ชะตาที่มองไม่เห็น

1998 Words
"ติดตามเจ้าหยางหลงพี่ชายข้าอย่าให้คลาดสายตา" เจ้าเฟิ่งเซียนสั่งองครักษ์เงาพร้อมกับหัวเราะ “พะยะค่ะ” เงาฝีเท้าเบารับคำก่อนจะทะยานกายติดตามรวมกลุ่มองครักษ์ไปกับองค์ชายเจ้าหยางหลงทันที ๑-----------------------๑ ปลายทางที่เจ้าหยางหลงเดินทางต่อไปอีกสองเค่อคือกระท่อมปลายนาของสตรีตาบอดที่อยู่ในห้วงคำนึง ม้าหนุ่มฝีเท้าดีสองตัวถูกผูกอยู่กับต้นไม้ไม่ไกลจากกระท่อมนัก สองบุรุษนั่งลงพิงต้นไม้อย่างผ่อนคลายจากอาการเมื่อยล้าและหลับไปทั้งอย่างนั้น นายทหารหลายนายผู้คอยเฝ้ากระท่อมของสกุลเจียวเดินมาด้อมๆมองๆ ไม่ห่างแต่องครักษ์เงาสามนายพริ้วกายลงมาสะกัดกั้นไว้ แผ่นป้ายอาญาสิทธิ์จากแคว้นเพ่ยถูกหยิบขึ้นมาใช้งานในทันที เหล่าทหารจึงพูดคุยกันอย่างวางใจที่บุรุษผู้นอนหลับอยู่หาใช่คนร้ายแต่อีกฝ่ายเป็นถึงพระเชษฐาของฮองเฮาแคว้นเพ่ย ‘องค์ชายเจ้าหยางหลง’ นานร่วมสองชั่วยามที่องค์ชายเจ้าหยางหลงนอนหลับอยู่ตรงนั้นจวบจนมืดค่ำ ก่อนจะรู้สึกตัวตื่นขึ้น หันมองไปทางฟงอี “ข้านอนหลับนานถึงเพียงนี้เชียวรึ” ลุกขึ้นนั่งบิดไปมาเหลือบมองเห็นในกระท่อมมีแสงจากตะเกียงออกมารำไร “คงเป็นเพราะเราเดินทางกันยาวนานและไม่ได้พักน่ะขอรับ คุณชายจึงอ่อนเพลีย” นอกวังหลวงทุกคนรู้ดีว่าต้องใช้คำธรรมดาสามัญ “อืม..แล้วเจ้าได้ไปดูนางหรือไม่?” นางที่คุณชายว่าคงจะไม่พ้นสตรีตาบอดนางนั้น “ไปแล้วขอรับ ยามนี้นางอยู่ตัวคนเดียว ทหารที่คอยเฝ้าคุ้มครองบอกว่าแม่หมอเจียวจินเดินทางไปต่างแคว้นกับเอียนจื่อคนขับรถม้าและฮูหยินของเขา ยังไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อใดขอรับ” ขวับ!!! เจ้าหยางหลงหันมามองฟงอีอย่างไว “อยู่คนเดียวได้อย่างไร นางตาบอดมิใช่รึ?” “ไม่ทราบขอรับ” ฟงอีก่อกองไฟไม่ห่างจากที่องค์ชายนั่งอยู่ มันเผาหอมๆถูกนำมาวางตรงหน้าพร้อมๆกับน้ำสะอาดและกาน้ำชา “ข้าเห็นนางเดินไปเดินมาตรงหน้ากระท่อมทั้งๆที่มีผ้าผูกตาอยู่ แต่น่าแปลกที่นางกลับไม่สะดุดหรือหกล้มเลยสักครั้ง” “แล้วนางรู้หรือไม่ว่าเจ้ามาเฝ้าดูนาง” “ประสาทสัมผัสของแม่นางเจียวไวมากขอรับ นางรู้ว่ามีคนเฝ้ามอง” เขากล่าวตามที่รู้สึก “มิใช่ว่านางหยั่งรู้หรอกรึ?” ฟงอีเงียบ เมื่อคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ “_” เขาลืมข้อนี้ไปเสียสนิทใจ “เป็นไปได้ว่ารับรู้ทุกเรื่องแม้แต่เรื่องที่เรามาซุ่มดูอยู่ตรงนี้ขอรับ” “อาจจะเป็นเช่นนั้น” เจ้าหยางหลงกินมันเผาพร้อมครุ่นคิดถึงความตั้งใจที่ตนเองมาที่นี่ “ข้าเริ่มอยากรู้ว่าสตรีตาบอดจะใช้ชีวิตอย่างไรซะแล้วสิ” หันข้างคุยกับฟงอี “เจ้าว่าข้าสนใจนางเพราะเรื่องใด?” ฟงอีอยากจะหัวเราะจริงๆ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าองค์ชายจะเดินทางกลับมาที่แคว้นนี้ทำไมกันแน่นอกจากอยากดูดวงชะตา “อาจจะเรื่องหยั่งรู้ หรือเรื่องที่นางเดินโดยไม่ใช้ไม้เท้าแต่ในเมื่อเรามาถึงที่นี่กันแล้ว เราก็ควรหาสาเหตุนั้นให้เจอ ข้าว่าในคำถามที่คุณชายถามมาคำตอบอยู่ในตัวแม่นางเจียวทั้งหมด” “นั่นสินะ” คำตอบอยู่ในตัวนางที่เขาติดใจตั้งแต่แรกพบ ‘จะว่าชอบพอก็ยังไม่น่าจะใช่ คงจะเป็นความน่าค้นหาและเรื่องหยั่งรู้กระมังที่ดึงตัวเขามาถึงที่นี่’ คิดไปก็หนักสมอง ดังนั้นก็…ปล่อยมันเป็นไปเถิด -----๑------ กระท่อมน้อยปิดหน้าต่างมิดชิด เจียวหนิงอันนั่งมองตนเองผ่านกระจกเงาบานใสที่ได้รับพระราชทานมาเมื่อไม่นานมานี้ ใบหน้าเนียนละเอียดและดวงตาสีเขียวมรกตงดงามดังเช่นในชาติเดิมที่นางจากมาไม่มีผิดเพี้ยน งดงามแต่มิควรให้ผู้ใดพบเห็น…ใต้หล้าแห่งนี้หามีผู้ใดมีดวงตาสีประหลาด “เฮ่อ!! เบื่อจริงเชียว” ทำหน้ายุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม เมื่อรับรู้ว่าองค์ชายเจ้าหยางหลง ฝาแฝดผู้พี่ของฮองเฮาเจ้าเฟิ่งเซียนเดินทางมาอยู่ใกล้ๆนางแค่ครึ่งลี้ ที่นางรู้ก็เพราะนางได้ยินเสียงควบม้ามาแต่ไกลและตนเองซุ่มดูอยู่ในบ้าน หาใช่ใช้ความสามารถในการหยั่งรู้ใหม่…อีกเหตุผลหนึ่งที่นางไม่ใช้นั่นเป็นเพราะ ‘นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้เลยต่างหาก’ ทั้งๆที่พยายามนึกชื่อ นึกหน้าตาของเขาแต่เหตุใดทุกอย่างกลับว่างเปล่า “ทำไมถึงไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับคนผู้นี้เลยนะ” ? ยิ่งคิดก็ยิ่งอับจนหนทาง สตรีตัวบางแต่มากอายุเดินไปนั่งสมาธิบนเตียงต่อ..แต่ยิ่งเค้นเท่าไหร่ก็ยิ่งว่างเปล่า สุดท้ายการนอนพักเอาแรงคงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว ๑-----------------------๑ ยามเหม่า(06.30)ของวันต่อมา เจียวหนิงอันตื่นขึ้นมาในเช้าที่สดใส? ก็หวังว่าองค์ชายผู้นั้นจะไม่มาสร้างความวุ่นวายให้นางหรอกใช่หรือไม่ สองขาสตรีเดินเข้าห้องชำระล้างเพื่อทำธุระเกี่ยวกับสตรีร่วมสองเค่อ (30นาที) จึงออกมาด้านนอกด้วยชุดคลุมสีขาวสะอาดตา กระท่อมหลังนี้มีเพียงสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำและอีกหนึ่งห้องสำหรับพบปะผู้คนด้านหน้าโดยกั้นพื้นที่ส่วนตัวไว้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่แล้วหากมีผู้ใดมาที่กระท่อม นางและท่านยายไม่เคยเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้ามานั่งด้านในเลยสักครั้ง ทั้งหมดจะหยุดนั่งพูดคุยกันตรงโต๊ะเก้าอี้ไม้หน้ากระท่อมเท่านั้น พื้นที่ด้านหลังจะเป็นส่วนทำครัวแต่เดิมในสมัยก่อนห้องเก็บฟืนจะเป็นที่หลับนอนของเอียนจื่อแต่มายามนี้เมื่อเอียนจื่อมีอายุครบยี่สิบสามหนาวเขากลับพบรักกับสตรีขายหมั่นโถว ก่อนจะตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้นมา โดยพี่เอียนจื่อจะพักอยู่ที่บ้านกับฮูหยินของเขาและมาทำงานกับท่านยายแบบเช้าไปเย็นกลับ หากครั้งใดที่ท่านยายมีฝันบอกเหตุและต้องเดินทางไปต่างแคว้นก็จะเป็นเอียนจื่อขับรถม้ากับนายทหารติดตามนั่งคู่ไปด้วยหนึ่งคน ด้านในรถม้าจะเป็นฮูหยินของพี่เอียนจื่อร่วมนั่งพูดคุยกับท่านยายไปด้วยตลอดทาง..ซึ่งเจียวหนิงอันคิดว่ามันก็ดีแล้ว แกร่กๆ แอ้ดดดด!! สตรีตาบอดที่มีผ้าคาดดวงตาเปิดประตูกระท่อม..แอบสะดุ้งไปครู่เมื่อเห็นองค์ชายเจ้าหยางหลงนั่งจิบชาตรงโต๊ะไม้ด้านหน้า ก่อนจะปรับท่าทางให้คล้ายว่ามองไม่เห็นอะไรผ่านผ้าบางๆ จนได้ยินเสียงเอ่ยทัก เจ้าหยางหลงหรี่ตามองนางก่อนจะเอ่ย “แม่นางเจียว..หนิงอัน” หากมองไม่ผิด เมื่อครู่ยามที่นางเปิดประตูออกมาเขาเห็นนางสะดุ้ง นางทำเป็นหันไปตามเสียงเรียกและก้าวถอยหลัง “ท่าน...คือผู้ใดเจ้าคะ” แกล้งว่าไม่รู้จัก “มิใช่ว่ารู้แล้วหรอกรึว่าข้าคือผู้ใด ฟงอีบอกแก่ข้าว่าเจ้ารู้แล้วว่าข้ามา” เดินเข้าหาแต่ไม่ได้คุกคาม เจ้าหยางหลงกล่าววาจาดักทางแม่หมอผู้หยั่งรู้ตรงหน้า เขาและนางรู้จักชื่อแซ่กันอยู่แล้วเพียงแต่นางอาจจะไม่เคยพบหน้าเขาเพราะนาง ‘ตาบอด’? เจียวหนิงอันเงียบ “_” จะให้ตอบอย่างไรดีเล่าถึงจะไม่ได้ดูว่านางเห็นพวกเขา เท่านั้นยังไม่พอ ความสามารถของนางในตอนนี้สามารถจำกัดได้ ว่าอยากเห็นชะตาของผู้ใด..ยกเว้นของชายผู้นี้ ‘ที่อยากเห็นแต่ไม่เห็น’ “จริงหรือไม่จริง” ยกยิ้มมุมปาก “องค์ชายเจ้าหยางหลง” ช่างเถอะ เจ้าของนามหัวเราะในลำคอ “หึ” ดวงตาหลังผ้าขาวบางของนาง เขามองเห็นเรือนรางไม่รู้ว่านางไม่เห็นจริงๆหรือแค่แกล้งทำ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยอย่างที่ท่านแม่ว่า ‘แต่แล้วนางจะแกล้งทำให้ได้ประโยชน์อันใดในเมื่อถ้าดวงตามิได้มืดบอดมิสู้เปิดเผยแล้วเดินเหินแบบคนปกติมิดีกว่าหรือ’ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองบ้าไปแล้ว “มีสิ่งใดอยากจะสอบถามหรือว่าต้องการทำนายดวงชะตา ยามนี้ท่านยายไม่อยู่ องค์ชายคงต้องรอไปก่อน” ใจจริงนางอยากจะถอยหลังออกห่างจากบุรุษตรงหน้า แต่ที่ทำได้คือหลุบตาลงปกปิดตัวตน “ข้าอยากให้..” คล้ายๆคิดว่าจะเรียกนางว่า ☺️ “หนิงอัน” ควับ!!! เงยหน้าขึ้นสูง ‘เหตุใดกล้ากล่าวเพียงชื่อราวกับสนิทสนม’ สบตาคมผ่านผ้าบางๆก่อนจะก้มหน้าอีกครั้งเพราะลืมว่าตนนั้นตาบอด “จะตรวจดวงชะตาของข้าได้หรือไม่?” “ไม่ได้!!” นางรีบตอบเพราะตนเองไม่สามารถหยั่งรู้เรื่องของเขาได้จริงๆ เมื่อคืนนี้นางก็พยายามจนถอดใจไปแล้ว “เหตุใดถึงไม่ได้ ข้าสนใจ ติดใจเจ้าจนถึงกับตามออกมาถึงที่นี่ เจ้าจะไม่ใยดีเลยรึ..ข้าเป็นถึงเชื้อพระวงค์ ไม่ควรค่าให้เจ้าต้องตรวจดูดวงชะตาหรืออย่างไร” ในความคิดของเจ้าหยางหลงคือนางคงจะรับตรวจดูให้เพียงคนในแคว้นเพ่ยหาใช่คนต่างแคว้นเช่นเขา ‘แต่เขาเป็นถึงองค์ชาย และนางควรละเว้น' “ข้ามิได้แบ่งยศฐาบรรดาศักดิ์แต่ข้าไม่ดู” เจียวหนิงอันพูดขึ้นมาลอยๆ ในเมื่อเขากล้าเรียกนางเพียงชื่อ ก็คงไม่ต้องถือยศศักดิ์แล้วกระมัง “และความจริงแล้วข้าอายุมากกว่าเจ้า ไม่เรียกว่าพี่สาวข้ายังไม่ว่าแต่สิ่งใดคือบอกว่าติดใจข้า” บุรุษหนุ่มผู้นี้รู้หรือไม่ว่าคำว่าติดใจมันหมายถึงหลายเหตุผลที่ไม่น่าจะใช่กับคน ‘แสร้ง’ ตาบอดแบบนาง “ติดใจก็คือติดใจหาได้มีสิ่งใดซับซ้อน” ก้าวเท้าเข้าหาสตรีที่มีผ้าสีขาวบางปิดบริเวณดวงตา เจ้าหยางหลงอยากจะรู้ว่านางจะถอยหลังหนีหรือไม่…เขาสืบเท้าเข้าหาเรื่อยๆจนห่างเพียงหนึ่งก้าวเดิน บุรุษหนุ่มวัยสิบหกหนาวโน้มหน้าเข้าหา “ความจริงแล้วข้าอยากจะติดตามดูหนิงอันทุกฝีก้าว ขอเพียงแค่หนิงอันตอบตกลงข้าพร้อมจะมาอยู่ร่วมชายคา” ‘เพื่อจับตาดูจริงๆ’ ยกมือขึ้นหมายจับแก้มเนียนแต่สตรีตาบอดกลับถอยห่างออกจนพ้นระยะจับต้อง ยิ่งสร้างความแปลกใจให้เจ้าหยางหลงเพิ่มขึ้น “ไม่ตกลง ชายสูงศักดิ์กับสตรีตาบอดมิควรอยู่ร่วมชายคาเพราะเราหาใช่คู่สามีภรรยาและเจ้าจะถูกครหาได้” ไม่รู้ว่านางคิดถูกหรือผิดว่าบุรุษผู้นี้อาจจะสงสัยอะไรสักอย่างในตัวนาง อีกทั้งเรื่องราวของเขานางก็ไม่สามารถจะรู้ได้เหมือนคนอื่นๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีสักนิด “อ่อ” ยกยิ้มแล้วผละถอยห่างจากสตรีมากวัยแต่ตัวน้อย “หากเป็นสามีหรือภรรยาก็สามารถกระทำได้สินะ..เช่นนั้น” เขาเอ่ยเย้า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD