ตั้งแต่ที่ยาคอปก้าวเท้าเข้ามาอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เวลาก็ผ่านมาได้ 2 สัปดาห์แล้ว เด็กหนุ่มเริ่มพอที่จะคุ้นเคยกับตารางของชีวิตประจำวันของที่นี่แล้ว
ที่นี่คือสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าขนาดไม่ใหญ่นัก มีเด็กๆ ทั้งหมดรวมยาคอปด้วยจะเป็น 20 คน และมีคุณครูที่คอยดูแลเด็กๆ ทั้งหมด 8 คน
ตารางเวลาในทุกๆ 08.00 นาฬิกา คุณครูมาร์ทา ครูใหญ่ผู้ควบคุมดูแลที่นี่จะมาปลุกพวกเด็กๆ ให้ตื่นนอน หลังจากนั้นจะเป็นเวลาสำหรับจัดการทำธุระส่วนตัวหลังตื่นนอน ก่อนที่จะเริ่มรับประทานอาหารเช้าในเวลา 09.00 นาฬิกา และทุกอย่างจะเสร็จสิ้นลงในเวลา 09.30 นาฬิกา
หลังจากมื้อเช้านั้นจะเป็นเวลาของการเรียนรู้ภายในห้องเรียน คุณครูที่เข้ามาสอนในแต่ละวันจะไม่ซ้ำกัน หลังจากนั้นในเวลา 12.00 นาฬิกา จะเป็นช่วงเวลาของการรับประทานอาหารกลางวัน หลังจากมื้อกลางวันก็จะเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้ในห้องอีกครั้ง หรือในบางทีพวกเด็กๆ ก็มักจะได้รับอนุญาตให้ออกมาวิ่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าสถานรับเลี้ยง
จนกระทั่งถึงเวลา 18.00 นาฬิกา ที่เป็นเวลาของการรับประทานอาหารเย็น และหลังจากมื้อเย็นจบลงก็จะเป็นเวลาส่วนตัวของพวกเด็กๆ จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 นาฬิกา ก็จะเป็นเวลาที่จะต้องปิดไฟเข้านอน
ในช่วงเวลาของการเรียนรู้ในห้องเรียน คุณครูที่อยู่ที่นี่จะผลัดกันสอนวิชาพื้นฐานต่างๆ ให้กับพวกเด็กๆ และที่สำคัญ พวกเขามีหน้าที่ลบล้างแนวคิดที่พรรคนาซีเคยปลูกฝังให้กับเด็กๆ และปลูกฝังแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยและการให้ความเคารพในสิทธิและศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เพราะยาคอปและพวกเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ คือผลผลิตที่เกิดจากความบิดเบี้ยวของสังคมภายใต้การกำกับของพรรคนาซี การจะปล่อยให้กลับไปดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายในหลายๆ ความหมาย
และพวกคุณครูไม่สามารถที่จะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นได้ เพราะการที่จะปล่อยพวกเด็กๆ ให้ครอบครัวอุปถัมภ์รับไปเลี้ยงนั้น พวกเขาต้องมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน ทั้งการจัดการกับความคิดที่บิดเบี้ยว การใช้ชีวิตประจำวัน การเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงมีความรู้พื้นฐานเสียก่อน
เวลาว่างๆ ยาคอปก็มักจะมองทอดสายตาออกไปยังภายนอกสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานที่ที่ผู้คนในกรุงเบอร์ลินใช้ชีวิตกันอย่างวุ่นวาย เด็กหนุ่มพึ่งจะมารู้ก็ตอนที่อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ว่ากรุงเบอร์ลินนั้นแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งตะวันตกถูกควบคุมด้วยฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก ส่วนฝั่งตะวันออกตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพโซเวียต
ยาคอปจินตนาการว่ากว่าที่กรุงเบอร์ลินจะมาเป็นแบบปัจจุบันได้ สถานที่แห่งนี้เคยผ่านสงครามอันแสนโหดร้ายมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน มีผู้คนมากมายที่ต้องสละชีวิตเพียงเพื่อปกป้องความทะเยอทะยานอันไร้สาระของพรรคนาซีเท่านั้น
และตัวของยาคอปเองก็เกือบที่จะเป็นหนึ่งในนั้น ถ้าหากว่าในตอนนั้นไม่ได้คุณฟรังค์ ลูกน้องของอากึนเทอร์ช่วยเอาไว้ เขาก็คงไม่ได้มานั่งทอดถอนหายใจมองดูความวุ่นวายของกรุงเบอร์ลินในตอนนี้เป็นแน่…
.
“ยาคอป มาช่วยครูยกหนังสือพวกนี้ไปหน่อยได้ไหมจ๊ะ?”
ในช่วงบ่ายหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว คุณครูมารี ได้ขอร้องให้ยาคอปช่วยยกกองหนังสือที่ทางฝ่ายสัมพันธมิตรหามาให้พวกเด็กๆ ไปไว้ที่ห้องอ่านหนังสือของสถานรับเลี้ยง
เธอผู้ที่สอนพวกเด็กๆ เกี่ยวกับวิชาประวัติศาสตร์และวรรณกรรมต่างๆ และทำหน้าที่เหมือนกับแม่บุญธรรมของพวกเด็กๆ เพราะเธอมักจะใจดีกับพวกเด็กๆ ที่นอนไม่หลับ เธอมักจะคอยอ่านหนังสือนิทานให้พวกเขาฟังอยู่บ่อยครั้ง
“ได้ครับ”
ยาคอปรับคำ ก่อนจะหอบหนังสือกองโตไปไว้ที่ห้องอ่านหนังสือ
เด็กหนุ่มมักจะถูกเรียกให้ช่วยงานพวกคุณครูอยู่บ่อยครั้ง เพราะสำหรับพวกเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเขาทุกคนจะมีอายุตั้งแต่ 8-12 ปี มีเพียงเขาคนเดียวที่มีอายุ 14 ย่าง 15 ปี
“วางตรงมุมนั้นได้เลยจ้ะ”
คุณครูมารีพูด พร้อมกับชี้ไปที่มุมห้อง
“โอ๊ะ!”
ยาคอปอุทานออกมาเบาๆ เพราะในขณะที่เขาวางหนังสือลงบนพื้น มันมีหนังสือเล่มหนึ่งหล่นลงมาจากด้านบน
และเมื่อเด็กหนุ่มหยิบมันขึ้นมาดูแล้ว บนหน้าปกก็มีภาพคนถือคบเพลิงอยู่หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง พร้อมกับตัวอักษรที่เป็นชื่อเรื่อง
‘กิลมันส์กับการผจญภัยสุดขอบโลก’
นั่นคือชื่อเรื่องของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งดึงดูดความสนใจของยาคอปเป็นอย่างมาก
“ยาคอปสนใจเรื่องนี้เหรอจ๊ะ?”
คุณครูมารีเดินเข้ามาถามยาคอป
“ครับ…มันน่าสนใจมากๆ เลย”
เด็กหนุ่มตอบกลับไป
เพราะยาคอปไม่ได้เกลียดการอ่านหนังสือ ในทางกลับกันค่อนข้างจะชอบมันด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าโลกของตัวอักษรนั้นช่างกว้างขวางและไร้ที่สิ้นสุด รวมถึงความรู้ที่ได้จากพวกมันนั้น เขาก็ยังคิดว่ามันไร้ขอบเขตจนเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการออกเสียด้วยซ้ำ
“งั้นยืมไปอ่านไหมจ๊ะ? ครูอนุญาต เพราะยังไงหนังสือในห้องนี้ก็มีไว้สำหรับเด็กๆ ทุกคนอยู่แล้ว”
คุณครูมารีพูดอนุญาต
“ขอบคุณครับ!”
ยาคอปพูดขอบคุณ พร้อมนัยน์ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
เคราะห์ดีที่ช่วงบ่ายของวันนั้นเป็นการปล่อยให้เด็กๆ ออกไปวิ่งเล่นกันที่สนามหญ้าของสถานรับเลี้ยง ยาคอปจึงมีเวลาเหลือเฟือในการที่จะใช้อ่านหนังสือเล่มที่ยืมมาจากห้องอ่านหนังสือ
เด็กหนุ่มขึ้นไปที่ห้องนอนรวม และขึ้นไปนอนบนเตียงของตัวเอง ก่อนจะเปิดหนังสืออ่านด้วยความตื่นเต้น
ภายในหนังสือเหมือนกับโลกใบใหม่ที่ยาคอปไม่เคยเห็นมาก่อน การผจญภัยตามหาขุมสมบัติที่หายไป ที่สุดแสนจะเร้าใจและน่าพิศวงของชายหนุ่มที่ชื่อกิลมันส์ ในประเทศลึกลับที่อยู่ในทวีปที่ไม่มีใครรู้จัก อีกทั้งยังมีความระทึกขวัญที่ตัวของเขาต้องเผชิญกับการต่อสู้กับพวกคนป่าไร้อารยะ โดนจับเป็นเชลย และหลบหนีออกมาได้ด้วยความช่วยเหลือของนักสำรวจสาวที่ชื่อเอ็มม่า
พวกเขาทั้งคู่ฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ทั้งกับดัก การโจมตีจากพวกคนป่าที่ตามไล่ล่าพวกเขาอีกครั้ง จนในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้ค้นพบขุมสมบัติที่หายไปของอาณาจักรโบราณที่ถูกลบไปจากหน้าประวัติศาสตร์
พวกเขาทั้งคู่กลับมาพร้อมกับขุมสมบัตินั้น และจากการที่ผจญภัยผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน ทำให้พวกเขาทั้งคู่ตกหลุมรักกัน และได้แต่งงานอย่างมีความสุข
ยาคอปปิดหนังสือลงด้วยความตื่นเต้นที่ทะยานมาจนถึงขีดสุด นี่อาจจะเป็นหนังสือที่สนุกที่สุดในชีวิตของเขาเท่าที่เคยอ่านมาเลย แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่เข้าใจจากการอ่านหนังสือนั้นก็คือ
‘การตกหลุมรัก’
ยาคอปสงสัยว่าการตกหลุมรักนั้นรู้สึกอย่างไร เพราะในตอนเด็ก เวลาเขาถามพ่อกับแม่ทีไร พวกท่านมักจะตอบกลับมาว่า
“ความรักระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่แสนวิเศษ การตกหลุมรักใครสักคนนั้นต้องใช้เวลา และเมื่อถึงเวลาลูกก็จะรู้เอง”
จนตัวของเด็กหนุ่มต้องนิ่วหน้ากับคำตอบนั้นอยู่บ่อยครั้ง เพราะที่โรงเรียนเขาก็มีเด็กผู้หญิงอยู่มากมาย แต่เขาไม่เห็นรู้สึกอะไรกับพวกเธอเลยแม้แต่นิดเดียว จะมีเพียงก็แต่ความหงุดหงิดที่พวกเธอมักจะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวจนน่ารำคาญมากกว่า
แต่ยาคอปก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้เสียก่อน เพราะเมื่อแหงนหน้ามองนาฬิกาก็ใกล้เวลาที่จะต้องลงไปรับประทานอาหารเย็นแล้ว
ยาคอปจึงเก็บหนังสือเพื่อนำเอาไปคืนห้องอ่านหนังสือ และลงไปที่ด้านล่างของสถานรับเลี้ยง เพื่อเตรียมตัวรับประทานอาหารเย็นพร้อมเพื่อนๆ
.
หลังจากวันที่ยาคอปได้เปิดโลกแห่งการอ่านหนังสือนวนิยายแล้ว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งเมื่อมีโอกาสเหมาะๆ เด็กหนุ่มก็มักจะหยิบเอาหนังสือจากห้องอ่านหนังสือมาอ่านเล่นอยู่เสมอ
แต่หนังสือที่ห้องอ่านหนังสือนั้นไม่ได้มีเพียงนวนิยายหรือวรรณกรรมเท่านั้น มันยังมีหนังสือปรัชญาที่เข้าใจยาก หนังสือการเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์โลกที่ไม่เคยได้อ่าน หนังสือภาษาต่างๆ ที่ยาคอปได้ลองฝึกออกเสียงและฝึกเรียบเรียงประโยค
และเรื่องภายในห้องเรียนที่ยาคอปไม่ได้ทิ้งมันไปไหน เด็กหนุ่มก็ทำมันออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเหนือกว่าพวกเด็กๆ ทุกคน ในทุกๆ การสอบวัดความรู้พื้นฐาน เขามักจะได้คะแนนเต็มเสมอ ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่คะแนนจะน้อยกว่า 100 เต็ม
อาจจะเพราะความที่ตัวของยาคอปเป็นคนหัวดี หัวไว จดจำทุกบทเรียนได้อย่างง่ายดาย ราวกับโลกแห่งการเรียนรู้เป็นเพียงสนามเด็กเล่นสำหรับเขา จนทำให้กลายเป็นคนที่ถูกพวกคุณครูในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเห็นพ้องต้องกันว่า
เขาคือ ‘อัจฉริยะ’
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นต่างมีเพื่อนสนิทกันเป็นกลุ่มๆ แต่สำหรับยาคอปนั้น เขาไม่มีเพื่อนเลย แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจตรงนั้นมากนัก เพราะเขาคิดว่าการมีเพื่อนคือความน่ารำคาญที่รบกวนเวลาอ่านหนังสือของเขาเท่านั้น
เพราะอย่างนั้นแล้ว ทุกๆ ครั้งที่มีเวลาในการทำสิ่งต่างๆ อย่างอิสระ ในขณะที่เด็กๆ คนอื่นๆ ออกไปเล่นหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งกัน ยาคอปมักจะขลุกตัวอยู่ในห้องอ่านหนังสือคนเดียวอยู่เสมอๆ
จนในระยะหลังๆ เด็กหนุ่มได้รับฉายามาอีกหนึ่งอย่าง ที่พวกเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าใช้เรียกเขา
‘หนอนหนังสือผู้โดดเดี่ยว’
แต่ยาคอปนั้นไม่ยินดียินร้ายกับฉายาเหล่านั้น ทั้งที่คุณครูหรือพวกเด็กๆ ใช้เรียกเขา สิ่งที่เขาปรารถนาคือ การอ่านหนังสือให้ได้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะอ่านได้
.
20 พฤศจิกายน 1945
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ในวันนี้ยาคอปพึ่งได้รับของขวัญจากการที่สอบได้อันดับหนึ่งของสถานรับเลี้ยงครั้งที่ 5 เป็นหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งมันเป็นหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนที่เขาไม่เคยอ่านมาก่อน ซึ่งชื่อเรื่องของมันคือ
‘คดีปริศนากับฆาตกรไร้เงา’
นั่นทำให้ยาคอปเปิดโลกแห่งการอ่านของเขาอีกครั้ง
หนังสือบอกเล่าถึงคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นภายในเมือง หน่วยตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมต้องลงพื้นที่สืบหาตัวผู้ร้าย แต่ฝ่ายตรงข้ามนั้นถูกขนานนามว่า ‘จอมโจรไร้เงา’ เพราะไม่เคยทิ้งร่องรอยอะไรเลยในการก่อคดีแต่ละครั้ง
ยาคอปค้นพบว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เขาต้องใช้มันสมองในการขบคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเรื่องตามความคิดของตัวละคร และเขาชอบมันมาก
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงเล่มแรกที่ถูกปล่อยออกมาวางขาย มันตัดจบตรงที่ทางหน่วยสืบสวนอาชญากรรมรู้ถึงเบาะแสของคนร้ายที่จะนำไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่าในเล่มที่สอง และเล่มที่สองที่ว่าซึ่งเป็นเล่มจบจะตามออกมาในเดือนหน้า ซึ่งก็คือเดือนธันวาคม
ยาคอปอาศัยว่าเดือนธันวาคมเป็นเดือนที่มีเทศกาลคริสต์มาส และเป็นวันเกิดของเขา และกฎของสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ ถ้าเขาจำไม่ผิด คุณครูมาร์ทาบอกว่าเด็กๆ สามารถขอของขวัญจากคุณซานต้าได้ 1 อย่าง
แม้ยาคอปจะรู้มานานแล้วว่าคุณซานต้านั้นไม่มีอยู่จริง แต่ก็จะขอใช้โอกาสนี้ในการขอของขวัญจากคุณซานต้า(ปลอม)เป็นหนังสือเล่มที่สองของเรื่องที่เขาพึ่งอ่านจบไป
และจากทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่เด็กหนุ่มทำมาโดยตลอด ทั้งการตั้งใจศึกษาเล่าเรียน การอ่านหนังสือซึ่งเป็นความรู้ใหม่ๆ การเปิดรับแนวคิดที่เป็นปกติของสังคมประชาธิปไตย การช่วยเหลือพวกคุณครูในการดูแลเด็กๆ คนอื่นๆ
นั่นทำให้ในวันที่ 1 ธันวาคม 1945 หลังจาก 6 เดือนที่ยาคอปก้าวเท้าเข้ามาอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ เขาก็ถูกประเมินจากคุณครูมาร์ทาว่า
‘พร้อมสำหรับการถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวอุปถัมภ์’
ยาคอป ฮอฟมัน อดีตเด็กหนุ่มผู้สูญเสียทุกอย่างไปจากไฟสงคราม บัดนี้กำลังจะได้รับโอกาสแรกในการถูกอุปถัมภ์โดยครอบครัวที่ใจดีและเป็นมิตรกับเขา
และเมื่อนั้นเอง ที่พระผู้เป็นเจ้าได้พัดพาเอาแสงแดดอันแสนอ่อนโยนเข้ามาสู่ชีวิตของยาคอป เด็กหนุ่มผู้ที่ปฏิญาณจะนับถือในตัวของพระองค์อย่างแรงกล้า และใคร่รู้ในแผนการที่พระองค์ได้เตรียมเอาไว้สำหรับเขา