องค์ชายทำนา?

1778 Words
เจ้าหยางหลงรีบหันไปมองทันทีพร้อมกับรีบเดินไปพยุงนางขึ้นมา “เหตุใดไม่ระวังเล่า” จับแขนเล็กบอบบางแน่น “ระวังอย่างไรก็ข้าตาบอด” จริงๆแล้วนางก้าวพลาดเพราะเผลอมองตามเขาต่างหากเล่า “มานี่มา” พากันมานั่งตรงโต๊ะน้ำชา “เจ็บที่ใดหรือไม่?” จับมือเล็กบางพลิกซ้ายขวาหารอยแผลและพบเข้ากับรอยถลอกตรงฝ่ามือด้านขวา “นี่ไงล่ะ” “มิได้เจ็บมากมาย” นางชักมือกลับ “เจ้าจะไปดูกระท่อมมิใช่เหรอ ไปเถิดเดี๋ยวข้าจะกลับเข้าห้องไปพักผ่อนแล้วขอบคุณที่ช่วยเหลือ” เจ้าหยางหลงรู้ว่านางพยายามเว้นระยะห่างออกไปแต่คนเช่นเขากลับอยากจะไล่ตามนาง มือแกร่งล้วงเข้าไปในอกเสื้อหยิบตลับยามาวางไว้บนโต๊ะ “ล้างมือแล้วทายาเสียข้าไปก่อนล่ะ” “ขอบคุณ” ผงกหัวหนึ่งครั้งรอจนบุรุษตรงหน้าลุกออกไปนางจึงเก็บตลับยาและค่อยๆเดินเข้าไปในกระท่อม กระจกเงาสะท้อนภาพเด็กสาวดวงตาสีเขียวมรกตสวยสดงดงาม แม้เจียวหนิงอันจะอายุย่างเข้ายี่สิบเจ็ดปีแต่สภาพร่างกายกลับกระชับราวกับเด็กสาวอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ผลพลอยได้จากการทำสมาธิและทำโยคะบริหารร่างกายทุกวันจึงทำให้รูปร่างนางงดงามเช่นนี้ ใบหน้าโดดเด่นที่ผ่านพ้นวัยปักปิ่นมานานลอบถอนหายใจ นางมิรู้จะรับมือกับบุรุษอ่อนวัยสูงศักดิ์ผู้นี้อย่างไรดี แทนที่เมื่อกี้หากนางไม่คิดฟุ้งซ่าน นางน่าจะสอบถามเขาเรื่องการสร้างกระท่อมให้มันจบๆไปแท้ๆ แต่นางก็ลืม มองกระจกไปใจก็หวนคิดไปถึงชาติเดิมที่เป็นดาราสาวลูกครึ่งสุดสวยก็มัวแต่ทำงานเพราะต้องเลี้ยงตัวเอง นางไม่เคยมีคนรัก แม้จะมีบ้างที่มีคนเข้ามาจีบ ‘แต่ช่างเถอะ’ จะคิดเรื่องคนรักในชาติที่แล้วให้มันได้อะไรขึ้นมาในเมื่อชาตินี้มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ องค์ชายผู้นี้ต้องการเพียงตรวจดูดวงชะตาและจับผิดนาง หาได้มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น ขาเรียวเดินขึ้นไปนั่งสมาธิบนเตียงนอนพยายามข่มใจให้นิ่งเหมือนที่เคยกระทำมานานนับสิบปีทั้งๆที่ยังมีภาพใบหน้า ‘เจ้าหยางหลง’ วนอยู่ในสำนึก แค่วนแต่กลับมองไม่เห็นภาพทุกช่วงเวลาของเขาเลย..แปลกจริง ๑-------------------๑ ยามอิ่ว(18.00) ตรงหน้าของเจ้าหยางหลงคือข้าวผัดหมูหอมกรุ่นหนึ่งโถใหญ่มีเสี่ยวหวงกวา(แตงกวา)ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นวางอยู่ข้างๆ เขาไม่รู้ว่านางตาบอดแล้วทำทุกอย่างออกมาได้อย่างไร...นั่นคือเรื่องที่น่าสนใจและสงสัยจริงๆ นั่นล่ะ “วันหน้าข้าต้องเข้าไปดูหนิงอันทำอาหารบ้างแล้ว” “_” เงียบ “เงียบเช่นนี้แสดงว่ามิขัดข้อง” “ตามแต่ใจองค์ชายเถิดเพคะ” เริ่มโมโหกับการชอบจับผิดของอีกฝ่ายหากอยากรู้นักว่านางตาบอดจริงหรือหลอกลวงก็เป็นเรื่องของเขาเถิด ความจริงนางมิได้อยากจะโกหกผู้ใดแต่เพราะดวงตาของนางมีสีเขียวมรกตแปลกตา บางคนก็หาว่านางเป็นปีศาจอีกทั้งเมื่อสมัยก่อนนางยามนางยังเยาว์นางมิสามารถมองหน้าผู้ใดได้เพราะเคราะห์กรรมของคนผู้นั้นต่างถาโถมเข้ามาหานางจนปวดศรีษะและเกือบสิ้นชีพมาแล้วหลายครั้ง แม้วันนี้กับอดีตนั้นต่างกันแต่นางยังคงไม่ถอดผ้าขาวออกเพราะรำคาญกับคำถาม “_” เจ้าหยางหลงรู้ว่านางเริ่มจะโกรธแล้วจึงเงียบลง ทั้งคู่ต่างรับสำรับกันโดยไร้คำพูดจาแม้หยางหลงจะใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากแต่ดวงตากลับมองสตรีตรงหน้าตลอด ผ่านไปร่วมสองเค่อการรับสำรับร่วมกันก็จบลงและเป็นหยางหลงที่อาสายกถาดอาหารไปล้างเช่นเคย เจียวหนิงอันยืนก่อไฟตรงเตาถ่านโดยมีเจ้าหยางหลงยืนมองอยู่พร้อมกับทำตาโตกับความสามารถของนาง ถ้านางตาบอดจริงแล้วทำได้เช่นนี้แสดงว่านางเป็นสตรีตาบอดที่เก่งที่สุดในยุทธภพแน่ๆ “ข้าจะลองใช้ผ้าปิดตาแล้วทำอย่างหนิงอันบ้างจะได้หรือไม่นะ” ผู้ที่จะกระทำเช่นนี้ได้ต้องใช้สัญชาตญาณ เปิดประสาทรับฟังทางหู จดจำสิ่งของภายในห้องนี้ให้ได้ว่าสิ่งใดอยู่ตรงไหน “ที่หนิงอันจดจำทุกสิ่งได้คงเป็นเพราะหนิงอันอยู่กระท่อมนี้มาตั้งแต่เยาว์วัยใช่หรือไม่?” “เป็นเช่นนั้น” เจียวหนิงอันตอบแต่หยางหลงหารู้ไม่ว่าผ้าขาวของนางบางมาก บางจนมองเห็นทุกอย่าง แม้ไม่ชัดเจนนักแต่ก็ถือว่ามองเห็นอีกทั้งยังกลบสีจากดวงตาของนางได้ดี แต่มีบ่อยครั้งที่นางพูดคุยกับผู้อื่นนานๆนางจะหลุบสายตาลงต่ำผ่านผ้าผืนบางเพื่อป้องกันผู้อื่นขะจับผิดได้ “เช่นนั้นข้าอยู่กับหนิงอันเพื่อเรียนรู้ในกระท่อมนี้ดีหรือไม่” ใจบุรุษอยากลองปิดตาเช่นนางบ้าง..อยากรู้ว่าคนที่ไม่เคยรับรู้และสัมผัสกับแสงสว่างจะรู้สึกเช่นใดกันนะ ‘อยากรู้มาก’ “ไม่ดี บุรุษและสตรีมิควรอยู่ร่วมกัน” หยิบหม้อมาวาง “ข้าว่าเรื่องนี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว มิใช่ว่ายามนี้มีกระท่อม เหตุใดไม่ไปลองปิดตาที่นั่นเล่า” “บอกแล้วแต่ข้าก็ยังต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญเช่นเจ้ามาสอน ถ้าหากเจ้ากลัวคนจะครหา ทางที่ดีเราควรสมรสกันก่อนใช่หรือไม่” ยิ้มกรุ้มกริ่มเกี้ยวคำหวาน หันมามองคนเยาว์กว่าที่พูดจาคล้ายว่ากำลังเกี้ยวนางซึ่งเป็นเพียงสตรีตาบอด หาใช่สตรีสูงศักดิ์ที่คู่ควรจะสมรสกับองค์ชายเช่นเขา “พูดเช่นนี้อีกแล้วนะหยางหลง” หลังๆมานี้ก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ คนถูกเรียกยิ้มกริ่ม “อืม..จะพูดอีกจนหนิงอันยอมให้ข้าอยู่ใกล้ๆ” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากปากสีชมพูบางสวยพร้อมคำถามคาใจ “ชอบข้ารึ” เจ้าหยางหลงนิ่งคิดไปถึงอาการของตนเองก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ชอบรึไม่...ข้าตอบไม่ได้ แต่หนิงอันทำให้ข้าคิดถึง ทำให้ข้าอยากรู้เรื่องของหนิงอันไปเสียหมด อยากรู้ว่าคนตาบอดใช้ชีวิตอย่างไรยามที่อยู่คนเดียว นี่ยังไม่นับเรื่องการหยั่งรู้ของเจ้านะ” ราวกับนึกขึ้นได้ “แล้วเจ้าเคยหยั่งรู้เรื่องของข้ารึไม่ตั้งแต่ข้ามาอยู่ที่นี่” จับแขนบอบบางให้มองมาทางตนเอง “สัมผัสข้าสิ..และบอกถึงเหตุการณ์ในภายหน้าของข้าเหมือนที่เคยบอกเรื่องของฮองเฮาเจ้าเฟิ่งเซียนแฝดน้องของข้าอย่างไรเล่า” ‘แค่สัมผัสก็ได้ใช่หรือไม่นะ’ ทั้งคู่เงียบกันเนิ่นนาน ไร้เสียงตอบกลับ ไร้เสียงใดนอกจากลมหายใจเป่ารดกันในระประชิด เจียวหนิงอันตั้งสมาธิมองเข้าไปในดวงตาของเจ้าหยางหลงผ่านผ้าบางๆอีกครั้งพร้อมพร่ำเอ่ยชื่อบุรุษตรงหน้าในใจ หากเป็นผู้อื่นนางจะรับรู้ได้ในทันทีเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งจิบชา..แต่กับคนตรงหน้า ‘ว่างเปล่าอีกแล้ว’ คล้ายกับเป็นมวลอากาศสีขาวเท่านั้น ‘นางไม่เห็นอะไรเลย’ เจียวหนิงอันหันหน้าหนีอย่างไม่เข้าใจ นางส่ายหน้าไปมา “ไม่มีอะไรเลย” เหมือนกับนางที่ไม่สามารถมองอนาคตของตนเองได้ “หะ” ทำหน้าฉงน “หนิงอันต้องไม่ตั้งใจแน่ๆ” กอดอกเหมือนเด็กถูกขัดใจ “เจ้ารู้แต่คงโป้ปด” “ข้าจะทำสิ่งนั้นไปเพื่ออันใดเล่า!! หยุดกล่าวเซ้าซี้ได้แล้ว” หันกลับไปคนข้าวในหม้อเพื่อทำข้าวต้ม ‘อาหารในยุคเดิมที่นางชอบทาน’ “อีกห้าวันข้าจะขึ้นเขาไปหาท่านพ่อ ไปส่งข้าได้ใช่หรือไม่?” ‘ใช่แล้วอีกห้าวันคือวันเกิดของนางและวันที่ท่านแม่ตาย’ นางจะไปรับท่านพ่อลงมา ท่านพ่อตี้เจาหยุ่นรู้ว่านางมิได้ตาบอด พอถึงตอนนั้นหากองค์ชายเจ้าหยางหลงจะรู้ความจริงก็ไม่เป็นไรถือว่าตอบแทนที่เขาไปส่งนางก็แล้วกัน “ย่อมได้ เช่นนั้นวันนี้หนิงอันก็จัดการเตรียมของเถิดข้ามิกวนแล้ว” เจ้าหยางหลงปล่อยให้นางได้อยู่คนเดียวในกระท่อมของนาง “หากต้องการสิ่งใดเรียกข้าได้ตลอด กระท่อมของข้าอยู่ไม่ไกล” “อืม” ตอบเพียงเท่านั้นและรอให้เจ้าหยางหลงเดินออกไปก่อนจะถอนหายใจ รอเวลาให้มันหมดไปอีกหนึ่งวัน ๑--------------------๑ เช้าวันต่อมาชาวบ้านมากมายมารวมกลุ่มกันอยู่หน้ากระท่อมของเจียวหนิงอัน เสียงพูดคุยปนหัวเราะดังจนเจ้าหยางหลงต้องเปิดประตูออกมาดู “ชาวบ้านมาทำสิ่งใดกัน” “ได้ยินว่ามาเกี่ยวข้าวขอรับ” ฟงอีตอบคำถาม “หืม” ความน่าสนใจฉายชัดในแววตา “เกี่ยวข้าวเช่นนั้นรึ” ย่างเท้าเข้าไปหากลุ่มคนนับสิบ รวมกลุ่มพูดคุยกับพวกเขาด้วยความสนใจจนจับใจความได้ว่า ทุกๆปีกลุ่มคนทั้งหมดนี้จะต้องมาทำนาเกี่ยวข้าวให้แม่หมอเจียวจินและหลานสาวตาบอด หนึ่งครั้งต่อตั๋วแลกเงินหนึ่งใบ สำรับอาหารกลางวันเป็นเจียวหนิงอันจัดการให้ทั้งหมด การเกี่ยวข้าวรอบนี้ใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้นซึ่งเจ้าหยางหลงรู้ดีว่าหลังจากนี้เขาจะต้องพานางเดินทางไปหาบิดาแม้จะไม่รู้เส้นทางแต่นั่นหาใช่เรื่องใหญ่แล้วเคียวเกี่ยวข้าวก็ตกอยู่ในมือขององค์ชายเจ้าหยางหลงพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่นกลางทุ่งนา องครักษ์เงาได้แต่ทำหน้าแหยกันยกใหญ่เพราะกลัวว่าจะถูกสั่งให้ไปเกี่ยวข้าวร่วมด้วย..แต่แล้วทุกคนก็ลอบถอนหายใจที่มันหาได้เป็นเช่นนั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD