แสงสีฟ้าอ่อนจางของ "สเตลล่า" ทอประกายระยิบระยับอยู่ใจกลางจัตุรัสของหมู่บ้าน ‘บงเกอซี’ ชุมชนใต้พิภพที่ถูกฝังอยู่ในโพรงถ้ำขนาดยักษ์ที่กาลเวลาก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว ร่างโฮโลแกรมของปัญญาประดิษฐ์ผู้เป็นทั้งผู้ดูแล นักประวัติศาสตร์ และนักเล่านิทานประจำชุมชน กำลังฉายภาพที่ไม่มีใครในยุคนี้เคยเห็นด้วยตาตนเอง ภาพมายาที่งดงามจนเกินจริงของโลกที่สาบสูญ
ภาพของทุ่งหญ้าสีเขียวมรกตที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ปลายยอดอ่อนของมันเอนไหวตามแรงลมที่มองไม่เห็น ภายใต้สิ่งที่เธอเรียกว่า ‘ท้องฟ้า’ ผืนผ้าใบสีครามกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด แต่งแต้มด้วยก้อนเมฆสีขาวนุ่มฟูซึ่งลอยละล่องอย่างอิสระเสรี เสียงสังเคราะห์ที่อบอุ่นและนุ่มนวลของสเตลล่าเอ่ยขึ้น ก้องกังวานไปทั่วจัตุรัสที่เงียบงัน “และบนนั้น... บนโลกเบื้องบน แสงแดดจะมอบความอบอุ่นที่แท้จริง ไม่ใช่ความร้อนจากหลอดไฟความร้อนของเรา สายลมจะพัดพากลิ่นหอมของดอกไม้และกลิ่นไอดินหลังฝนตกชุ่มชื้น ไม่ใช่กลิ่นอับชื้นของหินและตะไคร่น้ำ ดวงดาวยามค่ำคืนจะส่องแสงพร่างพราวจริงๆ สุกสกาวกว่าหลอดไฟชีวภาพใดๆ ที่พวกเราเคยรู้จัก”
เด็กๆ และผู้ใหญ่หลายสิบชีวิตนั่งล้อมวงบนพื้นหินเย็นเฉียบ ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปยังภาพมายาด้วยความหลงใหลและสงสัยใคร่รู้ มันคือพิธีกรรมประจำสัปดาห์ คือช่วงเวลาเดียวที่พวกเขาจะได้หลีกหนีจากเพดานหินที่กดทับอยู่เหนือศีรษะเสมอมา แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ มันก็เป็นเพียงนิทานก่อนนอนสำหรับผู้ใหญ่ เป็นเรื่องเล่าที่งดงามแต่ก็ห่างไกลจากความเป็นจริง
ทว่าในหมู่ผู้ฟังทั้งหมด ไม่มีใครดื่มด่ำกับเรื่องเล่านี้ได้เท่ากับ ‘เอเดน’ เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีเจ้าของเรือนผมสีทองสว่างซึ่งตัดกับความมืดสลัวของโถงถ้ำใต้ดินแห่งนี้อย่างชัดเจน ดวงตาของเขาสีฟ้าใสเบิกกว้าง สะท้อนภาพของท้องฟ้าจำลองราวกับจะดูดกลืนทุกอณูของมันเข้าไปเก็บไว้ในจิตวิญญาณ เขาไม่ได้แค่มอง แต่เขากำลัง ‘รู้สึก’ ถึงมัน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแสงแดดที่เขาไม่เคยรู้จัก ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่เขาไม่เคยเห็น ผ้าพันคอสีแดงสดซึ่งเป็นของดูต่างหน้าชิ้นเดียวจากพ่อที่จากไปแล้วของเขา พาดอยู่บนบ่าอย่างหลวมๆ ราวกับเปลวเพลิงแห่งความหวังที่ไม่มีวันมอดดับในใจ
“เฮ้ เอเดน ถ้าแกจะจ้องอีกนิดเดียว โฮโลแกรมนั่นคงทะลุเป็นรูเพราะความฝันของแกแน่ๆ” เสียงที่ดังขึ้นข้างๆ มาจาก ‘ดีแลน’ เพื่อนสนิทที่สุดของเขา เด็กหนุ่มผิวสีแทนเจ้าของผมสีส้มอ่อนกำลังยิ้มกวนๆ ตามแบบฉบับ แต่ดวงตาของเขาก็ไม่ได้ละไปจากภาพตรงหน้าเช่นกัน แม้จะชอบทำเป็นเล่น แต่เขาก็เป็นอีกคนที่หลงใหลในเรื่องเล่าของสเตลล่าไม่แพ้กัน
เอเดนไม่ได้หันไปมอง เขายังคงจมอยู่ในภวังค์ “แกไม่รู้สึกเหรอดิล... ความรู้สึกที่มันเรียกหาเราน่ะ เหมือนมีอะไรบางอย่างบนนั้นกำลังรอเราอยู่”
“อืม... ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าสตูเห็ดสูตรเด็ดของเอวากำลังเรียกหาฉันมากกว่า” ดีแลนยักไหล่ แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็น ‘เอวา’ ที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เธอไม่ได้มองภาพโฮโลแกรม แต่กลับมองมาที่เอเดนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและห่วงใย เด็กสาวในชุดเดรสสีขาวเรียบๆ กับผ้าคลุมสีน้ำตาลดูบอบบาง แต่แววตาของเธอกลับมีความมุ่งมั่นซ่อนอยู่ เธอขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อเห็นดีแลนมองมา ก่อนจะแสร้งทำเป็นสนใจภาพทุ่งหญ้าตรงหน้าแทน
เมื่อเรื่องเล่าของสเตลล่าจบลง ภาพมายาก็สลายไป เหลือเพียงแสงสีฟ้าอ่อนที่ใจกลางจัตุรัสที่ค่อยๆ หรี่แสงลง ผู้คนเริ่มทยอยลุกขึ้นและแยกย้ายกลับไปยังบ้านที่ถูกฝังเข้าไปในผนังถ้ำขนาดมหึมาแห่งนี้ แสงไฟจากตะเกียงชีวภาพและหลอดไฟแอลอีดีประหยัดพลังงานเริ่มสว่างขึ้นตามทางเดินและบ้านเรือน ทำให้บงเกอซีดูเหมือนกลุ่มดาวใต้พิภพ แต่กลุ่มของเอเดนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ความวุ่นวายรอบตัวจางหายไป
“สักวันหนึ่ง... ฉันจะไปที่นั่นให้ได้” เอเดนพูดขึ้นมาลอยๆ แต่หนักแน่นยิ่งกว่าหินผาที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่
‘ลีโอ’ พี่ใหญ่ของกลุ่มที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านหลัง ถอนหายใจเบาๆ เด็กหนุ่มวัยยี่สิบผู้มีร่างกายกำยำและดูเป็นผู้ใหญ่กว่าใครเพื่อน วางมือใหญ่หนักๆ ลงบนไหล่ของเอเดน “มันเป็นแค่เรื่องเล่าที่สวยงาม เอเดน แค่นั้นเอง ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนนั้นมาหลายร้อยปีแล้ว เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างบนยังมีอากาศให้หายใจอยู่หรือเปล่า”
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริงนี่ครับพี่ลีโอ” เอเดนสวนกลับ ดวงตาของเขายังคงทอประกายไม่ยอมแพ้ “สเตลล่าคือเทคโนโลยียุคเก่า ข้อมูลของเธอย่อมมาจากความเป็นจริง ไม่ใช่จินตนาการ”
ข้างๆ กันนั้น ‘ไอ’ กำลังก้มหน้าขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนแผ่นชนวนดิจิทัลขนาดเล็กที่เธอพกติดตัวเสมอ เด็กสาวผมดำยาวผู้เงียบขรึมและลึกลับราวกับเงามืดที่ลึกที่สุดในถ้ำ เธอไม่ค่อยพูด แต่ทุกการกระทำของเธอมักจะมีความหมายเสมอ เธอเงยหน้าขึ้น สบตากับเอเดนแวบหนึ่ง ดวงตาสีดำสนิทของเธอดูราวกับจะหยั่งถึงความคิดของเขา ก่อนจะก้มหน้าลงเขียนต่อ ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่เบื้องหลังม่านแห่งความเงียบนั้น
คืนนั้น กลุ่มเพื่อนทั้งห้านัดเจอกันที่จุดนัดพบประจำของพวกเขา มันคือระเบียงหินที่ยื่นออกมาจากผนังถ้ำในส่วนที่พักอาศัยชั้นบนสุด เป็นมุมอับที่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยจะมาวุ่นวาย จากตรงนี้ พวกเขาสามารถมองเห็นภาพรวมของหมู่บ้านบงเกอซีทั้งหมด แสงไฟระยิบระยับเบื้องล่างตัดกับความมืดมิดของอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่ทอดตัวยาวออกไปจากหมู่บ้าน—เส้นทางสู่โลกภายนอกที่ไม่มีใครกล้าเดินทางไปไกลนัก มันคือเขตแดนที่กั้นระหว่างความคุ้นเคยกับสิ่งที่ไม่รู้จัก
เอเดนยืนพิงราวกั้นหิน ปล่อยให้สายลมเย็นๆ ที่ลอดผ่านอุโมงค์มาปะทะใบหน้า เขาทอดสายตาไปยังความมืดมิดอันไกลโพ้นนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“ฉันจะไป” เอเดนประกาศกร้าวขึ้นมา ทำลายความเงียบ “ฉันจะออกเดินทางตามหาโลกเบื้องบน”
คำพูดของเขาเหมือนก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำนิ่ง ทุกคนหยุดชะงัก ดีแลนที่กำลังจะปล่อยมุกตลกถึงกับพูดไม่ออก เอวาเบิกตากว้างด้วยความตกใจและหวาดหวั่น ส่วนลีโอก็ขมวดคิ้วแน่นจนเป็นปม
“เอเดน นี่แกเอาจริงเหรอ” ดีแลนถามเสียงอ่อย “นี่มันไม่ใช่การแอบไปสำรวจอุโมงค์เก่าหลังหมู่บ้านนะเว้ย นี่มันคือการออกไปข้างนอก... ตลอดกาลเลยนะ”
“ฉันรู้” เอเดนหันกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนๆ ทุกคน “ฉันรู้ว่ามันอันตราย ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ แต่ฉันทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว! ฉันทนตื่นขึ้นมาเจอแต่เพดานหินทุกวันไม่ไหวแล้ว! เรื่องเล่าของสเตลล่า... มันไม่ใช่แค่นิทานสำหรับฉัน มันคือความจริงที่ฉันต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมที่หวีดหวิวราวกับเสียงกระซิบจากโลกที่ถูกลืม เอวาเป็นคนแรกที่ขยับเข้ามาหาเขา น้ำตาคลอ “ถ้า... ถ้าเธอจะไปจริงๆ ฉันก็จะไปด้วย!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะให้ดูเข้มแข็ง แต่ก็ยังสั่นเครือเล็กน้อย “ยังไง... ยังไงฉันก็ทำอาหารเก่งนะ! จะได้ไม่มีใครต้องหิวระหว่างทาง!” การตัดสินใจของเธอไม่ใช่แค่การตามคนที่แอบชอบ แต่เป็นการเลือกเส้นทางของตัวเองเป็นครั้งแรก เพื่อหนีจากเงาของพ่อผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
ดีแลนมองหน้าเอเดน สลับกับเอวา แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ให้ตายสิ! นี่มันแผนฆ่าตัวตายหมู่ชัดๆ แต่ถ้าจะไปทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ แล้วไม่มีอัจฉริยะเรื่องมุกแป้กอย่างฉันไปด้วยได้ยังไงกัน” เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอย “ถือซะว่าฉันไปเป็นเพื่อนก็แล้วกัน ใครจะรู้ ข้างบนนั้นอาจจะมีสาวๆ สวยกว่าที่นี่ก็ได้” แม้จะพูดติดตลก แต่แววตาของเขากลับจริงจังและเปี่ยมด้วยความภักดีที่มีให้เพื่อนรักเสมอมา
ตอนนี้ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ลีโอ เขาคือคนที่โตที่สุดและมีเหตุผลที่สุด การตัดสินใจของเขาคือตัวแปรสำคัญที่สุดในสมการนี้
ลีโอกอดอก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเอเดนราวกับจะค้นหาความจริง “นายเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ข้างนอก’ จริงๆ ใช่ไหมเอเดน เรากำลังจะทำในสิ่งที่ขัดต่อกฎทุกข้อของหมู่บ้าน เรากำลังจะทิ้งทุกอย่างที่เรารู้จัก ทิ้งความปลอดภัย เพื่อเดินเข้าไปในความมืดที่ไม่มีแผนที่ ไม่มีจุดหมาย ไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะรอดชีวิตกลับมาได้”
“ผมเข้าใจ” เอเดนตอบเสียงหนักแน่นไม่สั่นคลอน “แต่การใช้ชีวิตทั้งชีวิตโดยที่ไม่เคยรู้ว่าท้องฟ้าหน้าตาเป็นยังไง สำหรับผม... นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็น”
ลีโอนิ่งไปนาน เขาเห็นความฝันอันบริสุทธิ์และแรงกล้าในแววตาของเด็กหนุ่มที่เขามองเหมือนน้องชายแท้ๆ เขาไม่ใช่คนช่างฝันแบบเอเดน แต่เขาคือผู้พิทักษ์ และหน้าที่ของผู้พิทักษ์คือการปกป้องคนที่ตนเองรัก แม้จะต้องเดินตามความฝันที่บ้าบิ่นที่สุดของพวกเขาก็ตาม “ก็ได้” เขาพูดในที่สุด เสียงทุ้มของเขาทำให้ทุกคนใจชื้นขึ้นมา “แต่มีข้อแม้... เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด รวบรวมเสบียงและอุปกรณ์ให้มากพอสำหรับหนึ่งเดือน และทุกคนต้องฟังฉันในสถานการณ์คับขัน เข้าใจไหม?”
เอเดนยิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรกในคืนนี้ “ขอบคุณครับพี่ลีโอ! ผมสัญญา!”
เหลือเพียงคนเดียวที่ยังไม่แสดงความเห็น ทุกคนหันไปมองไอที่ยืนพิงผนังถ้ำอยู่ในเงาจางๆ เธอยังคงสงบนิ่งเหมือนเคย ราวกับว่าบทสนทนาที่ดุเดือดเมื่อครู่ไม่ได้กระทบกระเทือนเธอเลยแม้แต่น้อย
เอเดนเดินเข้าไปหาเธออย่างลังเลเล็กน้อย ความรู้สึกประหม่าเกิดขึ้นอย่างประหลาดทุกครั้งที่เขาอยู่ใกล้เธอ “ไอ... เธอ...”
เธอยกแผ่นชนวนขึ้นมาให้ทุกคนดู บนนั้นไม่มีภาพวาดที่ซับซ้อน ไม่มีประโยคยาวๆ มีเพียงตัวอักษรเรียบง่ายสองพยางค์ที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด
“ไปด้วย”
เพียงเท่านั้น การตัดสินใจก็เป็นเอกฉันท์ ทั้งห้าคนมองหน้ากัน แววตาของแต่ละคนฉายความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ทั้งความตื่นเต้น ความกลัว ความหวัง และความมุ่งมั่น พวกเขากำลังจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครในบงเกอซีกล้าทำมาหลายชั่วอายุคน พวกเขากำลังจะละทิ้งโลกใต้ดินที่เปรียบเสมือนกรงขังอันปลอดภัย เพื่อออกเดินทางตามหาเสียงกระซิบจากดวงดาว ตามหาตำนานที่เรียกว่า ‘โลกเบื้องบน’
เอเดนหันกลับไปมองอุโมงค์มืดทมิฬอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้รู้สึกถึงความว่างเปล่าหรือความน่ากลัว เขากลับรู้สึกถึงความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ ใต้พิภพที่หลงลืมแสงตะวันนี้เอง