นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเอียนจื่อกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกระท่อมปลายนา ห้องพักของเขาคือห้องเก็บฟืนที่แบ่งครึ่งไว้เป็นที่หลับนอนของเขาเอง ทุกเช้าหลังจากรับสำรับรสเลิศเสร็จ เขาต้องนำจานชามไปล้างและมาร่วมนั่งเรียนเขียนอ่านกับหนิงอัน โดยมีท่านยายเป็นผู้สอน พอถึงยามบ่ายเจียวหนิงอันจะต้องเข้าไปฝึกสมาธิและเด็กชายจะถูกทหารที่มาคุ้มครองท่านยายพาไปฝึกวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานเตรียมการไว้ในภายหน้าเมื่อเขาต้องติดตามท่านยายออกไปนอกแคว้น ซึ่งถือเป็นเรื่องดี
๑-------------------------๑
ยี่สิบปีผ่านไป
เจียวหนิงอันในวัยยี่สิบหกขวบปีเดินทางเข้าวังหลวงติดตามท่านยาย ด้านหลังมีลิ่วเอียนจื่อวัยยี่สิบแปดหนาวที่ยามนี้กลายเป็นบุรุษรูปงามติดตามมาไม่ห่าง การเดินทางเข้าวังหลวงครั้งนี้ก็เพื่อตรวจดูดวงชะตาของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ทรงมีพระนามว่า ‘เพ่ยหานหรง’ พระองค์ทรงมีพระชนมายุยี่สิบสี่ชันษา จากการขึ้นครองราษฏ์กระทันหันเมื่อห้าปีก่อนเป็นเพราะเกิดเรื่องใหญ่หลวงขึ้นกับฮ่องเต้พระองค์เก่า พระองค์ทรงประชวรกระทันหันและสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพระองค์มิฟังคำเตือนจากท่านยายของนาง ‘คำเตือนเรื่องสตรีมีตำหนิในที่ลับคนนั้น’
ทั้งสามเดินเข้าไปถึงตำหนักส่วนพระองค์ก่อนจะมีมุ่ยกงกงขันทีชราอีกคนมายืนรอรับแล้วเดินนำไปยังห้องทรงงาน เจียวหนิงอันรู้จักคุ้นเคยกับผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ในตอนนี้เป็นอย่างดีตั้งแต่ห้าปีก่อน ตอนที่นางควบคุมความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ นางจึงเข้ามาตรวจดูชะตาของพระองค์อยู่บ่อยครั้ง ‘เพ่ยหานหรง’ คือฮ่องเต้ที่ดีในภายภาคหน้าแต่กว่าจะถึงตอนนั้นเขาต้องผ่านเคราะห์กรรมที่ติดตัวมาในชาติที่แล้วเสียก่อน
“ท่านยายเดินทางมาเหนื่อยๆรับน้ำชาอุ่นๆก่อนเถิด” ฮ่องเต้หนุ่มเดินมาพยุงสตรีวัยชราที่เขาเชื่อฟังและนับถือ “พี่หนิงอันและพี่เอียนจื่อก็เชิญตามสบาย” เอ่ยกับคนที่อายุมากกว่าอย่างไม่ถือตัว
เจียวหนิงอันถอดผ้าปิดตาออกเผยให้เห็นใบหน้ากระจ่างใส ในวังหลวงแห่งนี้ใครๆต่างก็ทราบกันดีว่าหลานสาวของแม่หมอเจียวจินหาใช่สตรีตาบอด ดวงตางดงามมองสบกันกับฮ่องเต้ผู้อ่อนเยาว์กว่า
“พี่หนิงอันยังคงงดงามไม่เปลี่ยน หากท่านสนใจบุรุษสกุลใด ข้าฮ่องเต้ผู้นี้ย่อมจัดการให้ท่านได้สมหวัง”
“ไม่เอาผู้ใดทั้งนั้นล่ะ” คนถูกเย้าส่ายหน้า เรียกเสียงหัวเราะจากฮ่องเต้และทุกคนได้ไม่ยาก
“ท่านยายเจียวจินมาหาข้าเช่นนี้มีเรื่องเกี่ยวกับดวงชะตาของข้าอีกแล้วใช่หรือไม่?” หัวคิ้วของพระองค์เริ่มขมวดอีกครั้งกับคำทำนายเกี่ยวกับสตรีเนื้อคู่ที่ไม่รู้ว่านางคือใคร
“ย่อมใช่ สตรีนางนั้นกำลังจะมา” แม่หมอเจียวจินบอกกล่าวตามที่ฝันพยากรณ์ได้ชี้ชัดถึงบุคลิกของสตรีผู้นั้น “นางเป็นสตรีที่ไม่เหมือนสตรี” ฯลฯ
การพูดคุยชี้แนะดำเนินต่อไปร่วมหนึ่งชั่วยาม กลุ่มของแม่หมอเจียวจินจึงได้เวลาเดินทางกลับ
บนรถม้าที่เอียนจื่อเป็นคนขับ สองสตรียายหลานนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องสำคัญของฮ่องเต้เกี่ยวกับสตรีเนื้อคู่ของพระองค์ สตรีที่มีดวงชะตาแข็งแกร่งคนนั้น ที่สำคัญคือนางจะมาช่วยให้ฮ่องเต้เพ่ยหานหรงหลุดพ้นจากเคราะห์ร้ายแต่บทสรุปจะเป็นเช่นไรย่อมขึ้นอยู่กับพระองค์แล้ว
“ท่านยายว่าฮ่องเต้ของเราจะหานางเจอหรือไม่เจ้าคะ”
“เป็นยายที่ควรถามเจ้ามากกว่า” มองหลานสาวผู้หยั่งรู้ชะตาของผู้อื่น “ยายรู้ว่าเจ้า...รู้”
เจียวหนิงอันถอนหายใจกับคำถาม “พวกเขาจะเจอกันแน่เจ้าค่ะ แต่จะเป็นในรูปแบบใดหลานก็ไม่สามารถตอบได้ ยังมีเวลาอีกหกเดือนก่อนที่จะถึงวันพระราชสมภพและหลานรู้ว่าแคว้นเราจะสงบสุขในไม่ช้า ที่เหลือก็แค่รอ” สตรีผู้นั้นมาแน่ๆ..มาแบบเหนือความคาดหมายพร้อมกับ ‘พยัคฆ์’ เจียวหนิงอันยิ้ม นางรู้..แต่นางไม่อาจกล่าวออกมาได้มิเช่นนั้นฮ่องเต้จะต้องส่งคนไปดักรอสตรีผู้มีพยัคฆ์ตัวนั้นเป็นแน่และชะตา ‘จะเคลื่อน’ นางจึงต้องเงียบ
๑-------------------------๑
แคว้นเจ้าในเวลาเดียวกัน
พระชายาจูเหม่ยเซียนหวนคิดไปถึงเรื่องเมื่อสิบหกปีที่ผ่านมา ตอนนั้นนางกำลังตั้งครรภ์
ในเขตชายแดนที่องค์ชายรอง องค์ชายสามและนางผู้เป็นพระชายาเพียงหนึ่งเดียวได้ไปจำประการแทนผู้ว่าการที่ถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกงที่ดินในสมัยนั้น นางได้ให้กำเนิดสองฝาแฝดชายหญิง องค์ชายน้อยมีนามว่าเจ้าหยางหลงและองค์หญิงน้อยมีนามว่าเจ้าเฟิ่งเซียน สองพระสวามีของนางและทุกคนในจวนต่างยินดีกันถ้วนหน้าที่องค์หญิงและองค์ชายน้อยต่างมีพระพลานามัยที่แข็งแรง ช่วงที่นางอยู่ในเขตชายแดนนั้นถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอยู่ช่วงหนึ่ง แต่หลังจากผ่านไปเพียงหกเดือนกลุ่มของสวามีทั้งสองและนางก็ได้เคลื่อนย้ายขบวนกลับมายังเมืองหลวงเนื่องจากมีขุนนางคนใหม่บรรจุราชการเข้ามาแทนที่ ความยินดีปรากฏแก่สายตาบ่าวไพร่ทุกคนที่คิดถึงบ้านไม่เว้นแม้แต่นาง
ยามที่อยู่ในวังหลวงฝาแฝดชายหญิงผู้มีร่างกายแข็งแรงต่างเล่นด้วยกันและทำทุกสิ่งร่วมกันมาโดยตลอด ถึงแม้ฝาแฝดผู้พี่ยามโตขึ้นจะอยากหลบลี้หนีห่างน้องสาวฝาแฝดมากเพียงใดก็ไม่อาจกระทำได้อย่างใจนึกจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้..ตอนที่นางต้องส่งบุตรฝาแฝดของนางขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางไปต่างแคว้น..ไปเพื่อส่งขวัญขวัญและไปตามที่ชะตากำหนดไว้ สองมือมารดากอดหนังสือปกสีดำที่บุตรสาวฝาแฝดนำมันมาคืน พร้อมกับข้อความด้านในที่บันทึกเรื่องของบุตรสาวตั้งแต่นางก้าวขึ้นรถม้า ‘อย่างน้อยทุกเรื่องราว’ นางผู้เป็นมารดาก็จะรับรู้
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อเวลาผ่านพ้นไปได้ห้าเดือน เรื่องราวที่ผุดขึ้นมาในหนังสือ คือเรื่องที่บุตรสาวของนางตอบตกลงปลงใจสมรสกับฮ่องเต้แคว้นเพ่ย ‘เพ่ยหานหรง’ นางรู้ว่าอีกไม่นานบุตรสาวจะต้องพาพระสวามีผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นมาคำนับท่านพ่อและท่านแม่..รอไม่นาน
๑-------------------------๑
แคว้นเพ่ยห้าเดือนต่อมา
การเดินทางที่ยาวนานนับห้าเดือนและอุปสรรคอันใหญ่หลวงได้ถูกจัดการลงจนถึงวันที่กลุ่มของเจ้าหยางหลงถูกเชิญให้เข้ามาพักในวังหลวงแคว้นเพ่ย วันนี้รัชทายาทเจ้าอี้หลิงและองค์ชายเจ้าหยางหลงร่วมดื่มสุรากับฮ่องเต้เพ่ยหานหรงที่ตกลงปลงใจกับน้องสาวฝาแฝดผู้ชอบหาเรื่องให้ตนเองบ่อยๆ จนถึงขั้นมอบตำแหน่งฮองเฮาให้แก่นาง
“พี่หานหรงช่างตัดสินใจรวดเร็วดียิ่ง” เป็นรัชทายาทเอ่ยถามขึ้น
ผู้ถูกพาดพิงยิ้มน้อยๆ “หากพบเจอสตรีที่ทำให้ใจเต้นแรง เหตุใดต้องรอนานมิสู้บอกกับนางตรงๆคงจะดีกว่า ก่อนที่สุดท้ายนางจะตกไปเป็นของผู้อื่น” มองเจ้าเฟิ่งเซียนที่เล่นกับพยัคฆ์ขาวด้วยแววตาอ่อนโยน
“ก็จริง” เจ้าหยางหลงยกจอกสุราขึ้นดื่ม “ฝากพี่ดูแลนางด้วย นางอาจจะชอบเล่นซนแต่นางเป็นสตรีที่จิตใจดีมาก”
“ข้ารู้ นางเป็นคนมุ่งมั่นและจิตใจดี นั่นเป็นอีกข้อที่ข้าปักใจรักนาง” ฮ่องเต้และสององค์ชายร่วมดื่มสุรายาวนานไปจนถึงยามซวี่ (20.00)
ก่อนเหล่าบุรุษจะเห็นพระสนมเสียนเฟยในชุดสีแดงดูเย้ายวนเดินนวยนาดมาใกล้ๆ แล้วเรื่องราวทุกอย่างก็เริ่มบานปลายเมื่อเจ้าหยางหลงเห็นสนมนางนั้นกล่าววาจาหาเรื่องใส่ตัวและน้องสาวฝาแฝดของเขา ‘เจ้าเฟิ่งเซียน’ เกิดปะทะคารมณ์กับสนมต่างแคว้น ถกเถียงกันอย่างไม่ใครยอมใครแต่ทางด้านฮ่องเต้เพ่ยหานหรงกลับให้ท้ายพระคู่หมั้นเจ้าเฟิ่งเซียนจนออกนอกหน้า พระสนมเสียนเฟยผู้พ่ายแพ้จึงล่าถอยกลับไปและทำเรื่องโง่เง่าในวันต่อมา ‘คือการจ้างวานแม่มดหมอผีมาปัดรังควาน’ ภายในวังหลวง....และข่าวการปลดพระสนมเสียนเฟยก็แพร่หลายไปทั่วเมือง
๑--------------------------๑
กระท่อมปลายนา
เรื่องราวการปลดสนมขั้นเฟยถึงหู แม่หมอเจียวจินผู้อยู่ในกระท่อมปลายนากับหลานสาวผู้มีผ้าปิดตาจากนายทหารผู้หนึ่งที่เดินทางมาเพื่อพาแม่หมอเข้าวังหลวง
“ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้ข้าน้อยมาเชิญแม่หมอและคุณหนูเจียวเข้าเฝ้าก่อนที่วันพระราชสมภพจะมีขึ้นขอรับ”
“เช่นนั้นรอสักครู่” แม่หมอกลับเข้าไปเตรียมของร่วมหนึ่งเค่อพร้อมกับจูงมือหลานสาวตัวบางที่สูงพอๆกับแม่หมอแต่ไม่สามารถคาดเดาอายุได้ขึ้นรถม้าไป มีเอียนจื่อควบม้าติดตามไม่ห่าง
“ท่านยาย” เจียวหนิงอันร้องเรียก
“ว่าอย่างไร”
“ใจข้าเต้นกระหน่ำ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” ยิ่งเข้าใกล้วังหลวงนางก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นแน่ๆ
“เช่นนั้นหรือ” แม่หมอเจียวจินได้แต่เพียงรับฟังและจับมือหลานสาวไว้อย่างปลอบโยน ยิ่งยามนี้นางและหลานสาวกำลังจะเดินทางเข้าสู่วังหลวง ที่หนิงอันใจเต้นแรง แม่หมอคิดว่าคงไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสตรีในคำทำนายเป็นแน่
สองยายหลานเดินทางร่วมหนึ่งชั่วยามจึงถึงที่หมาย สองข้างทางที่ผ่านเงียบสงบเพราะบ้านเมืองไร้ซึ่งสงคราม การปกครองภายใต้ปีกของเพ่ยหานหรงนับว่าดีเยี่ยมไม่มีที่ติ แต่ถ้าหลังจากวันพระราชสมภพอีกแปดวันข้างหน้าแม่หมอก็มิอาจจะคาดเดาได้..สตรีในคำทำนายเดินทางมาถึงแล้ว..แต่พระองค์จะรู้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง
รถม้าจอดลงหน้าตำหนักจินเซ่อ(ของฮ่องเต้) เสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานดังเข้ามากระทบหูของสตรีตาบอดบนรถม้า แม่หมอเจียวจินเดินลงจากมาพร้อมกับจูงมือหลานสาวเจียวหนิงอันที่ดูภายนอกคล้ายๆกับสตรีที่อายุเพียงสิบสามหนาวลงมายืนเคียงข้าง รอบๆดวงตายังคงถูกปิดด้วยผ้าสีขาว ใครหลายคนเข้าใจได้ไม่ยากว่าสตรีผู้นี้ ‘ตาบอด’
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” แม่หมอย่อกายพร้อมกับหลานสาว
ฮ่องเต้เพ่ยหานหรงรีบเดินมาจูงแขนฝั่งสตรีชรา “มิต้องมากพิธี ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าให้กลับมาอยู่ในวังทั้งสองคนเหตุใดยังไม่มาอีก”
“ปลายนาอากาศดีต่อหนิงอันพระองค์ก็ทรงทราบนี่เพคะ” ตาฝ้าฟางของหมอชรามองทุกคนจนทั่วและหยุดลงที่ ‘จางซิงอี’ สตรีน่ารักและมีความแข็งแกร่งอยู่ในที ไม่ไกลกันมีบุรุษสูงศักดิ์อีกสองคนคาดว่าน่าจะเป็นองค์ชายจากต่างแคว้น
“ข้ารู้” พระองค์พยักหน้าจูงสตรีชราและสตรีตาบอดมานั่งข้างๆก่อนจะแนะนำ “นี่คือรัชทายาทเจ้าอี้หลิง องค์ชายเจ้าหยางหลงและคุณหนูจางซิงอีบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเจ้า” ฮ่องเต้ยังกล่าวแนะนำกับแขกต่างแคว้นต่อ “นี่คือท่านยายเจียวจินและหลานสาวเจียวหนิงอัน ท่านยายคือผู้ทำนายดวงชะตาของแคว้นเพ่ย”
แม่หมอมองใบหน้าของจางซิงอีอีกครั้ง มือของหลานสาวตาบอดจับแขนท่านยายของตัวเองบีบจนแน่น “หนิงอัน”
“ท่านยายข้าใจเต้นแรง” เจียวหนิงอันหันมองรอบกายหาต้นเหตุ… “สตรีผู้นั้นอยู่ที่นี่” นางกล่าวเพียงเท่านั้นพร้อมกับสอดส่ายสายตาไปจนทั่วราวกับตัวเองมองเห็นก่อนจะกล่าวคำเหลือเชื่อออกมาต่อหน้าทุกคน ภาพฮ่องเต้ทรงประชวรเกิดขึ้นมาในสำนึก “ชะตาบรรจบไวกว่ากำหนดพระองค์ต้องสมรสก่อนวันพระราชสมภพมิเช่นนั้น…”
“อ่ะ!!!” จู่ๆฮ่องเต้เพ่ยหานหรงก็มีอาการปวดตรงหัวใจก่อนที่พระโลหิตจะไหลซึมออกมาจากจมูก “อึ่ก!” พระวรกายแกร่งหน้ามืดและล้มลงหมดสติไปในทันทีสร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น
“ฝ่าบาท!!!” แม่หมอเจียวจินร้องอย่างตกใจกับสิ่งไม่คาดคิด