20 มิถุนายน 1944, คาบสมุทรโคทองแทง, ฝรั่งเศส
กองทัพเยอรมันถูกกองทัพสหรัฐกดดันให้ถอยร่นออกจากแนวรับของตัวเอง ถอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้ว เพราะที่มั่นของพวกเขาในตอนนี้คือเมืองแชร์บวร์ก ที่อยู่สุดปลายขอบของคาบสมุทรโคทองแทง
ทหารเยอรมันบางหน่วยยอมจำนนต่อทหารสหรัฐไปแล้ว ส่วนหน่วยของโทมัสไม่ได้โชคดีขนาดนั้น หน่วยเขายังคงต้องต่อสู้ต่อไปอย่างไร้ความหวัง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาจะหลุดพ้นจากความโหดร้ายตรงนี้ไปเสียที
.
‘ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!’
เสียงระเบิดของการระดมยิงปืนใหญ่ของฝ่ายสหรัฐใส่ที่มั่นของฝ่ายเยอรมันที่ติดอยู่ในคาบสมุทรโคทองแทง พวกมันชวนให้ทหารเยอรมันทุกคนประสาทเสียทหารบางนายกลายเป็นบ้าแล้ววิ่งออกรับห่ากระสุนปืนใหญ่พวกนั้นเลยก็มี
“พวกบ้านั่นจะยิงไปถึงไหนกัน? กระสุนพวกมันไม่หมดบ้างเหรอ?”
ทหารเยอรมันที่หลบอยู่ในหลุมบุคคลพูดกับเพื่อนทหารที่อยู่ในหลุมเดียวกัน
“นั่นน่ะสิ ถ้าแบ่งเอามาให้ฝ่ายเราบ้างก็คงจะสู้ได้อย่างสูสีอยู่หรอก…”
เพื่อนทหารตอบกลับมา ในขณะที่กำลังก้มหมอบต่ำลงติดดินให้ได้มากที่สุด
“พวกเราสิ้นหวังแล้ว เรามารบเพื่ออะไรกันนะ…”
ทหารคนแรกเงยหน้าขึ้นมาดูเมื่อพบว่าเสียงระเบิดเงียบไปแล้ว
พวกอเมริกันระดมยิงใส่ที่มั่นพวกเขาแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยรุกใส่พวกเขาเลยสักครั้ง นับตั้งแต่ตั้งรับอยู่ในเมืองแชร์บวร์กแห่งนี้ ราวกับกำลังจะกดดันพวกเขาให้ยอมแพ้โดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้ออย่างไรอย่างนั้น
สถานการณ์ของกองทัพเยอรมันในเมืองนี้นั้นเรียกได้ว่าสิ้นหวังแบบสุดๆ เบื้องหน้ามีกองทัพสหรัฐ ส่วนเบื้องหลังเป็นผืนน้ำอันกว้างใหญ่ จะเรียกพวกเขาว่าหมาจนตรอกก็คงจะไม่ผิดนัก
เสบียงอาหารนั้นขาดแคลนอย่างหนัก ทหารหลายนายต้องอดทนรบทั้งๆ ที่ท้องหิว หรือแย่กว่านั้นสำหรับคนที่บาดเจ็บ หยูกยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการรักษาคนเจ็บนั้นแทบไม่เหลือเลย จนบาดแผลของพวกเขาติดเชื้อและลุกลามอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างนั้นดูสิ้นหวังไปหมด ทุกๆ วันเริ่มมีทหารหนีทัพหลายนาย จนกองกำลังสำหรับตั้งรับการรบนั้นไม่เพียงพอ
ทางกองทัพอากาศเยอรมันพยายามส่งเสบียงให้กับทหารที่ถูกล้อม แต่เสบียงเหล่านั้นที่ติดกับร่มส่งลงมาจากเครื่องบินกลับถูกลมพัดให้ไปตกระหว่างพื้นที่ระหว่างทั้งสองฝ่าย
มีทหารเยอรมันบางนายพยายามเสี่ยงตายออกไปนำเสบียงกลับมา แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาคือลูกกระสุนของฝ่ายสหรัฐ หรือบางนายก็กลายเป็นศพไปเลยก็มี
เพราะอย่างนั้นแล้ว จึงไม่มีทหารเยอรมันหน้าไหนกล้าที่จะเสี่ยงชีวิตออกไปเอาเสบียงอีกเลยแม้แต่คนเดียว
.
“ฉันหิวจนไส้กิ่วแล้วเนี่ย เมื่อไหร่พวกเราจะได้กินอาหารร้อนๆ กันนะ ฉันคิดถึงซุปมันฝรั่งที่ภรรยาของฉันทำให้ชะมัด มันดีกว่าการที่ต้องมาอยู่กลางดินกินกลางทรายแบบนี้เสียอีก”
ทหารเยอรมันนายหนึ่งในกองพันของโทมัสพูดกับเพื่อนของตนในขณะที่เฝ้ายามรักษาการณ์หน้าที่ตั้งของกองพัน
“นั่นน่ะสิ…เรามารบกันทำไมนะ? ฉันเคยเชื่อว่าเยอรมันจะยิ่งใหญ่เหนือโลกตอนที่เรายึดฝรั่งเศสได้ แต่ตอนนี้นอกจากเราจะเสียดินแดนไปแล้ว เรายังเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเพราะขาดอาหารอีก…”
ทหารอีกนายพูดขึ้น
“พวกคุณหิวใช่ไหม?”
โทมัสโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์ของกองพัน
“ขอไม่ปฏิเสธความจริงครับท่าน! พวกเราไม่ได้ทานอาหารมา 2 วันแล้วครับ!”
ทหารคนแรกพูดขึ้นอย่างหนักแน่น เพราะถ้าหากยังคงหิวแบบนี้อยู่ต่อไป อย่าว่าแรงจะรบเลย แรงจะจับปืนยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
“เอานี่ไปสิ มันอาจจะมีนิดหน่อย แต่ก็น่าจะพอประทังความหิวของพวกคุณได้”
โทมัสยื่นขนมปังสองแผ่น พร้อมกับเนื้อตากแห้งสองชิ้นให้ทหารสองนายนั้น
““!!””
ทหารสองนายนั้นรีบรับไปด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบสวาปามพวกมันเข้าไปจนหมด
เพียงแค่ขนมปังกับเนื้อตากแห้งชิ้นเล็กๆ คงไม่ทำให้พวกเขาอิ่มอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยมันก็เยียวยาท้องไส้ที่กำลังโหยหาอาหาร และต่อชีวิตพวกเขาไปได้อีกวันหนึ่ง
“ทำหน้าที่ดีๆ ล่ะ มีอะไรก็เรียกผมได้เสมอ”
โทมัสพูดกับทหารยามสองนายนั้น เขาพึ่งขึ้นรับตำแหน่งผู้บังคับกองพัน เพราะผู้บังคับกองพันคนก่อนถูกสังหารจากกระสุนปืนใหญ่ที่ดันตรงใส่ตำแหน่งของเขาในขณะที่กำลังหลบอยู่ในบังเกอร์หลบภัย และมันถล่มทับเขาจนเสียชีวิตคาที่
และโทมัสเป็นเพียงคนเดียวที่มียศสูงมากพอที่จะสามารถเป็นผู้บังคับกองพันได้ในขณะนี้
““ครับท่าน!!””
ทหารยามสองนายขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาโชคดีที่ได้ผู้บังคับกองพันที่เป็นคนดีอย่างโทมัส และโชคดีที่ได้อาหารมาประทังชีวิตในคืนนี้ แตกต่างจากเพื่อนทหารอีกหลายๆ นายที่กำลังนอนไส้กิ่วอยู่ในหลุมบุคคล
.
21 มิถุนายน 1944
โทมัสเข้าไปที่กองบัญชาการของกองพล เพื่อร่วมการประชุมการรับมือกับพวกสหรัฐ ที่แม้จะรู้ว่ามันไม่หวังในการชนะ แต่ถ้าหากลากพวกเขาให้ล่มจมไปพร้อมกันกับกองทัพเยอรมันที่ติดอยู่ในที่นี้ มันก็นับว่าคุ้มค่าอย่างถึงที่สุด
โทมัสได้รับทราบเรื่องจากผู้บังคับบัญชาว่ามีการยื่นข้อเสนอให้กับทางกองทัพเยอรมันว่าควรยอมแพ้เพื่อป้องกันการสูญเสียเลือดเนื้อของทหารทั้งสองฝ่าย ข้อเสนอนี้คือทางรอดเดียวของกองทัพเยอรมันในตอนนี้
แต่ทว่าทางเบื้องบนของกองทัพเยอรมันนั้นหยิ่งทระนงจนเกินกว่าที่จะยอมแพ้กับข้าศึกโดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้ พวกเขาจึงปฏิเสธข้อเสนอนั้นแทบจะในทันที
และนอกจากนั้น ทางกองบัญชาการยังได้ออกคำสั่งให้ทหารเยอรมันรักษาที่มั่นและสู้จนตัวตาย และสั่งให้ทหารช่างเยอรมันทำลายทุกอย่างที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะยึดเอาไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงท่าเรือ
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายจนราบคาบ จนเป็นที่แน่ใจแล้วว่าพวกสัมพันธมิตรจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากสิ่งของพวกนี้ไปอีกนาน
สิ่งนี้มันทำให้โทมัสหัวเสียเป็นอย่างมาก จนในขณะที่เขาเดินทางกลับกองพัน นายทหารหนุ่มถึงกับสบถออกมาอย่างเหลืออด
“กับแค่การจรดปากกาลงนามยอมแพ้มันยากนักหรือยังไงวะ! พวกมึงจะทำให้คนนับพันคนต้องตายเพียงเพราะความดื้อรั้นและหยิ่งทระนงของพวกมึงเนี่ยนะ? แม่งเอ้ย!”
แต่ด้วยความที่โทมัสเป็นเพียงแค่พันตรีคนหนึ่ง เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งกับการตัดสินใจของพวกเบื้องบนที่อยู่ในกองบัญชาการได้ คงทำได้เพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตกลับไปเจอหน้าภรรยาและลูกชาย เขาก็จะยอมทำมันโดยไร้เงื่อนไขใดๆ
และตอนเย็นของวันนั้นเองที่ปืนใหญ่ของฝ่ายสหรัฐถล่มโจมตีที่มั่นของฝ่ายเยอรมัน แต่ครั้งนี้มันหนักยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านๆ มาเป็นเท่าตัว
ทหารเยอรมันทุกนายรู้ดีว่าศึกที่จะตัดสินความเป็นความตายและชี้ชะตาของพวกเขาคงจะมาถึงในเร็วๆ นี้ และเป็นครั้งแรก ที่ทหารเยอรมันบางนายภาวนาว่าให้กองทัพเยอรมันนั้นพ่ายแพ้
เพราะขืนรบต่อไป พวกเขามีแต่เสียกับเสีย สู้ยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้เสียยังจะดีกว่า
.
22 มิถุนายน 1944
กองทัพน้อยสหรัฐที่ 7 เปิดฉากโจมตีที่มั่นของทหารเยอรมันในเมืองแชร์บวร์กด้วยการถล่มปูพรมด้วยปืนใหญ่ ก่อนที่ทหารราบและยานเกราะจะรุกฝ่าแนวออกตีเข้าปะทะกับแนวรับของฝ่ายเยอรมัน
ฝ่ายเยอรมันนั้นยังคงเหลือกำลังใจที่จะทำการรบอยู่ พวกเขาต่อสู้กับทหารสหรัฐอย่างกล้าหาญ พยายามรักษาที่มั่นเอาไว้อย่างสุดชีวิตตามคำสั่งของกองบัญชาการกองพล
ตามป้อมปืนใหญ่และอาคารสถานที่ต่างๆ ที่กลายเป็นซาก กองทัพเยอรมันใช้พวกมันให้เป็นประโยชน์ ด้วยการตั้งรังปืนกลเอาไว้คอยต้อนรับการมาเยือนของฝ่ายสหรัฐ และพวกมันถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อกองทัพสหรัฐบุกมา
การรบทวีคูณความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ จากการรบในรูปแบบเป็นกลยุทธ์ กลับกลายเป็นการรบแบบบ้านต่อบ้าน อาคารต่ออาคาร ตึกต่อตึก
ทหารเยอรมันจำนวนมากถูกสังหารหรือไม่ก็ตกเป็นเชลยศึกในระหว่างการต่อสู้ แต่ถึงกระนั้นกองบัญชาการของฝ่ายเยอรมันยังคงยืนยันที่จะให้ต่อสู้ต่อไปจนกว่าทหารเยอรมันคนสุดท้ายจะเสียชีวิต หรือกระสุนนัดสุดท้ายจะถูกยิงออกไป
ความพยายามในการดิ้นเฮือกสุดท้ายของกองทัพเยอรมันนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเหมือนกับหมาที่จนตรอก และพร้อมจะแว้งกัดทุกคนที่เข้าใกล้
จนทหารสหรัฐสูญเสียอย่างหนักจากการที่เป็นฝ่ายบุก แต่พวกเขามีกำลังเสริมที่มากกว่า จนบางทีอาจจะมากกว่ากระสุนของฝ่ายเยอรมันเสียอีก
นอกจากนั้นยังมีการรบนอกแบบของหน่วยคอมมานโดที่ 30 ของกองทัพอังกฤษเข้าร่วมการรบด้วย
พวกเขามีภารกิจในการยึดกองบัญชาการหน่วยข่าวกรองกองทัพเรือเยอรมัน และภารกิจรองคือยึดสถานีเรดาร์ของเยอรมัน
กองทัพเยอรมันที่รักษาการณ์ในพื้นที่นั้น พยายามต้านทานอย่างสุดความสามารถ มีการยิงปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างคอมมานโดอังกฤษและทหารเยอรมัน แต่ทหารเยอรมันก็ประสบกับความพ่ายแพ้ เนื่องจากการบุกของพวกคอมมานโดนั้นรวดเร็วจนเกินกว่าที่พวกเขาจะตั้งตัวทัน
ทหารเยอรมันจำนวนกว่า 600 นายตกเป็นเชลยศึก แต่นั่นก็ทำให้ทหารเยอรมันบางคนน้ำตาไหลด้วยความยินดี เพราะนั่นหมายถึงสงครามอันแสนโหดร้ายสำหรับพวกเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว
ในวันถัดๆ มา การบุกของกองทัพสหรัฐยังคงต่อเนื่องและรุนแรง จนกระทั่งกองพลทหารราบที่ 79 ของสหรัฐสามารถฝ่าแนวรับของฝ่ายเยอรมันไปถึงท่าเรือได้
เมื่อแนวรับสุดท้ายของกองทัพเยอรมันที่ท่าเรือถูกตีแตก ทหารเยอรมันจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ตามอาคาร เริ่มทยอยออกมาวางอาวุธและยอมจำนนต่อทหารสหรัฐ
นอกจากนั้นทหารสหรัฐจำนวนหนึ่งได้ฝ่าแนวรับของฝ่ายเยอรมัน และบุกถึงกองบัญชาการของฝ่ายเยอรมัน และจับกุมตัว พลโท คาร์ล วิลเฮล์ม ฟอน ชลีเบน ผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันในคาบสมุทรโคทองแทงได้สำเร็จ
เมื่อนั้นเองที่ทหารเยอรมันจำนวนมากที่ยังคงรอดชีวิตอยู่ได้เห็นว่าชีวิตของตนเองสำคัญกว่าการรบอันแสนโหดร้ายนี้ พวกเขาจึงทิ้งอาวุธและเดินเข้าหากองทัพสหรัฐแต่โดยดี
นั่นรวมไปถึงกองพันของโทมัสเองด้วยเช่นกัน แม้ตัวของเขาจะได้รับบาดเจ็บที่แขนด้านซ้ายจากสะเก็ดระเบิดของกระสุนปืนใหญ่จนเป็นแผลเหวอะหวะ แต่เขาก็ยังคงนำทหารในกองพันมายอมจำนนต่อทหารสหรัฐด้วยตัวเองอยู่ดี
“พวกเราขอยอมแพ้…พวกเรายอมแล้ว!!”
โทมัสตะโกนคุยกับทหารสหรัฐเป็นภาษาอังกฤษ มือข้างขวาของเขาถือกิ่งไม้ที่ผูกกับผ้าขาว เป็นสัญญาณว่าขอยอมจำนน เพื่อรักษาชีวิตของทหารทั้งหมด
“วางอาวุธของพวกแกลง! วางมันลง! ยกมือขึ้นเหนือหัว! แล้วเดินมาตรงนี้!!”
ทหารสหรัฐนายหนึ่งตะโกนกลับมา พร้อมกับประทับปืนขึ้นบนบ่า เผื่อว่าทหารเยอรมันจะเล่นอะไรตุกติก
แต่โทมัสไม่ทำแบบนั้น เขาตั้งใจที่จะยอมแพ้จริงๆ เขายกมือขึ้นเหนือศีรษะเท่าที่จะยกไหว ก่อนจะเดินนำทหารในกองพันมายอมจำนนต่อทหารฝ่ายสหรัฐ
“ผมยอมแล้ว! ได้โปรด! ไว้ชีวิตพวกเราด้วย!”
โทมัสพูดกับทหารสหรัฐนายหนึ่ง
และแล้วทหารสหรัฐหน่วยนั้น ก็ยอมรับการยอมจำนนและเข้าปลดอาวุธของฝ่ายเยอรมันของโทมัสจนหมดทุกคน
.
1 กรกฎาคม 1944
การรบในเมืองแชร์บวร์กยุติลงอย่างเป็นทางการ กองทัพเยอรมันทั้งหมดยอมแพ้ต่อกองทัพสหรัฐ และสงครามสำหรับพวกเขาได้ยุติลงแล้ว
โทมัสถูกส่งไปรักษาตัวที่เต็นท์พยาบาลของกองทัพสหรัฐ เพราะบาดแผลของเขานั้นสาหัสมาก ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวในภายหลังเพื่อนำตัวไปขึ้นเรือพร้อมกับลูกน้องในกองพัน และส่งตัวไปที่ค่ายเชลยศึกในอังกฤษ
“ผมขอพูดอะไรกับลูกน้องของผมได้ไหม?”
โทมัสพูดขออนุญาตจากทหารสหรัฐที่ควบคุมตัวพวกเขา
“ผมให้เวลา 5 นาที คุณจะพูดอะไรก็รีบพูด”
ทหารสหรัฐที่ควบคุมตัวเขาพูดอนุญาต
“ขอบคุณมาก! นี่สำหรับน้ำใจของคุณ รับมันไปสิ ผมให้!”
โทมัสพูดขอบคุณ และเขาได้ตอบแทนน้ำใจทหารสหรัฐคนนั้นด้วยการมอบปืนพกลูเกอร์ประจำตัวให้กับเขา
เพราะนายทหารหนุ่มได้ยินพวกทหารสหรัฐที่นอนบาดเจ็บในเต็นท์พยาบาลคุยกันว่าถ้าหากมีโอกาสก็อยากที่จะได้ปืนพกลูเกอร์ของทหารเยอรมันกลับไปเป็นของฝากให้ที่บ้าน
ทหารสหรัฐคนนั้นตาลุกวาว เพราะมันคือสิ่งที่เขาตามหาและอยากได้มาโดยตลอด ในตอนนี้มีคนมามอบให้กับมือเลยด้วยซ้ำ
ก่อนที่โทมัสจะขึ้นไปเหยียบบนกล่อง และลูกน้องของเขาก็ล้อมวงมาเพื่อฟังเขาพูดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะแยกจากกัน
“ผมต้องขอขอบคุณการทำงานหนักเพื่อรับใช้ชาติของพวกคุณนับตั้งแต่ที่พวกเราได้เริ่มทำสงคราม บางคนยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น บางคนเป็นสามีที่ดีของภรรยา บางคนเป็นคุณพ่อของพวกเด็กๆ แต่พวกคุณทุกคนก็เลือกที่จะกระโจนเข้าสู่สงครามด้วยความกล้าหาญ เพื่อความรุ่งโรจน์ของเยอรมนีตามที่พรรคนาซีอวดอ้าง พวกเราที่กรำศึกมานาน ผ่านศึกในหลายสมรภูมิ ร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกันเสมอมา ความเป็นสหายร่วมศึกของพวกเรานั้นแน่นแฟ้นจนเกินกว่าที่จะหาคำมาบรรยายได้ แต่บัดนี้ภาระหน้าที่ของพวกเราได้สิ้นสุดลงแล้ว สงครามได้จากพวกเราไปแล้ว พวกเราเป็นอิสระจากพวกมันแล้ว จากนี้ผมขออวยพรให้ทุกคนโชคดี ผมจะคิดถึงวันคืนที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกคุณเสมอตราบจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของผม ขอบคุณ!!”
พอโทมัสกล่าวจบ เขาก็ทำท่าวันทยหัตถ์ให้แก่ทหารเยอรมันทุกนายที่ร่วมรบกับเขาตั้งแต่เริ่มศึกในนอร์มังดี
ทหารเยอรมันบางนายร้องไห้ บางนายพยายามกลั้นเสียงสะอื้น เพราะโทมัสถือเป็นผู้บังคับบัญชาในอุดมคติของทหารทุกคนในกองพัน ก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งไปขึ้นเรือเพื่อมุ่งหน้าสู่อังกฤษ
บัดนี้ โทมัส ฮอฟมัน นายทหารแห่งกองทัพเยอรมันตกเป็นเชลยศึกของฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว…