การตัดสินใจอันยิ่งใหญ่ถูกผนึกไว้ด้วยคำสัญญา ณ ระเบียงหินในคืนนั้น แต่ความฝันไม่อาจขับเคลื่อนพวกเขาไปข้างหน้าได้เพียงลำพัง การเดินทางสู่โลกเบื้องบนจำเป็นต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบและการเตรียมการที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายใต้เงามืดของหมู่บ้านบงเกอซีที่ไม่มีใครระแคะระคาย ปฏิบัติการลับของคนหนุ่มสาวทั้งห้าจึงได้เริ่มต้นขึ้น
แผนการถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก: การรวบรวมเสบียงและการศึกษาเส้นทาง ทั้งสองอย่างต้องทำอย่างเงียบเชียบที่สุดในช่วงเวลาสามวันข้างหน้า ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางในคืนที่สี่ซึ่งเป็นคืนที่จะมีการซ่อมบำรุงระบบประจำปีทั้งหมดของหมู่บ้าน ทำให้จะมีบางช่วงเวลาที่การป้องกันบางส่วนจะลดต่ำลง เพื่อนำกำลังที่เหลือทั้งหมดไปปรับปรุงระบบการทำงานหลักของ สเตลล่า ที่จะต้องการใช้พลังงานจำนวนมากในการประมวลผล และอัพเกรดระบบ
ลีโอรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมวางแผน เขากางแผนผังหยาบๆ ของหมู่บ้านที่วาดขึ้นเองลงบนพื้นถ้ำในมุมอับสายตา แสงจากตะเกียงชีวภาพที่เขาพกมาส่องให้เห็นรายการสิ่งของที่จำเป็นยาวเหยียด “อาหารพลังงานสูง, เครื่องกรองน้ำพกพา, แบตเตอรี่สำรอง, ชุดปฐมพยาบาล, เชือก, และอุปกรณ์ปีนเขา... ทั้งหมดนี้ถูกเก็บไว้ในที่ที่ต่างกัน เราต้องแยกกันทำ”
ภารกิจที่ยากที่สุดตกเป็นของเอวาอย่างไม่ต้องสงสัย โกดังอาหารหลักของหมู่บ้านอยู่ภายใต้การดูแลของพ่อเธอโดยตรง ในช่วงบ่ายของวันแรก เธอเดินเข้าไปในอาคารบริหารด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ พ่อของเธอ, หัวหน้าหมู่บ้านทาลอส, กำลังนั่งตรวจดูเอกสารดิจิทัลอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ลูกสาว “มีอะไรรึ เอวา วันนี้ไม่ไปเล่นกับเพื่อนๆ รึไง?”
“หนู... หนูแค่อยากจะมาช่วยพ่อจัดของในโกดังน่ะค่ะ เห็นว่ามันรกๆ” เธอโกหกคำโตที่สุดในชีวิต พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
ทาลอสหัวเราะเบาๆ “ดีจริงลูกพ่อ แต่ไม่ต้องหรอก พ่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ว่าแต่... เมื่อคืนพ่อได้ยินว่ามีกลุ่มเด็กๆ นั่งฟังเรื่องเล่าของสเตลล่ากันจนดึกดื่นเลยนะ” เขามองลึกเข้ามาในดวงตาของเอวา “จำไว้นะลูกเอวา ตำนานมันก็คือตำนาน ความจริงของเราอยู่ที่นี่ ในบงเกอซี”
คำพูดของพ่อเหมือนมีดที่กรีดลงในใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยิ่งตอกย้ำการตัดสินใจของเธอ ขณะที่พ่อหันไปสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง เอวาก็อาศัยจังหวะนั้นแอบหยิบกุญแจดิจิทัลสำรองที่วางอยู่บนชั้นวางของข้างๆ ออกมาได้อย่างเงียบเชียบ คืนนั้นเอง เธอก็สามารถลอบเข้าไปในโกดังและนำอาหารอัดแท่งพลังงานสูงออกมาได้จำนวนหนึ่ง โดยทิ้งความรู้สึกผิดไว้เบื้องหลัง
ในขณะเดียวกัน ดีแลนและลีโอก็มุ่งหน้าไปยังโรงเครื่องยนต์และคลังพัสดุ ภารกิจของดีแลนคือการเบี่ยงเบนความสนใจของ ‘บาร์นีย์’ หัวหน้าคลังร่างท้วมผู้มีชื่อเสียงด้านความหูเบาและช่างคุย
“ลุงบาร์นีย์! ได้ข่าวว่าเมื่อวานลุงเล่านิทานเรื่อง ‘หนูตะเภาท่องอวกาศ’ ให้เด็กๆ ฟังอีกแล้วเหรอครับ ผมล่ะอยากฟังบ้างจัง!” ดีแลนเริ่มต้นบทสนทนาด้วยเสียงดังฟังชัด
บาร์นีย์ยิ้มจนตาหยี “โอ้! เจ้าหนุ่มดีแลน มาๆๆ มานั่งก่อน จะเล่าให้ฟัง มันเป็นตอนที่กัปตันหนูตะเภากำลังจะ...”
ขณะที่เสียงหัวเราะและบทสนทนาอันออกรสของทั้งสองดังขึ้น ลีโอก็อาศัยความมืดและความชำนาญในการเคลื่อนไหว ลอบเข้าไปในคลังด้านหลังอย่างเงียบกริบ เขาไม่ได้หยิบของอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เลือกเฉพาะแบตเตอรี่รุ่นที่เก็บประจุได้นานที่สุด, เครื่องกรองน้ำขนาดกะทัดรัดที่เขาเคยทดลองใช้, และชุดเชือกพร้อมอุปกรณ์ปีนเขาที่ดูทนทานที่สุด การกระทำของเขาเงียบเชียบและมีประสิทธิภาพ สมกับเป็นพี่ใหญ่ที่พึ่งพาได้ของกลุ่ม
ส่วนเอเดนและไอรับหน้าที่เกี่ยวกับเวชภัณฑ์และข้อมูล พวกเขาเดินเข้าไปในสถานพยาบาลเล็กๆ ของหมู่บ้าน โดยเอเดนแสร้งทำเป็นว่าข้อเท้าเคล็ดจากการฝึกซ้อม
“โอ๊ยๆๆ เจ็บจังเลยครับหมอ” เขาแกล้งทำหน้าเหยเก
ขณะที่หมอผู้สูงวัยกำลังก้มๆ เงยๆ ดูข้อเท้าของเอเดน ไอซึ่งยืนรออยู่ข้างๆ ก็ใช้ดวงตาสีดำสนิทที่เฉียบคมของเธอสแกนชั้นวางยาและอุปกรณ์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้ขโมยอะไรซึ่งๆ หน้า แต่จดจำตำแหน่งของยาปฏิชีวนะ, ผ้าพันแผลปลอดเชื้อ, และยาแก้ปวดชนิดรุนแรงไว้ในใจ ก่อนจะเดินไปหยิบแผ่นพับข้อมูลเกี่ยวกับพืชพิษในอุโมงค์ชั้นนอกมาถือไว้เนียนๆ ราวกับว่าสนใจอ่านเล่น เธอรู้ดีว่าความรู้ก็สำคัญไม่แพ้เสบียง
ตลอดสามวันแห่งการเตรียมการ พวกเขาทั้งห้ายังต้องใช้ชีวิตตามปกติเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย แต่มันคือช่วงเวลาของการอำลาที่ไม่ได้เอ่ยคำลา
เอเดนใช้เวลาในตอนกลางคืนไปนั่งอยู่หน้าจัตุรัสที่ว่างเปล่า เขามองไปยังโฮโลแกรมของสเตลล่าที่ดับแสงไปแล้วในความมืด เขาไม่ได้ต้องการข้อมูลอะไรอีกแล้ว เพียงแต่อยากจะขอบคุณและบอกลาผู้จุดประกายความฝันของเขาเป็นครั้งสุดท้ายในใจ
เอวามีมื้อค่ำที่เงียบงันผิดปกติกับพ่อของเธอ เธอกินสตูเห็ดฝีมือตัวเองไปอย่างเชื่องช้า พยายามซึมซับภาพของพ่อผู้เข้มแข็งแต่ก็รักเธอสุดหัวใจไว้ให้นานที่สุด เธอหวังเพียงว่าสักวันหนึ่ง เขาจะเข้าใจการตัดสินใจของเธอ
ดีแลนเล่นมุกตลกกับครอบครัวมากกว่าปกติ เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบ้านเล็กๆ ของเขา แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นแววตาเศร้าสร้อยที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มนั้น เขาพยายามเก็บเกี่ยวความสุขเหล่านี้ไว้เป็นพลังใจในการเดินทางที่กำลังจะมาถึง
ส่วนไอ หญิงสาวผู้เงียบขรึม การอำลาของเธอยิ่งลึกลับกว่าใคร ในคืนก่อนออกเดินทาง เธอเดินไปยังมุมที่เก่าแก่และถูกลืมที่สุดของหมู่บ้าน ที่นั่นมีแท่นหินเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจ เธอนั่งลงและบรรจงวาดภาพดอกไม้ที่ไม่เคยมีอยู่จริงในโลกใต้พิภพลงบนแผ่นชนวนดิจิทัลของเธอ ก่อนจะวางมันพิงไว้ที่แท่นหินนั้น เป็นสัญลักษณ์ของการอำลาอดีตที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้
และแล้ว คืนที่สี่ก็มาถึง... คืนแห่งการซ่อมบำรุงระบบ
ความมืดและความเงียบเข้าปกคลุมหมู่บ้านบงเกอซี กลุ่มเพื่อนทั้งห้าในชุดเดินทางทะมัดทะแมงพร้อมกระเป๋าเป้ที่หนักอึ้งด้วยเสบียงและความหวัง มารวมตัวกัน ณ ปากอุโมงค์ใหญ่ที่ทอดตัวสู่โลกภายนอก ลมเย็นๆ ที่พัดออกมาจากความมืดเบื้องหน้าทำให้บรรยากาศน่าขนลุกและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
“ทุกคนพร้อมนะ?” ลีโอถามเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนพยักหน้าตอบรับด้วยแววตาที่มุ่งมั่น “ตามแผน ตอนนี้ระบบป้องกันส่วนใหญ่น่าจะถูกโอนถ่ายพลังงานไปให้สเตลล่าแล้ว เราต้องรีบไป”
เอเดนก้าวมายืนอยู่ข้างหน้าสุด เขามองเข้าไปในความมืดมิดที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่ในใจของเขากลับเห็นภาพของท้องฟ้าสีคราม เขาหันกลับมาพยักหน้าให้เพื่อนๆ เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแล้ว... เวลาที่จะทิ้งโลกทั้งใบไว้เบื้องหลัง
แต่ทันทีที่เขากำลังจะก้าวเท้าแรกออกไป!
วูบ! ไฟส่องสว่างทั่วทั้งอุโมงค์และหมู่บ้านก็ดับพรึบลงพร้อมกัน ตามมาด้วยเสียงไซเรนความถี่ต่ำที่ดังกระหึ่มจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า ไฟฉุกเฉินสีแดงเริ่มกะพริบเป็นจังหวะไปตามผนังถ้ำ เผยให้เห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกของทุกคน
แล้วเสียงที่ไร้ความรู้สึกก็ดังขึ้น ก้องกังวานไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่ใช่เสียงที่อบอุ่นของสเตลล่าที่พวกเขาคุ้นเคย แต่เป็นเสียงสังเคราะห์ที่เย็นชาและเป็นจักรกลโดยแท้
“ตรวจพบความพยายามละเมิดพื้นที่เขตรอบนอก... เริ่มกระบวนการปิดกั้นฉุกเฉิน... โปรโตคอล 734 ทำงาน”
สิ้นเสียงนั้น เสียงโลหะบดกับหินก็ดังสนั่นมาจากเพดานอุโมงค์เบื้องหน้า ประตูนิรภัยขนาดมหึมาที่ซ่อนอยู่และไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน กำลังเลื่อนตัวลงมาอย่างช้าๆ แต่หนักแน่น เพื่อปิดตายเส้นทางสู่โลกภายนอกของพวกเขาตลอดกาล!