กลิ่นหอมชื้นของดินและพืชพรรณที่พวกเขาไม่เคยรู้จักลอยอบอวลอยู่ในอากาศ มันเป็นกลิ่นแห่งชีวิตที่ขัดแย้งกับโลกโลหะและหินผาที่พวกเขาจากมาโดยสิ้นเชิง ประตูชีวภาพบานมหึมาเบื้องหน้ายังคงกะพริบแสงสีเขียวและสีฟ้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับหัวใจของยักษ์ใหญ่ที่หลับใหล กลุ่มเพื่อนทั้งห้ายืนนิ่งตะลึงงัน ความเหนื่อยล้าและความสิ้นหวังจากการสูญเสียเสบียงถูกแทนที่ด้วยความพิศวงและความเกรงขาม
“นี่มัน... อะไรกันแน่” ดีแลนพึมพำออกมาเป็นคนแรก ดวงตาของเขาเบิกกว้างจ้องมองประตูที่ดูราวกับมีชีวิต
ลีโอขยับตัวก่อนใคร เขาก้าวเข้าไปใกล้ประตูอย่างระมัดระวัง แสงไฟฉายบนศีรษะของเขาสาดส่องไปตามพื้นผิวที่คล้ายไม้กลายเป็นหิน เผยให้เห็นความซับซ้อนของเถาวัลย์ที่ถักทอเข้าด้วยกันอย่างไม่มีที่ติ “ไม่น่าใช่แค่ประตู... มันเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต”
ทันทีที่ลีโอก้าวเข้าไปในระยะสามเมตร แสงทั้งหมดบนประตูก็พลันหยุดนิ่ง ก่อนจะไหลมารวมกันที่จุดศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว ก่อตัวขึ้นเป็นรูปทรงที่คล้ายกับ "ดวงตา" ขนาดใหญ่ที่กำลังส่องแสงสีขาวนวลออกมา แล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงที่ไม่ใช่เสียงจักรกลเย็นชาแบบที่พวกเขาเคยได้ยิน แต่เป็นเสียงที่ทุ้มต่ำ สงบนิ่ง และเก่าแก่ยิ่งกว่าหินผาใดๆ ดังขึ้นในหัวของพวกเขาทุกคนพร้อมกันราวกับโทรจิต
“ผู้สืบทอด... พวกเจ้าแสวงหาสิ่งใด ณ ประตูแห่งแหล่งพักพิงสุดท้ายนี้”
ทุกคนสะดุ้งตกใจ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เสียงนั้นไม่ได้มาจากลำโพง แต่มันดังก้องอยู่ในความคิดของพวกเขาโดยตรง
“ใครน่ะ! แสดงตัวออกมา!” เอเดนตะโกนถาม สัญชาตญาณทำให้เขาก้าวมายืนบังเพื่อนๆ ไว้
ดวงตาแห่งแสงบนประตูกะพริบช้าๆ “นามไม่มีความหมาย สิ่งสำคัญคือหน้าที่... เราคือผู้พิทักษ์แห่งสถานีชีวภาพเทอร์ร่า-ศูนย์หนึ่ง สถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในแหล่งพักพิงสุดท้ายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้อง ‘เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต’ จากมหันตภัยบนพื้นโลก มันถูกผนึกไว้จากกาลเวลา และจะเปิดรับเพียงผู้ที่มีเจตนาอันบริสุทธิ์เท่านั้น”
คำอธิบายนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึง นี่คือสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องชีวิต ไม่ใช่แค่ทางผ่านธรรมดา “เจตนาบริสุทธิ์?” เอวาถามขึ้นเสียงสั่น “หมายความว่ายังไงคะ?”
“หมายความว่า... พวกเจ้าต้องการอะไรจากการมาที่นี่” ผู้พิทักษ์ตอบกลับ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าพวกเขาจะเปลี่ยนไป
พื้นหินแข็งกระด้างพลันสลายกลายเป็นภาพโฮโลแกรมที่สมจริงจนน่าขนลุก ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา ท้องฟ้าสีครามสดใสปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมด้วยดวงอาทิตย์ที่สาดแสงสีทองอันอบอุ่นลงมา มีลำธารใสสะอาดไหลผ่านและดอกไม้หลากสีสันส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว มันคือภาพสวรรค์ที่สเตลล่าเคยเล่าให้ฟัง คือโลกในฝันที่พวกเขาออกเดินทางตามหา
“นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหามิใช่หรือ?” เสียงของผู้พิทักษ์ดังขึ้นอีกครั้ง “สรวงสวรรค์ที่ไร้ซึ่งความกังวล ปราศจากความเสี่ยง ปลอดภัยจากโลกภายนอก... คำถามของเราคือ หากพวกเจ้าได้ครอบครองสถานที่แห่งนี้ พวกเจ้าจะทำเช่นไร?”
ภาพโฮโลแกรมยิ่งสมจริงขึ้น พวกเขารู้สึกได้ถึงไออุ่นจากแสงแดดจำลองและได้กลิ่นหอมของดอกไม้จริงๆ
“พวกเจ้าจะเก็บสรวงสวรรค์นี้ไว้เป็นความลับ เพื่อปกป้องมันจากความโลภและความผิดพลาดของมนุษย์ที่เคยทำลายโลกไปแล้วครั้งหนึ่ง... หรือพวกเจ้าจะเสี่ยงทุกอย่างเพื่อนำพาผู้คนจากบงเกอซีที่พวกเจ้าจากมา ให้มายังที่แห่งนี้ แม้การกระทำนั้นอาจนำมาซึ่งการทำลายล้างที่นี่ซ้ำรอยเดิม?”
คำถามที่บาดลึกและหนักหน่วงทำให้บรรยากาศที่เคยน่าพิศวงกลับกลายเป็นความตึงเครียดในทันที
ลีโอขมวดคิ้วแน่น เขาคือคนแรกที่ตอบตามหลักการของผู้นำ “เรา... เราควรจะสำรวจให้แน่ใจก่อนว่าที่นี่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ จากนั้นจึงวางแผนอย่างรอบคอบที่สุด ค่อยๆ นำพาผู้คนมาทีละกลุ่มอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อควบคุมผลกระทบและรักษาความสมบูรณ์ของที่นี่ไว้ให้ได้นานที่สุด ความปลอดภัยต้องมาก่อน”
ดวงตาแห่งแสงหรี่ลงเล็กน้อย “ระเบียบแบบแผน... การควบคุม... นั่นคือสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าเคยพยายามทำมาแล้ว”
ดีแลนส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่เห็นจะซับซ้อนตรงไหนเลย! ถ้าที่นี่มันดีจริง เราก็ควรจะกลับไปบอกทุกคนสิ! บอกครอบครัว บอกเพื่อนๆ ทุกคนควรจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งนี้ ได้มีความสุขเหมือนกันไม่ใช่เหรอ!”
“ความสุขของคนกลุ่มหนึ่ง... อาจหมายถึงการทำลายความสุขของทุกชีวิตที่นี่” ผู้พิทักษ์ตอบกลับอย่างเยือกเย็น
เอวาน้ำตาคลอ เธอเห็นภาพพ่อของเธอและเด็กๆ ในหมู่บ้านซ้อนทับขึ้นมาบนทุ่งหญ้าแห่งมายา “แต่... แต่พวกเขาไม่มีความหวังเลยนะคะ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในความมืด พวกเขาสมควรได้รับโอกาสไม่ใช่เหรอคะ? เราจะเห็นแก่ตัวเก็บสวรรค์นี้ไว้คนเดียวได้อย่างไร”
“ความเมตตา... คือสิ่งที่นำไปสู่การล่มสลายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน”
คำตอบของผู้พิทักษ์ดูเหมือนจะปฏิเสธทุกหนทาง มันทำให้ทุกคนจนมุม ความคิดของแต่ละคนล้วนมีเหตุผล แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบใดที่ "ถูกต้อง" เลย
สุดท้าย ทุกสายตาจึงหันไปมองที่เอเดน ชายหนุ่มผู้เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ เขายืนนิ่งเงียบมาตลอด ดวงตาสีฟ้าของเขามองทะลุภาพโฮโลแกรมอันสวยงาม ราวกับกำลังมองหาสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น
“เอเดน...” เอวาเรียกชื่อเขาเบาๆ
เอเดนสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาแห่งแสงโดยตรง “ผมไม่รู้หรอกว่าคำตอบที่ถูกต้องคืออะไร” เขาเริ่มต้นอย่างช้าๆ “ผมไม่รู้ว่าเราควรจะเก็บที่นี่ไว้ หรือควรจะบอกคนอื่น... แต่ผมรู้สิ่งหนึ่ง”
เขาหยุดไปชั่วครู่ รวบรวมความคิดทั้งหมด “เราไม่ได้ออกเดินทางมาเพื่อครอบครองสรวงสวรรค์... เราไม่ได้ต้องการจะเป็นเจ้าของโลกใบใหม่ เราไม่ได้ต้องการจะควบคุมหรือวางแผนอะไรทั้งนั้น”
“แล้วพวกเจ้าต้องการสิ่งใด?”
เอเดนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่หนักแน่นและจริงใจที่สุด “เราแค่อยากจะเห็นท้องฟ้า... ผมแค่อยากจะรู้ว่าแสงแดดที่แท้จริงมันรู้สึกอุ่นแค่ไหน... อยากจะได้กลิ่นดินหลังฝนตกสักครั้งในชีวิต” เขามองไปที่เพื่อนๆ ทีละคน “และผม... ผมก็แค่อยากให้เพื่อนๆ ของผมได้มีโอกาสเห็นมันเหมือนกัน... แค่นั้นเอง”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ภาพโฮโลแกรมที่สวยงามเริ่มสลายไปช้าๆ ดวงตาแห่งแสงจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเอเดน ราวกับจะค้นหาความจริงที่อยู่ก้นบึ้งของจิตใจ
แล้วเสียงของผู้พิทักษ์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย “เจตนาของพวกเจ้า... ยังคงบริสุทธิ์”
สิ้นเสียงนั้น ดวงตาแห่งแสงก็สลายตัวกลับไปเป็นแสงเล็กๆ นับพันที่กระจายไปทั่วบานประตู เถาวัลย์ที่เคยถักทอแน่นหนาเริ่มคลายตัวออกอย่างช้าๆ ส่งเสียงรากไม้ที่บิดตัวและเลื่อนเปิดออกจากกัน เผยให้เห็นทางเดินที่เหมือนโพรงไม้เรืองแสงอยู่ข้างใน
“ประตูจะเปิดให้ แต่จงระวัง...” ผู้พิทักษ์กล่าวทิ้งท้ายเป็นคำเตือนสุดท้าย “สถานีนี้ปกป้องทุกชีวิต... ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่พวกเจ้าอาจเรียกว่า... อสูรกาย”
ประตูเปิดออกจนสุด เผยให้เห็นภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่สว่างไสวด้วยแสงจากพืชพรรณนานาชนิด มันงดงามยิ่งกว่าภาพโฮโลแกรมใดๆ ที่พวกเขาเคยเห็น แต่ขณะที่ทุกคนกำลังจะก้าวเข้าไปด้วยความหวัง แสงไฟจากศีรษะของเอเดนก็ได้สาดไปกระทบกับบางอย่างที่พื้นตรงทางเข้า...
มันคือซากโครงกระดูกในชุดเดินทางเก่าคร่ำคร่าที่นอนขดตัวอยู่ข้างๆ แผ่นข้อมูลดิจิทัลที่แตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ