“แง๊ๆๆๆ” ความเป็นจริงอันโหดร้ายของคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ถึงแม้จะดีใจที่ชายชุดดำคนนั้นไม่ลบความจำเดิมของเธอออกก็ตาม
“อย่าร้องๆ” เสียงพูดปลอบดังมาจากผู้หญิงที่เธอยังมองไม่เห็นหน้า ในใจอยากจะบอกเหลือเกินว่าตนนั้นโตแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะเสียงที่เปล่งออกมามีแค่คำว่า ‘แง๊ๆ’ เท่านั้น หัวสมองของเด็กทารกที่เธอมาอยู่ก็ช่างว่างเปล่าเหลือเกินดังนั้นดาราสาวจะต้องทำความคุ้นเคยกับร่างนี้ใหม่อีกครั้ง ‘ก็แน่ล่ะเธอมาเกิดใหม่นี่นา’ เมื่อเงียบเสียงร้องไห้ลง หูก็ได้ยินผู้หญิงคุยกันแว่วๆมา
“เป็นทารกหญิง แต่เหตุใด?”
“มีสิ่งใดรึท่านหมอ”
“ดวงตาที่ควรจะเป็นสีดำของนางเป็นสีเขียวมรกต”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องจนดาราสาวในร่างของทารกต้องเงียบฟังอย่างตั้งใจ แต่เดิมตนเองนั้นเป็นลูกครึ่งอยู่แล้วจะมีตาสีนี้มันก็ไม่แปลก..มันจะแปลกก็คือตอนนี้เธอเป็นลูกใครน่ะสิ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ‘ทุกคนพูดภาษาจีน’ และเธอเข้าใจมันทุกคำ
ดวงตาสีเขียวของเด็กทารกมองเพดานห้องด้วยรับรู้ว่าตนเองนั้นคงจะเห็นได้เพียงเท่านี้เพราะว่าตนอยู่ในห่อผ้า สักพักตัวของเธอลอยขึ้นคิดได้ว่าคงจะถูกอุ้มขึ้นมาเป็นแน่ ทันทีที่อดีตดาราสาวมองสบตากับผู้หญิงที่อุ้มเธอ ในหัวพลันปวดร้าวขึ้นมาฉับพลันจนต้องร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น “แง๊!!!” ความเจ็บแล่นริ้วขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
แล้วภาพผู้หญิงที่เธอมองหน้าเมื่อครู่พลันฉายชัดเข้ามาในความรู้สึก ผู้หญิงคนนี้จะถูกทำร้ายในอีกสามวันต่อมา ถูกทำร้ายโดยผู้ชายสามคนที่แต่งกายประหลาดท่าทางเมามาย ปัญหาในตอนนี้คือเธออยู่ในสภาพเด็กทารกอีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าภาพที่เธอเห็นในหัวนั้นมันจะเป็นจริงหรือเปล่า ตาสีเขียวเริ่มหรี่ลงเพราะความปวดจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มองผู้หญิงคนนี้ ดาราสาวในร่างเด็กน้อยร้องไห้งอแงและเลี่ยงสายตาไปมองเพดาน...เพียงครู่เดียวความเจ็บปวดนั้นก็หายไป
“แง๊ๆๆๆ” อึ่กๆ
“แกคงจะหิวนมเจ้าค่ะท่านยาย”
“ท่านหมอส่งมาให้ข้าเถิด” เสียงของคนที่ถูกเรียกว่าท่านยายดังอยู่ใกล้ๆ เด็กน้อยทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงหันหน้าไปมอง
“แง๊!!!” ความปวดเจือจางกว่าตอนแรก..แต่ก็ปวด ภาพท่านยายผมดำแซมขาวผู้เป็นหมอดูเทวดาฉายชัดเข้ามาในความรู้สึก ทุกคำทำนายจากท่านยาย ‘เจียวจิน’ ล้วนเป็นจริงทุกครั้ง ดาราสาวในร่างเด็กน้อยรับรู้แล้วว่าท่านยายผู้นี้คือเครือญาติของเธอและในภายภาคหน้าเธอจะต้องอยู่กับคุณยาย ‘เพียงสองคน’ เรื่องราวหนักหน่วงที่ไม่อยากจะรับรู้ไหลววนเข้ามาไม่ขาดสาย ความสงสัยมีมากกว่าสิ่งใดใจหวนนึกถึงคนชุดดำที่ผลักเธอมาในห้องๆนี้ แล้วเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นมา ‘อยากได้ความจำเดิมกับพลังวิเศษไม่ใช่เหรอ..โลกนี้มีวิทยายุทธ์ด้วยนะ ยังไงๆก็โชคดีละกัน’ ใจอยากจะตะโกนถามออกมาดังๆว่า ‘แล้วนี่มันที่ไหนกันเล่า!!!’
“ไปหาท่านแม่ของเจ้าด้วยกันเถอะนะ” คำพูดคำจาคล้ายๆว่าคงจะอยู่ในยุคโบราณกาล ยุคไหนสักแห่งสังเกตุได้จากการแต่งกายของคนที่นี่และการทำทรงผม ‘ไม่ผิดแน่’ เธอหลงมาอยู่ในยุคเก่าเหมือนหนังจีนกำลังภายใน
จังหวะการเดินและเสียงเปิดประตูห้องดังเข้ามาในหูเด็กน้อยที่แสร้งหลับตา
“มาแล้วบุตรสาวตัวน้อยของเจ้ามี่กวา” ส่งตัวเด็กให้แก่คนที่นั่งรออยู่บนเตียง ข้างๆกันนั้น เด็กทารกมองเห็นผู้ชายตัวใหญ่เสียงในสำนึกแว่บเข้ามาว่าเป็น ‘ท่านพ่อ’
“บุตรสาวของแม่” มี่กวาก้มลงหอมแก้มพร้อมกับมองหน้าเด็กน้อยในอ้อมกอด พลันตกใจไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมา “ดวงตาเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก..หนิงอันของแม่” ชื่อที่ท่านแม่ตั้งขึ้นมาในขณะนั้น
ความยินดีจากมารดาช่างแตกต่างกับความรู้สึกของทารกน้อยลิบลับ ดาราสาวผู้มีชื่อใหม่ว่าหนิงอันปวดหัวจนยากจะข่ม จึงทำได้แค่เพียงหลับตาหนีจากความจริงอันโหดร้าย ความจริงที่ว่า ‘มารดาของเธอกำลังจะตายเพราะตกเลือด’ หลังจากคลอดบุตร ความเสียใจไหลลงไปสู่กลางหน้าอก ชาติก่อนที่จากมาพ่อกับแม่ก็ประสบอุบัติเหตุตายพร้อมกัน มาชาตินี้ก็ยังจะขาดพ่อกับแม่อีกเหรอ ‘หนิงอัน’ รู้ว่าหลังจากมารดาตายจากไป บิดาของนางจะเดินทางขึ้นเขาไปบวชในทันที น้ำตาเด็กน้อยไหลรินออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิท หากยามนี้ความรู้สึกที่แท้จริงเป็นแค่เด็กทารกมันก็คงดี ‘แต่มันกลับไม่ใช่’
“ท่านแม่ข้าอ่อนแรงเหลือเกินเจ้าค่ะ” มี่กวาส่งตัวบุตรสาวให้มารดาของนาง ‘แม่หมอเจียวจิน’ แม่หมอที่รู้ชะตาของบุตรสาวตนเองดีอยู่แล้ว รู้แต่ทำสิ่งใดไม่ได้ รู้ตั้งแต่แรกว่าหากมี่กวามีบุตร นางจะต้องตายและยังรู้อีกว่าเด็กน้อยที่เกิดมาในวันนี้ ตรงนี้ ‘มีความพิเศษ’ แม่หมอตอบไม่ได้ว่าอย่างไหนมันจะดีกว่ากัน นางรู้ว่ามี่กวาไม่แข็งแรงแต่ชะตาก็คือชะตาหากเลี่ยงได้หนิงอันจะไม่ได้เกิดหากเลี่ยงไม่ได้...มี่กวาก็ตาย แม่หมอก้มมองเด็กน้อยที่นอนหลับตาพริ้มก็นึกสงสาร..ชะตามันเป็นไปแล้วและนางทำใจไว้มากกว่าครึ่งจนวันนี้มาถึง
“ท่านแม่ข้าฝากดูแลหนิงอันด้วยนะเจ้าคะ” มี่กวาร้องไห้โดยมีสามี ตี้เจาหยุ่น นั่งกุมมืออยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
“เพราะข้า ข้าผิดที่ไม่ฟังคำท่านแม่จนมี่กวามีหนิงอันขึ้นมา” บุรุษหน้าคมน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง “ข้าดีใจที่ข้ามีบุตรสาวที่น่ารักแต่ข้าเสียใจที่มี่กวาต้องเสียเลือดหนักขนาดนี้ ข้า...ฮืออ” ร้องออกมาอย่างไม่อายผู้ใดแม้เพียงนิด “หากนางมีอันเป็นไปข้าจะขอบวชจนกว่าจะครบอายุไขของนาง ฮือๆๆ” น้ำตาบุรุษไหลออกมาไม่ขาดสายก่อนจะลุกขึ้นก้มตัวลงโขกหน้าผากจรดพื้นสามครั้ง “ข้าขออภัยขอรับท่านแม่”
“ท่านพี่” มี่กวาน้ำตาซึม นางรับรู้ชะตาตนเองตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงยี่สิบเจ็ดปีจะมีหรือไม่มีหนิงอันก็หาได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไม่
แม่หมอเจียวจินรีบดึงรั้งลูกเขยขึ้นมา “อย่าทำเช่นนี้เจาหยุ่น” ความโศกเศร้าปกคลุมไปทั่วห้อง “ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึงเจ้ากับมี่กวาควรจะช่วยกันเลี้ยงดูหนิงอันก่อนดีหรือไม่อย่างน้อยยามนี้มี่กวาก็มิได้เป็นอันใด ไม่แน่ชะตาอาจจะเปลี่ยนแปลง” ส่งบุตรสาวในห่อผ้าให้บิดาเป็นฝ่ายอุ้ม “ไปสิ อุ้มไปให้ภรรยาเจ้าป้อนนมสักครั้ง”
“ขอรับ” ค่อยๆอุ้มแล้วเดินไปนั่งข้างๆเตียง ทุกนาทีนั้นมีค่ามากมายสำหรับพวกเขา
ดาราสาวในร่างทารกอ้าปากดูดกินนมจากเต้านั้นตามสัญชาตญาณของความเป็นเด็ก ความผูกพันแผ่ซ่านเข้ามาในห้วงสำนึก ในใจอยากจะช่วยเหลือท่านแม่ของตนให้มีชีวิตรอดแต่ทางรอดนั้นคือการเติมเลือดซึ่งแน่นอนว่าในยุคนี้คงจะไม่มีเป็นแน่ น้ำตาจากเด็กน้อยไหลรินทั้งๆที่ยังหลับอยู่...แม้ในใจอยากจะโทษจนเองแต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอเองก็เพิ่งจะตายแล้วมาเกิดใหม่ ‘ลาก่อนท่านแม่เจียวมี่กวา’
๑-----------------------๑
เจ็ดวันผ่านไป
หลังจากที่มี่กวาจากไปอย่างสงบ ทิ้งสามี ท่านแม่และบุตรสาวหนิงอันไว้ท่ามกลางความโศกเศร้าของทุกคนในวังหลวง ไม่นานนักแม่หมอก็ได้ขอย้ายออกมาอยู่ที่กระท่อมปลายนาบ้านเดิมของนางเพราะอยากจะหลีกหนีจากความวุ่นวาย ฮ่องเต้ยากที่จะทักท้วงเพราะพระองค์รับรู้อยู่แล้วเรื่องการสูญเสียในครั้งนี้นั้นยิ่งใหญ่นัก ด้วยความห่วงใยพระองค์ทรงมีรับสั่งให้ทหารองครักษ์นับสิบคนไปคอยดูแล สร้างความซาบซึ้งใจแก่แม่หมอเจียวจินเป็นอย่างยิ่ง
๑-----------------------------๑
กระท่อมปลายนา
ความสงบเงียบในกระท่อมเล็กๆที่ยามนี้เหลืออยู่เพียงสามชีวิต ผู้ใหญ่ทั้งสองจึงต้องนั่งคุยกันถึงการเลี้ยงดูหนิงอัน ตี้เจาหยุ่นยังคงยืนยันหนักแน่นเรื่องที่จะขึ้นไปอาศัยอยู่ในสำนักสงฆ์และปลงผมออกบวชเพื่ออุทิศบุญไปให้มี่กวา เขาบอกว่าผลบุญจะช่วยให้นางได้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์อย่างมีความสุข
แม่หมอมิได้ทัดทานอันใดเพราะรู้ว่าลูกเขยเสียใจมากไม่แพ้กัน เมื่อนางถามว่าจะใช้เวลาบวชนานเท่าใด คำตอบที่ได้ก็คือ ‘เท่ากับอายุไขของมี่กวาในยามนี้นั่นก็คือยี่สิบเจ็ดปี’
สองวันต่อมาตี้เจาหยุ่นได้ไปแจ้งชื่อกับสำนักงานเขตเพิ่มชื่อแซ่ของหนิงอันให้เข้ามาอยู่ในบ้าน ท่านยายตกใจเมื่อเห็นว่าหนิงอันใช้แซ่เจียวหาใช่แซ่ตี้ จนเขาเอ่ยถึงสาเหตุที่มิยอมให้ใช้สกุลของตนนั้นเป็นเพราะเชื้อสายของสกุลเจียวจำเป็นต้องมีผู้สืบทอด ซึ่งแม่หมอเจียวจินพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อคำที่ลูกเขยกล่าวนั้นมันถูกต้องทุกอย่าง
ก่อนที่ท่านพ่อจะตัดใจเอ่ยคำลากับบุตรสาวอันเป็นที่รักเพื่อไปปฏิบัติธรรมส่งผลบุญให้แก่ท่านแม่ ท่านพ่อเอ่ยคำรัก คำห่วงใยต่อบุตรสาวไม่ได้ขาด ท่านพ่อบอกว่าวันข้างหน้าเราจะได้พบกัน เจียวหนิงอันรู้ว่าท่านพ่อไปบวชและนั่งสมาธิอยู่ที่ใด...เมื่อนางเติบใหญ่นางจะต้องไปหาท่านแน่ๆ ...นางสัญญา