ความจริงอันโหดร้ายของการสูญเสียเสบียงยังคงหนักอึ้งอยู่ในใจของทุกคน แต่ภาพสะพานแขวนผุพังเบื้องหน้ากลับเรียกร้องความสนใจได้มากกว่า เสียงลมที่หวีดหวิวขึ้นมาจากหุบเหวมืดมิดเบื้องล่างนั้นราวกับเสียงเพรียกแห่งความตาย มันคืออุปสรรคทางกายภาพชิ้นแรกที่วัดใจพวกเขาอย่างแท้จริง
“ไม่มีทางอื่นแล้ว... เราต้องข้ามไป” ลีโอพูดขึ้น ทำลายความเงียบที่กดดัน เขาเดินนำไปยังปากทางสะพานอย่างระมัดระวัง ใช้เท้ากระทืบแผ่นไม้แผ่นแรกเบาๆ เพื่อทดสอบความแข็งแรง มันส่งเสียงลั่นเอี๊ยดน่าหวาดเสียวแต่ก็ยังไม่หัก
“โครงสร้างหลักเป็นโลหะ น่าจะยังไหวอยู่ แต่แผ่นไม้บางแผ่นก็ผุไปแล้ว” เขาประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณผู้นำ “เพื่อความปลอดภัย เราต้องข้ามไปทีละคนเท่านั้น ฉันจะไปก่อนพร้อมกับเชือก พอถึงอีกฝั่งแล้วจะผูกเชือกนิรภัยให้ พวกเธอค่อยๆ เกี่ยวตัวแล้วข้ามตามมา”
ไม่มีใครคัดค้านแผนของลีโอ เขายึดปลายเชือกเส้นหนึ่งไว้กับโขดหินขนาดใหญ่ใกล้ๆ ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานเป็นคนแรก ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวังและมั่นคง แสงไฟจากศีรษะของเขาส่องนำทางไปในความมืดมิด เผยให้เห็นสภาพที่น่ากลัวของสะพานมากยิ่งขึ้น ไม่นานนัก ร่างของเขาก็หายไปในความมืด และในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนกลับมา “เรียบร้อย! ผูกเชือกแล้ว ข้ามมาได้เลย!”
ดีแลนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โอเค... ใครจะไปต่อล่ะ? ไม่ต้องแย่งกันนะ” เขาพยายามพูดติดตลกแต่ก็ไม่มีใครขำด้วย “งั้นฉันเอง” เขากล่าวพร้อมกับเกี่ยวห่วงนิรภัยเข้ากับเชือกแล้วก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว ไอตามไปเป็นคนที่สาม เธอเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบและมั่นคงราวจับวาง ไม่แสดงอาการหวาดกลัวใดๆ ออกมา
บัดนี้เหลือเพียงเอเดนและเอวา “ตาเธอแล้วล่ะเอวา” เอเดนพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้กำลังใจ
แต่เอวากลับไม่ขยับ ร่างของเธอสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องไปยังความมืดมิดเบื้องล่าง ขาของเธอราวกับถูกตอกตรึงไว้กับพื้นหิน “ฉัน... ฉันทำไม่ได้” เธอพูดเสียงสั่นเครือจนแทบไม่ได้ยิน
“เฮ้เอวา! ไม่เป็นไรน่า! มันไม่สูงอย่างที่คิดหรอก!” เสียงของดีแลนตะโกนกลับมาจากอีกฝั่ง
“ตั้งสติไว้เอวา! มองตรงไปข้างหน้า อย่ามองลงไปข้างล่าง!” ลีโอสั่งด้วยน้ำเสียงเข้ม แต่คำพูดเหล่านั้นกลับยิ่งทำให้เอวาตัวแข็งทื่อมากขึ้นไปอีก น้ำตาเริ่มคลอ นี่คือครั้งแรกที่เพื่อนๆ ได้เห็นด้านที่เปราะบางของหญิงสาวผู้ที่ปกติจะคอยเป็นพลังบวกให้กับทุกคนเสมอมา ความกลัวที่เธอซ่อนไว้ภายใต้รอยยิ้มที่สดใส บัดนี้ได้เผยตัวออกมาอย่างไม่มีชิ้นดี
เอเดนมองดูเพื่อนของเขาด้วยความเข้าใจ เขารู้ว่าคำสั่งหรือคำปลอบใจที่ฉาบฉวยนั้นใช้ไม่ได้ผลในตอนนี้ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะทำการตัดสินใจที่เสี่ยงอันตราย เขาปลดห่วงนิรภัยของตัวเองออก แล้วเดินกลับไปหาเธอที่กลางสะพานโดยไม่มีเครื่องป้องกันใดๆ
“เอเดน! ทำบ้าอะไรของนาย! กลับมานี่!” ลีโอตะโกนด้วยความตกใจ
เอเดนไม่สนใจ เขายื่นมือไปตรงหน้าเอวาอย่างแผ่วเบา แสงไฟจากศีรษะของเขาส่องให้เห็นแววตาที่จริงจังและอบอุ่น “ฉันก็กลัวเหมือนกันเอวา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “กลัวจนขาสั่นไปหมดเลยล่ะ แต่... เราไม่จำเป็นต้องข้ามมันไปคนเดียวนี่นา” เขายิ้มเล็กน้อย “เราจะข้ามมันไปพร้อมกันนะ”
คำพูดที่ไม่ได้สั่งสอน แต่เป็นการยอมรับและอยู่เคียงข้าง คือสิ่งที่ทลายกำแพงความกลัวในใจของเอวาลงได้ หยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่หยดน้ำตาแห่งความหวาดหวั่น แต่เป็นความซาบซึ้งใจ เธอยื่นมือที่สั่นเทาของเธอออกมาจับมือของเอเดนไว้แน่น ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาแล่นผ่านเข้ามาในหัวใจของเธอ
“จับมือฉันไว้ให้แน่นๆ มองหน้าฉัน ไม่ต้องมองไปที่อื่น” เอเดนกล่าว
ทั้งสองค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันทีละก้าว ทีละก้าว เอเดนคอยพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ชวนเธอให้นึกถึงเรื่องตลกๆ ในหมู่บ้าน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอออกจากหุบเหวเบื้องล่าง จนในที่สุด เท้าของพวกเขาก็ได้สัมผัสกับพื้นหินที่มั่นคงของอีกฟากฝั่งหนึ่งได้อย่างปลอดภัย
ลีโอและดีแลนถอนหายใจอย่างโล่งอก ดีแลนตบไหล่เอเดนเบาๆ ขณะที่ไอเพียงแค่พยักหน้าให้เล็กน้อย ซึ่งถือเป็นการแสดงความยอมรับในแบบของเธอ เอวายังคงจับมือเอเดนไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
แต่ทันทีที่เท้าสุดท้ายของเอเดนก้าวพ้นจากสะพาน...
ตูม! เคร้ง! โครม!
เสียงโลหะลั่นดังสนั่นหวั่นไหว! สายเคเบิลหลักเส้นหนึ่งที่ผุกร่อนมานานทนรับน้ำหนักต่อไปไม่ไหวและขาดสะบั้นลง ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ สะพานแขวนทั้งเส้นบิดตัวอย่างรุนแรงและพังทลายลงไปในความมืดมิดเบื้องล่าง เสียงโลหะที่กระแทกกับผนังหุบเหวดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไปในความเงียบงัน... เหลือไว้เพียงหุบเหวอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีทางข้ามกลับไปได้อีก
พวกเขาถูกตัดขาดจากอดีตโดยสมบูรณ์แล้ว
หลังจากยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะมองย้อนกลับไปอีกแล้ว เอเดนส่องไฟฉายไปเบื้องหน้า และแสงไฟก็ได้เผยให้เห็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องหยุดหายใจอีกครั้ง
ตรงหน้าพวกเขาคือประตูบานคู่ขนาดมหึมา แต่มันแตกต่างจากประตูโลหะเย็นชาที่เพิ่งผ่านมาโดยสิ้นเชิง ประตูนี้ดูราวกับมีชีวิต มันถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่คล้ายกับไม้ที่กลายเป็นหินและเถาวัลย์ยักษ์ที่ถูกถักทอเข้าด้วยกันอย่างประณีตจนเป็นเนื้อเดียว บนผิวของมันมีลวดลายโค้งมนแปลกตา และที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ มีแสงสีเขียวและสีฟ้าอ่อนๆ กะพริบเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับการหายใจ แสงนั้นลอดออกมาจากรอยแยกเล็กๆ ของประตู พร้อมกับกลิ่นอายที่ชื้นและหอมเหมือนดินหลังฝนตก... กลิ่นที่พวกเขาเคยได้ยินแต่ในนิทานของสเตลล่า
นี่ไม่ใช่ทางเดินของเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่มันคือประตูสู่เขตชีวภาพที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง... ประตูสู่โลกใบใหม่ที่รออยู่เบื้องหลัง