ประตูชีวภาพบานมหึมาปิดตัวลงอย่างเงียบเชียบอยู่เบื้องหลังพวกเขา ตัดขาดจากโลกแห่งหินผาและเครื่องจักรโดยสมบูรณ์ บรรยากาศภายในสถานีชีวภาพเทอร์ร่า-01 นั้นช่างน่าอัศจรรย์ ป่าเรืองแสงที่สว่างไสวด้วยตัวเองแผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่ว อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดินและพืชพรรณที่ไม่คุ้นเคย มันคือภาพของสวรรค์ที่เคยปรากฏแต่ในจินตนาการ ทว่าภาพของโครงกระดูกในชุดเดินทางเก่าคร่ำคร่าที่นอนขดตัวอยู่ตรงทางเข้า กลับเป็นเครื่องเตือนใจอันโหดร้ายว่าสวรรค์แห่งนี้อาจมีราคาที่ต้องจ่าย
“หยุดก่อน” เสียงทุ้มต่ำของลีโอดังขึ้น ทำลายความเงียบที่เกิดจากความพิศวงและความหวาดหวั่น “อย่าเพิ่งเข้าไปลึกกว่านี้”
ในฐานะผู้นำที่ยึดมั่นในความปลอดภัย เขาชี้ไปยังพื้นที่ว่างเล็กๆ ใกล้กับประตูที่เพิ่งปิดลง “เราจะตั้งค่ายพักชั่วคราวกันตรงนี้ก่อน สำรวจรอบๆ ให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรซ่อนอยู่ เราไม่รู้ว่านักเดินทางคนนี้เจออะไร และคำเตือนของผู้พิทักษ์ก็ยังดังก้องอยู่ในหัว”
ไม่มีใครคัดค้าน แผนของลีโอคือหลักประกันความปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขามีในตอนนี้ เอเดนและดีแลนเริ่มนำสัมภาระเท่าที่เหลืออยู่ออกมาจัดวาง ขณะที่เอวาเริ่มสำรวจแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยความระมัดระวัง แต่สายตาของทุกคนก็ยังคงเหลือบมองไปยังซากโครงกระดูกนั้นเป็นระยะๆ ความตายที่เงียบงันของมันเป็นปริศนาที่บดบังความงดงามของสถานที่แห่งนี้จนหมดสิ้น
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น มีเพียงไอที่ไม่ขยับไปไหน เธอยืนนิ่ง จ้องมองซากโครงกระดูกนั้นด้วยดวงตาสีดำสนิทที่ยากจะหยั่งถึง ก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ ราวกับถูกดึงดูดด้วยแรงบางอย่าง
“ไอ ระวังด้วย” เอเดนร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง
ไอเพียงแค่พยักหน้าโดยไม่หันมามอง เธอนั่งยองๆ ลงข้างๆ โครงกระดูกนั้น ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด เธอใช้แท่งโลหะเล็กๆ เขี่ยดูสภาพของชุดเดินทางที่เปื่อยยุ่ยและกระดูกที่ขาวโพลนอย่างละเอียด ความเงียบขรึมและสมาธิที่แน่วแน่ของเธอนั้น ทำให้คนอื่นๆ ต้องหยุดมอง
“เป็นยังไงบ้าง?” ลีโอเดินเข้ามาถาม
ไอเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอฉายแววครุ่นคิด “แปลก” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไม่มีร่องรอยของสัตว์”
“หมายความว่าไง?” ดีแลนถามแทรกขึ้นมา
“กระดูก... ไม่แตก ไม่มีรอยกัด ไม่มีรอยข่วน” เธอชี้ไปที่ซี่โครงที่ยังเรียงตัวกันอย่างสมบูรณ์ “ถ้าเขาถูก ‘อสุรกาย’ ที่ผู้พิทักษ์พูดถึงโจมตี สภาพไม่น่าจะสมบูรณ์แบบนี้ แล้วก็... ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ด้วย สิ่งของรอบตัวยังอยู่ครบ เขาเหมือนกับ... แค่นอนลงแล้วก็ตายไปเฉยๆ”
คำพูดของไอทำให้บรรยากาศน่าขนลุกขึ้นไปอีก ความตายที่ไร้ร่องรอยนั้นน่ากลัวกว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดเสียอีก
“แต่มีนี่...” ไอชี้ไปที่กะโหลกศีรษะ เธอใช้ปลายแท่งโลหะเขี่ยเส้นผมที่แห้งกรังออก เผยให้เห็นรอยไหม้เล็กๆ สีดำสนิทที่บริเวณขมับ และเมื่อเธอลองตรวจสอบที่กระดูกนิ้วมือ ก็พบรอยไหม้ในลักษณะเดียวกัน “เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต... หรืออะไรบางอย่างที่มีพลังงานสูง”
ขณะที่ทุกคนกำลังขมวดคิ้วกับปริศนาใหม่ สายตาของไอก็เหลือบไปเห็นแผ่นข้อมูลดิจิทัลที่แตกละเอียดซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ข้างๆ ซากนั้น หน้าจอของมันแตกเป็นเสี่ยงๆ และตัวเครื่องก็มีรอยร้าวไปทั่ว ดูเหมือนจะหมดหวังที่จะใช้งานได้อีก
แต่ไอไม่คิดเช่นนั้น “หน่วยความจำหลัก... อาจจะยังอยู่” เธอพึมพำกับตัวเอง
“จะทำอะไรน่ะไอ?” เอวาถามขึ้นเมื่อเห็นไอหยิบแผ่นชนวนของตัวเองออกมา
“จะลองกู้ข้อมูลดู” เธอตอบสั้นๆ
“นั่นมันเสี่ยงเกินไป!” ลีโอคัดค้านทันที “แบตเตอรี่ในแผ่นชนวนของเธอเหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะ ถ้าใช้มันตอนนี้ เราอาจจะสูญเสียข้อมูลทั้งหมดที่เธอรวบรวมมาไปตลอดกาล!”
“แต่ถ้าในนี้มีคำตอบล่ะคะ?” ไอสวนกลับเบาๆ แต่หนักแน่น “ถ้ามันบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เราอาจจะรอดจากชะตากรรมเดียวกันก็ได้ มันคุ้มที่จะเสี่ยง”
ทุกคนเงียบไป ไม่มีใครกล้าตัดสินใจในสถานการณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้ สุดท้าย เอเดนจึงเป็นคนพูดขึ้น “ผมเชื่อไอ... ให้เธอลองดูเถอะ”
ลีโอถอนหายใจ แต่ก็พยักหน้ายอมรับ ทั้งกลุ่มจึงเข้ามายืนล้อมไอที่กำลังทำการเชื่อมต่อที่ละเอียดอ่อนที่สุดในชีวิตของเธอ เธอค่อยๆ นำสายเคเบิลเล็กๆ จากแผ่นชนวนของเธอเสียบเข้ากับพอร์ตข้อมูลที่เสียหายบนซากแผ่นข้อมูลนั้น หน้าจอของเธอสว่างวาบขึ้น แสดงสัญลักษณ์การถ่ายโอนข้อมูลที่กะพริบอย่างน่าหวาดเสียว ตัวเลขเปอร์เซ็นต์พลังงานที่เหลืออยู่ลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว... 9%... 7%... 5%...
“เร็วเข้าสิ...” ดีแลนพึมพำ เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นบนหน้าผาก
ติ๊ง!
เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมกับที่หน้าจอของไอแสดงข้อความว่า "การถ่ายโอนสำเร็จ" ก่อนที่แบตเตอรี่จะหมดลงและดับวูบไปพอดี ไอถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอทำสำเร็จ
“ได้ไฟล์มาหนึ่งไฟล์” เธอบอกทุกคน “เป็นไฟล์เสียง... บันทึกสุดท้าย”
เธอใช้พลังงานสำรองก้อนสุดท้ายที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยมีมาเพื่อเปิดไฟล์เสียงนั้น ลำโพงบนแผ่นชนวนส่งเสียงซ่าออกมาในตอนแรก ก่อนที่เสียงของชายคนหนึ่งจะดังขึ้น มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสน
“...บันทึกที่สิบสาม... พระเจ้า... ที่นี่มันไม่ใช่สวรรค์... มันคือ...” เสียงขาดหายไปชั่วครู่ ตามมาด้วยเสียงหอบหายใจอย่างหนัก “...พวกมันไม่ใช่สัตว์... ไม่ใช่เลย... แสงสว่าง... แสงไฟจากพืชพวกนี้... มันคือกับดัก... อย่ามอง... ห้ามมองเข้าไปในดวงตาของมันเด็ดขาด!”
เสียงในบันทึกเริ่มตื่นตระหนกมากขึ้น “ผู้พิทักษ์... เขาโกหกเรา... เขาไม่ได้ปกป้องเราจากโลกภายนอก... เขากำลัง ‘กักขัง’ บางอย่างไว้ที่นี่ต่างหาก!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหวีดแหลมที่แสบแก้วหูดังแทรกเข้ามาในบันทึก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องสุดท้ายของชายคนนั้น “อ๊ากกกก!” แล้วทุกอย่างก็เงียบไป มีเพียงเสียงซ่าที่ดังต่อเนื่อง...
สิ้นเสียงบันทึกอันน่าสยดสยอง ทุกคนยืนนิ่งตัวแข็งด้วยความตกใจ คำเตือนที่ได้รับมานั้นขัดแย้งกับทุกสิ่งที่พวกเขาเพิ่งประสบพบเจอ สถานีแห่งนี้ไม่ใช่แหล่งพักพิง แต่เป็นคุกที่ใช้กักขังบางอย่างไว้ต่างหาก
และทันทีที่ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวของทุกคน...
วูบ!
ป่าเรืองแสงที่เคยสว่างไสวอยู่รอบตัวพวกเขาก็พร้อมใจกัน "หรี่แสง" ลงอย่างกะทันหัน! ความสว่างที่เคยงดงามลดระดับลงจนเหลือเพียงแสงเรืองรองจางๆ ทำให้บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความมืดสลัวที่น่าขนลุกในทันที
และในความมืดที่เข้ามาแทนที่นั้นเอง... ที่ปลายขอบของแสงไฟฉายที่ส่องไปข้างหน้า... พวกเขาก็เห็นมัน
เงาของ "บางสิ่ง" ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ยืนนิ่งอยู่ไกลๆ ในป่า มันสูงและผอมเกร็ง ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน...
ก่อนที่ใครจะได้ทันขยับหรือส่งเสียงใดๆ แสงสว่างจากพืชพรรณทั่วทั้งป่าก็สว่างวาบกลับคืนมาดังเดิม และเมื่อพวกเขามองกลับไปยังจุดที่เคยเห็นเงานั้น... มันก็ได้หายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและความเย็นเยียบที่แล่นไปทั่วสันหลังของทุกคน