานในตำแหน่งคอลเซนเตอร์ คอยรับเรื่องราวและประสานงานเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า การขนส่ง หรือจะการจ่ายเงิน และยังรวมถึงเรื่องการติดต่อในด้านอื่นอีก แต่ละวันก็ต้องรับสายจำนวนมาก ร้อยคนก็ร้อยเรื่อง บางคนก็สุภาพแสนดีชวนคุยเก่ง บางคนก็เปิดด่าพนักงานอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งที่จริงแต่ละเรื่องที่มีคนติดต่อเข้ามา พนักงานคอลเซนเตอร์ส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่เพียงทำการรับเรื่องเท่านั้น และทุกเรื่องพนักงานก็ดูแลเคสอย่างดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลายคนค่อนข้างเอาแต่ใจ และคิดว่าตัวเองเป็นลูกค้า พนักงานเป็นเพียงชนชั้นล่าง แต่ในความจริงยุคสมัยเปลี่ยน บริษัทก็ไม่ได้มีบทลงโทษพนักงาน หากว่าไม่ได้กระทำความผิด เพราะหลายครั้งก็โดนร้องเรียนอย่างไม่มีเหตุผล เพราะไม่ถูกใจคนติดต่อ  ในแต่ละวันปลานิลต้องพบเจอบุคคลมากมาย หลายคนก็ด่าทอด้วยถ้อยคำดูถูกว่าเป็นเพียงพนักงานชนชั้นต่ำ ปลานิลพยายามไม่เก็บมาใส่ใจ แต่หลายครั้งเธอก็ท้อใจเหมือนกันที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ทุกวัน การทำงานก็ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา เวลาการทำงานแต่ละวันก็แปดชั่วโมง พักกลางวันหนึ่งชั่วโมง เหนื่อยแสนเหนื่อย ไหนจะต้องมีการประเมินอันแสนโหดร้ายในแต่ละวัน  “นิล จะกลับบ้านแล้วหรอจ้ะ ไปกินข้าวกับพวกพี่ไหม” “ไปไหนกันหรอคะ” ปลานิลถามพี่ที่ทำงาน ความจริงแล้วพวกเขาและปลานิลเข้างานพร้อมกัน จึงนับถือกันที่อายุไขแทนอายุงานกัน ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาวิกฤตของทั่วโลก โรคระบาดเต็มไปหมด การบริหารจัดการก็ย่ำแย่ ทำให้หลายคนต้องตกงาน จากพนักงานเก่าต้องกลายมาเป็นพนักงานใหม่ เด็กที่จบใหม่ก็เจอกับวิกฤตใหญ่ เงินเดือนรายได้ลดน้อยลง แต่รายจ่ายกลับมากขึ้นกว่าเดิม แต่เดิมปลานิลก็เป็นคนใช้ชีวิตง่าย เช่าห้องเล็กอยู่ กินอาหารง่ายๆ แล้วก็ทำเอง ห่อไปทานที่ทำงาน รายจ่ายเธอเลยไม่ค่อยมากนัก อีกอย่างปลานิลไม่ใช่คนที่ชอบใช้ของมีมูลค่า ไม่ค่อยติดกับดักนายทุนสักเท่าไหร่ อะไรทำเองได้ปลานิลก็ทำหมด อะไรประหยัดได้ก็ประหยัดหมด ในวิกฤตแบบนี้ปลานิลเลยไม่ถือว่าตัวเองตกต่ำมากนัก “พี่จะไปกินชาบูที่ห้างจ้ะ มันมีโปรบัตรเครดิตมา 4 จ่าย 3"  “โห… แล้วหารกันนี่ตกคนละเท่าไหร่หรอคะเนี่ย” “น่าจะประมาณ 400-500 จ้ะ พี่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาเก็บค่าบริการเท่าไหร่” พี่ที่ทำงานกล่าว ปลานิลส่ายหน้าทันที เธอกินชาบูอะไรก็ได้ แต่งบของเธอต้องไม่เกิน 250 บาท หากแพงกว่านั้นเธอมองว่ามันค่อนข้างสิ้นเปลือง สำหรับเธอแล้วราคาเท่านี้มันมากเกินไปจริงๆ สำหรับพนักงานเงินเดือนไม่ถึงหมื่นห้าแบบเธอ “โห… แพงจัง ไม่ไหวจริงๆค่ะพี่” ปลานิลตอบ พี่ที่ทำงานก็ไม่ค่อยแปลกใจนัก แต่ความจริงแล้วคนที่น่าแปลกใจน่าจะเป็นพี่ที่ทำงานมากกว่า หากจะบอกว่ากินแก้เครียด ความจริงชาบูราคา หรือหมูกระทะที่ขายแบบชั่งกิโล หรือแบบชุดน่าจะถูกกว่า กินได้หลายครั้งด้วยซ้ำ ปลานิลเป็นคนคิดเยอะเรื่องการใช้เงิน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เธออยู่กับคุณยาย ถึงจะมีเงินเดือนหลักหมื่น คุณยายจะมีสวัสดิการของรัฐในการรักษาก็ยังเรียกว่าลำบากพอสมควร “จ้า แล้วนี่กลับเลยไหม” “ค่ะ นิลกลับบ้านเลย งั้นไปก่อนนะคะ” ปลานิลบอกก่อนจะเดินจากไป เพราะตอนนี้รถเมล์ที่ผ่านบ้านเธอวิ่งมาแล้ว ตามจริงแล้วปลานิลสามารถกลับบ้านได้เร็วมากกว่านั้นด้วยรถไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตามรถไฟฟ้าราคาสี่สิบบาท กับรถเมล์ราคาแปดบาท เธอยอมนั่งรถเมล์ดีกว่า อย่างน้อยก็ประหยัดไปได้ถึงสามสิบบาท เพราะไม่ว่าอย่างไร ด้วยช่วงเวลาที่แสนโหดร้ายอย่างช่วงหกโมงเย็น ไม่ว่าบนดิน ใต้ดิน คนก็เยอะมากพอสมควร อยู่ตรงไหนก็กลายเป็นปลากระป๋องเบียดเสียดผู้คนกลิ่นเหงื่อ กลิ่นอายแห่งความเหนื่อย0.ล้าเต็มไปหมด …นี่แหละชีวิตของมนุษย์เงินเดือน   ปลานิลใช้ชีวิตทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนหลายเดือน ความเบื่อหน่ายเกาะกุมหัวใจ ในแต่ละวันก็ใช้เวลากับการเดินทางไปกลับไม่น้อย ชีวิตมุ่งมั่นทำงานอย่างไม่มีจุดหมาย เงินที่เก็บได้ก็มากพอประมาณหนึ่ง ปลานิลอยากออกมาขายของ ทำมาหากินเล็กน้อย แต่อนิจจา… ปลานิลกลับป่วยด้วยโรคระบาด ทั้งที่เธอก็พยายามหลบเลี่ยง และรักษาตัวเองมาโดยตลอด ทั้งพกสเปรย์แอลกอฮอล์ ลงทะเบียนฉีดวัคซีนไปแล้วครบสองเข็ม แต่สุดท้ายความตายก็มาเยือน   ชายร่างสูงใหญ่ในชุดโจงกระเบนสีแดง ใบหน้าเรียบนิ่งยืนถือโซ่ตรวนขนาดใหญ่ปลายเตียงคนไข้ ปลานิลแอบตื่นตกใจที่ชายผู้เป็นยมทูตแต่งกายตามแบบในละคร ภาพยนตร์เลย ปลานิลได้แต่มองร่างกายของตนเองบนเตียงที่หลับสนิท นอนอย่างโดดเดี่ยวก็อดสมเพชเวทนาตัวเองไม่ได้ ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตอะไรมากมาย เธอกลับต้องมาตายเสียแล้ว ตอนที่ตายก็ยังต้องนอนตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครสักคนที่มาร้องไห้เสียใจให้กับการจากไปของเธอ “เจ้ามาได้แล้ว หมดเวลาของเจ้าแล้ว” เสียงเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยน้ำเสียงเมตตาของท่านยมทูตผู้มาตามเก็บวิญญาณ ในช่วงที่โลกมนุษย์ประสบเภทภัย เหล่ายมทูตต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อตามเก็บวิญญาณที่ถึงเวลา  “ค่ะ” ปลานิลตอบรับก่อนร่างกายจะเบาสบาย ลอยไปตามท่านยมทูต ดวงวิญญาณในกลุ่มหลายดวงต่างพากันร่ำไห้ คิดถึงบุคคลอันเป็นที่รัก บางคนก็มีห่วงทำให้ไม่อาจไปตามวัฏจักร    ปลานิลเดินทางมาถึงโลกวิญญาณก็พบว่าในโลกใบนี้มีอยู่หลายมิติวิญญาณ ผู้คนมากมายจากช่วงยุคสมัยที่แปลกตา มันช่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ปลานิลเห็นสตรีนางหนึ่งหน้าตางดงาม ผิวขาวเนียนสว่างราวกับเคลือบไข่มุก ดวงตากลมโตมีขนตายาวหนาเป็นแพ ใบหน้ารูปไข่เรียวเล็ก จมูกโด่งเป็นสันงดงามชวนมอง  “ข้าไม่อยากตาย ข้าไม่อยากตาย ข้าเพิ่งคลอดลูกเอง ลูกข้าจะกำพร้าไม่ได้ เขาไม่มีใครเลย” เสียงคร่ำครวญของสตรีนางนั้นร้องไห้เสียงดังลั่น นางมีดวงตาแดงก่ำราวภูตผีปีศาจ เธอคุกเข่าขอร้องยมทูตที่สวมชุดจีนโบราณสีดำสนิท ใบหน้าเรียบนิ่งไม่ได้มองไปที่เธอเลยแม้แต่น้อย  “สามีข้าโกรธข้า เกลียดข้า หากเขาไม่สนใจลูกข้า ข้าจะทำอย่างไร บุตรชายของข้าเป็นทายาทสกุลกงหยาง เขาเป็นสายเลือดตระกูลกงหยาง ได้โปรด ขอเวลาข้า ข้าจะปฏิบัติตนเป็นคนดี ข้าจะทำดีทุกอย่าง ขอให้ข้าได้กลับไปดูแลลูก” สตรีนางนั้นกล่าว ร่างกายของนางปรากฏออร่าสีดำ กลิ่นอายของนางรุนแรงเป็นความทุกข์ ความเสียใจ ผู้คนต่างมองนางด้วยความสงสาร ปลานิลพอจะเข้าใจลางๆ ว่านางตายจากการคลอดบุตร กลัวสามีจะทอดทิ้งลูกชายที่เพิ่งเกิดของนาง “วิญญาณร้าย เจ้าหมดเวลาในโลกมนุษย์แล้ว ตัดใจเสียเถิด” ยมทูตองค์หนึ่งหน้าตาหล่อเหลา กลิ่นอายของเขาเย็นเยือก เป็นความรู้สึกคล้ายว่าเขานั้นสูงส่งมาก เหล่ายมทูตต่างพากันทำความเคารพเขา  “ข้า… ข้าห่วงลูกของข้าเหลือเกิน” สตรีผู้นั้นเอาแต่ร้องไห้โศกเศร้า ยมทูตอีกองค์คล้ายนายทะเบียนวิญญาณ คัดแยกวิญญาณ หลายคนที่สร้างบาปกรรมหนักหนาสาหัสก็ต้องไปยังชั้นนรกที่ตนเองต้องประสบพบเจอ ปลานิลเป็นหนึ่งบุคคลที่ได้ไปอยู่ในโซนของการเกิดใหม่ เธอภาวนาขอให้ชีวิตใหม่ของเธอมีแต่โชคดี เกิดมามีหน้าตาที่ดี มีครอบครัวที่ดี ไม่ต้องอยู่คนเดียว หรือโชคร้ายตายไวอีก “เจ้ารีบดื่มน้ำสิ" เสียงของยายเฒ่าที่เทน้ำใส่ขันให้กับหญิงสาวที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นที่กล่าวถึงลูกคนนั้น ปลานิลต่อหลังของเธอ ต้องยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้นั้นสวยงามมากจริงๆ แต่สตรีนางนั้นกลับปัดถ้วยขันก่อนจะวิ่งหนี ความวุ่นวายบังเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณอีกหลายดวงก็ต่างพากันหนี  “เอ่อ…” ปลานิลยืนงงมองภาพความวุ่นวาย วิญญาณสาวผู้นั้นกลายร่างเป็นสีดำก่อนจะลอยไปมา ยมทูตหลายตนจากดวงตาราบเรียบกลายเป็นสีแดง พวกเขาเข้าควบคุมดวงวิญญาณ แต่ปลานิลที่ยืนอยู่เฉยๆ กลับถูกลูกวิญญาณของหญิงสาวพุ่งชนอย่างแรงจนเธอนั้นเซตกลงไปในบ่อน้ำข้างยายเฒ่า  “กรี๊ดดดดดด" ปลานิลกรีดร้องเมื่อตกลงไปในบ่ออันไร้ขอบเขต วิญญาณร้ายของหญิงสาวเกาะกุมร่างของปลานิล แต่ก็ถูกยมทูตดึงออกไปจากร่างของปลานิล ปลานิลพยายามจับวิญญาณร้ายของเธอ เพื่อจะได้เกาะขึ้นไปด้วย แต่หญิงสาวนางนั้นกลับกรีดยิ้มคล้ายปีศาจน่ากลัว “ฝากลูกข้าด้วย…”     ภาพสุดท้ายที่ปลานิลจดจำได้คือคำขอร้องของหญิงสาวผู้งดงามนางนั้น ปลานิลตื่นมาอีกทีก็พบกับเรือนไม้ไผ่ ข้างกันมีเด็กทารกตัวน้อยนอนอยู่ไม่ไกล เขานอนเล่นคล้ายมีเพื่อนที่มองไม่เห็นเล่นอยู่ด้วย ปลานิลตื่นตกใจมากที่เธอเห็นภาพพวกนี้ น่าจะเป็นเธอมากกว่าที่เป็นเด็กทารก ปลานิลยกไม้ยกมือดูก็พบว่ามือของเธอขาวเนียนละเอียด รูปร่างของเธอภายใต้ผ้านั้นผอมบางมาก ทั้งที่รูปร่างของเธอค่อนข้างท้วม น้ำหนักเจ็ดสิบกว่า  นี่มันเรื่องอะไรกัน… “ฮูหยินท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงของผู้หญิงคนนึงเข้ามาในห้อง นางกำลังถือถังน้ำ ก่อนจะรีบวาง และเดินมาร้องไห้กอดขาท่าทางดีใจเป็นอย่างยิ่ง ปลานิลตื่นตกใจอย่างหนัก …เพราะภาษาที่เธอได้ยินไม่ใช่ภาษาไทย และมันก็น่าประหลาดที่เธอกลับฟังเข้าใจ “ฮูหยิน?” “เจ้าค่ะ ฮูหยินท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”  “ข้าคือฮูหยินหรอ”  “ฮูหยินท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ท่านจำไม่ได้หรือ” ผู้หญิงที่เข้ามากอดขาปลานิลร้องไห้โห… ปลานิลพยายามตั้งสติใคร่ครวญก็พบว่าที่แท้แล้วเธออาจจะมาอยู่ในร่างของสตรีนางนั้นหรือเปล่า… เพราะทุกอย่างมันไม่ใช่ยุคปัจจุบันของเธอเลย ข้าวของเครื่องใช้ ไหนจะการแต่งตัวอีก “ถ้าข้าบอกว่า ข้าจำไม่ได้เล่า” ปลานิลเอ่ยออกมา น่าแปลกที่ภาษาที่ปลานิลใช้กับเข้ากับยุคสมัยที่นี่ อาจจะเพราะความเคยชินของร่างกายนี้ แต่ความน่าอัศจรรย์ใจก็แปลกประหลาดยิ่งนัก สตรีผู้นั้นมีนามว่าอะไร เรื่องราวของนางเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่อาจรู้ได้เลย  “โถ่ฮูหยินของบ่าว” นางกล่าวออกมา ปลานิลได้แต่นั่งฟังเรื่องราวที่นางเล่าอยู่นาน ก่อนจะทราบได้ว่าสตรีเจ้าของร่างมีนามว่าโม่เหลียนฮวา เป็นฮูหยินเอกของขุนนางกงหยางเซียวฟง เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่กลับมีความสามารถไม่ต่างจากขุนนางฝ่ายบู๊ เป็นผู้มีอำนาจมากผู้หนึ่งเทียบเท่าอ๋อง มีบรรดาศักดิ์เป็นระดับกง พระราชทานฉิง  ส่วนเจ้าของร่างเป็นบุตรสาวสกุลโม่ บิดาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่สละชีวิตเพื่อพิทักษ์แผ่นดิน ฮูหยินโม่เองก็ตรอมใจตายจากการจากไปของสามี และบุตรชาย ทำให้สกุลโม่เหลือเพียงโม่เหลียนฮวา นางถูกฮองเฮานำไปเลี้ยงดูแล รับเป็นบุตรบุญธรรม มีตำแหน่งเป็น สุ่ยเหอจวิ้นจู่  นางหลงรักกงหยางเซียงฟง บุรุษผู้หล่อเหลาองอาจ เขาเป็นพระสหายคนสนิทขององค์รัชทายาท ผู้เป็นพี่ชายบุญธรรมของนาง และด้วยฐานะของนางก็ทำให้ความปรารถนาของนางเป็นจริงโดยง่ายดาย กล่าวกันว่าก่อนที่สมรสพระราชทานจะเกิดขึ้น กงหยางเซียวฟงมีใจรักกับคุณหนูสกุลเมี่ยวนามเยว่ซิน แต่ท้ายที่สุดใครเหล่าจะอาจฝืนราชโองการ ฮองเฮาทูลขอฮ่องเต้ผู้เป็นสามีด้วยตนเอง  การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรัก กงหยางเซียวฟงไม่ได้เมตตาองค์หญิงบุญธรรมผู้นี้ขนาดนั้น เขาเย็นชา และหมางเมินนาง เพราะรังเกียจที่นางชอบเอาแต่ใจและร้ายกาจ และด้วยฐานะอันสูงส่ง บิดามารดาของเขายังต้องก้มหัวให้นางส่วนหนึ่ง และแม้ว่าเขาจะมีความสามารถมากมายเพียงใด ผู้คนก็ตราหน้าว่าได้ดีเพียงเพราะเป็นราชบุตรเขย แต่ไม่มีใครสนใจที่ความสามารถของเขา นั้นยิ่งทำให้การใช้ชีวิตคู่ยิ่งเลวร้ายลง เมื่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ฮองเฮากลายเป็นไทเฮา ในช่วงแรกโม่เหลียนฮวาก็มีอำนาจไม่น้อย เพราะนางเป็นบุตรสาวแสนรักของไทเฮา แต่เมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ผู้เป็นพี่ชายก็ยึดอำนาจคืนจากผู้เป็นมารดา จนกลายเป็นฮ่องเต้ผู้มีอำนาจ และเที่ยงธรรมเต็มตัว ในระหว่างนั้นกงหยางเซียวฟงได้แต่งฮูหยินรองเข้ามาในจวนคือเมี่ยวเยว่ซิน ทำให้โม่เหลียนฮวาไม่พอใจ กงหยางเซียวฟง เพราะรักเมี่ยวเยว่ซินมากกว่า เขาจึงได้มีลูกกับนางในเวลาไม่นาน โม่เหลียนฮวาเสียใจแทบคลั่ง ตั้งแต่แต่งงานเข้าจวนสกุลกงหยางมา นางหลับนอนกับเขาไม่กี่ครั้ง น้อยกว่าที่เมี่ยวเยว่ซินเข้ามาด้วยซ้ำ นางวางแผนทำลายทารกในครรภ์ของเมี่ยวเยว่ซิน สุดท้ายเมี่ยวเยว่ซินแท้งบุตร นางโศกเศร้าเสียใจ กงหยางเซียวฟงก็ไม่ต่างกัน สุ่ยเหอจวิ้นจู่ไม่เก่งกาจด้านการเมือง นางคิดว่าตนเองยังคงมีอำนาจอยู่มาก ไม่รู้เลยว่ามารดาบุญธรรมของนางถูกพี่ชายของนาง ผู้มีศักดิ์เป็นฮ่องเต้ยึดอำนาจคืนจนหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งสกุลเมี่ยวเองก็มีอำนาจไม่น้อย เพราะเป็นหนึ่งในสกุลที่หนุนอำนาจของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน การลงโทษองค์หญิงสุ่ยเหอจึงเป็นสิ่งที่อยากจะตัดพระทัยของฮ่องเต้นัก อย่างไรก็น้องสาว เห็นมาตั้งแต่ยังเล็ก โทษของราชวงศ์เทียบเท่าสามัญชน โชคดีของนางที่ไทเฮายื่นมือเข้ามาช่วยร้องขอชีวิต ทำให้โทษของนางไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ต้องโทษเนรเทศออกไปชนบทอันห่างไกล …นางถูกเนรเทศพร้อมกับทารกที่กำลังเติบโตในท้อง      
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD