“ยาคอปจ๊ะ คุณเฮนรี่บอกว่าจะเข้ามารับเธอพรุ่งนี้ตอน 10.00 นาฬิกานะจ๊ะ เตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นเอาไว้เลยนะจ๊ะ”
คุณครูมาร์ทาเดินเข้ามาบอกกับยาคอป ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังนั่งเล่นรับลมหนาวอยู่ที่ระเบียงหลังมื้ออาหารเย็น
“ทราบแล้วครับ…”
ยาคอปพยักหน้าอย่างเชื่องช้า เป็นเพราะอากาศหนาวที่ทำให้เขารู้สึกขี้เกียจเล็กน้อย
เมื่อคุณครูมาร์ทาว่ามาแบบนั้นแล้ว เด็กหนุ่มจึงเดินกลับไปที่ห้องนอนเพื่อเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวทั้งหมดที่ตัวเองมีลงใส่ในถุง เหลือไว้ก็แค่เพียงแปรงสีฟันและอุปกรณ์อาบน้ำที่พรุ่งนี้ยังต้องใช้อยู่
’ครอบครัวอุปถัมภ์งั้นเหรอ…หวังว่าพวกเขาจะเป็นคนดีนะ…’
ยาคอปภาวนาอยู่ในใจลึกๆ ถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
และเหมือนกับโชคชะตาเล่นตลก เพราะวันพรุ่งนี้คือวันที่เขาอายุครบ 15 ปีพอดิบพอดี (25 ธันวาคม 1945) วันเกิดครบรอบปีแรกที่เขาไม่มีคนในครอบครัวมาร่วมฉลองด้วย และต้องพลัดพรากไปอยู่กับคนแปลกหน้า คนที่เขาไม่รู้ว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไร แต่สิ่งเดียวที่ยาคอปภาวนาคือ ขอให้เขาเข้ากับพวกเขาได้ดีก็พอแล้ว
หลังจากเก็บของทั้งหมดลงในถุงส่วนตัวแล้ว ยาคอปก็เดินออกมายืนรับลมอยู่คนเดียวอยู่ที่ระเบียงชั้นสอง ในขณะที่พวกเด็กๆ คนอื่นๆ กำลังล้อมวงอยู่หน้าเตาผิงฟังคุณครูมารีเล่าเรื่องตำนานและที่มาของวันคริสต์มาสอยู่ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง
มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ยาคอปคิดว่ามันค่อนข้างน่ารำคาญจากพวกเด็กๆ ที่นั่งอยู่ห้องนั่งเล่นด้านล่างดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
เด็กหนุ่มทอดสายตามองกรุงเบอร์ลินที่งดงามไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืน ความวุ่นวายของผู้คนที่อาจจะบอกได้ว่าสมกับเป็นเมืองหลวงของเยอรมนีตะวันตก ประเทศที่ในอดีตเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่มาบัดนี้กลับต้องแยกเป็นสองฝั่ง เพียงเพราะความทะเยอทะยานของกลุ่มคนบางคน
ประวัติศาสตร์ของเยอรมนีที่ยาคอปได้อ่านผ่านมานั้น ทำให้เขารู้สึกว่าเยอรมนียังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ และรอคอยให้เขาค้นพบในอนาคต
เด็กหนุ่มใฝ่ฝันว่าในอนาคตสักวันหนึ่ง เขาอยากจะออกท่องเที่ยวไปในเมืองต่างๆ ของเยอรมนี ชิมอาหารและเรียนรู้วัฒนธรรมประจำถิ่นของเมืองและรัฐนั้นๆ ซึมซับทุกบรรยากาศและองค์ความรู้ที่เขาไม่เคยได้สัมผัส
และที่สำคัญ ยาคอปกำลังจะใช้ชีวิตของเขาในการตามหาสิ่งที่เรียกว่า ‘การตกหลุมรัก’ เขาอยากจะรู้ว่าการที่ได้รู้สึกอยากทะนุถนอมใครสักคน การที่ได้รักใครสักคนแบบสุดหัวใจนั้นเป็นอย่างไร
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเขาจะสามารถเข้ากันได้ดีกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเด็กผู้หญิงได้หรือไม่ เพราะทุกวันนี้เมื่อเห็นพวกเด็กผู้หญิงในบ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วก็ชวนให้ตัวเขารู้สึกละเหี่ยใจแปลกๆ ชอบกล
ยาคอปรู้สึกว่าพวกเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก และมีเรื่องให้ชวนปวดหัวอยู่หลายอย่าง จนบางทีเด็กหนุ่มก็แอบคิดว่า ถ้าหากแยกโลกระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายได้ก็คงจะดี และเพียงแค่คิดว่าต้องไปมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเธอแล้ว มันก็ชวนให้รู้สึกเหนื่อยเหมือนจะตายให้ได้ ณ ที่ตรงนั้น
แต่ถึงกระนั้น ยาคอปก็จะลองดูสักตั้งในการพยายามเข้าหาพวกเธอเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสมในอนาคต…แต่ต้องไม่ใช่กับเด็กผู้หญิงในสถานรับเลี้ยงแห่งนี้ ที่เขามองพวกเธอว่าเป็นน้องสาวไปหมดแล้ว
แม้ว่ามันจะน่าปวดหัว แต่ยาคอปก็จะลองดู เพราะเด็กหนุ่มอยากรู้ว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่รู้สึกตอนรู้ตัวว่าตกหลุมรักเด็กผู้หญิงนั้นเป็นอย่างไร แม้เขาจะไม่รู้ว่าโอกาสที่เหมาะสมในการเข้าหาพวกเธอนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ตาม
ในระหว่างที่ยาคอปกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น คุณครูมาร์ทาที่กำลังเดินตามหาตัวเขาอยู่ก็ทักขึ้น
“อ้าว! ยาคอป มาอยู่ที่นี่เองเหรอจ๊ะ ครูก็ว่าอยู่ว่าเธอหายไปไหน ไม่เห็นนั่งรวมอยู่กับพวกเด็กๆ ในห้องนั่งเล่น”
“สายัณห์สวัสดิ์ครับ คุณครูมาร์ทา”
ยาคอปทักทายเธออีกครั้ง
“ไม่ไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ฟังเรื่องของคุณซานต้ากับวันคริสต์มาสเหรอจ๊ะ?”
คุณครูมาร์ทาถาม
“ฮะๆ ผมเลิกเชื่อเรื่องคุณซานต้าไปตั้งแต่ตอนอายุ 6 ปีแล้วครับ”
ยาคอปหัวเราะเบาๆ
เด็กหนุ่มเลิกเชื่อเรื่องคุณซานต้าไปตอนอายุ 6 ปี ในตอนที่พรรคนาซีบอกว่าคริสต์มาสมันสำหรับพวกยิว และเทศกาลปัสกาพวกชาวยิวมักจะเอาเด็กๆ ไปเชือดเพื่อทำอะไรบางอย่าง ที่ตัวของยาคอปในตอนนี้ก็จำไม่ได้แล้ว และไม่อยากจำด้วย
อีกประการหนึ่งคือ เขาจับได้ว่าแท้จริงแล้วคุณซานต้าก็คือพ่อของเขานั่นเอง เพราะในตอนนั้นเขาตื่นขึ้นมาพบกับโทมัสที่กำลังแอบย่องเอาของขวัญมาใส่ไว้ในถุงเท้าที่เขาแขวนเอาไว้
และในตอนที่รู้ว่าคุณซานต้าไม่มีจริง ยาคอปก็ร้องไห้กับเฟลิเซียไปนานอยู่พอสมควรเลยทีเดียว มันจึงเป็นอดีตที่ค่อนข้างน่าอายสำหรับเขาในหลายๆ แง่
“แต่คริสต์มาสอีฟเป็นวันพิเศษสำหรับทุกคนนะจ๊ะ เธอไม่อยากจะร่วมฉลองกับทุกคนหน่อยเหรอ?”
คุณครูมาร์ทาถามเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ
“วันคริสต์มาสก็ไม่ได้พิเศษสำหรับผมในตอนนี้เลยด้วยครับ…เพราะไม่มีใครอยู่กับผมเลยนี่ครับ…”
ยาคอปพูดด้วยความห่อเหี่ยว เพราะนี่จะเป็นคริสต์มาสแรกที่ไม่มีคนในครอบครัวฮอฟมันอยู่กับเขาเลย
“อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะ เธอยังมีพวกคุณครูและเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงแห่งนี้เป็นเพื่อนนะจ๊ะ”
คุณครูมาร์ทาพูดกับยาคอป
“ผมรู้ครับ…แต่มันไม่เหมือนกันนี่ครับ ความรู้สึกที่ได้ฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวกับการที่ได้ฉลองคริสต์มาสกับคนอื่น”
ยาคอปตอบกลับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้าๆ
มาถึงตรงนี้มาร์ทาไม่รู้จะปลอบใจยาคอปแบบไหนดี เธอยืนเงียบอยู่นาน จนกระทั่งเธอยอมแพ้และถอนหายใจพ่นควันขาวๆ ออกมาจากจมูก
“บางทีครูก็คิดว่าเธอไม่ใช่เด็กที่กำลังจะอายุ 15 ปีนะจ๊ะ ความคิดเธอดูโตกว่าที่เป็นมากๆ เลย”
คุณครูมาร์ทาพูดกับยาคอป เพราะเธอรู้สึกว่า แม้เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ จะกำลังอายุ 15 ปี แต่ความคิดของเขานั้นเหมือนกับผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาแล้วอย่างช่ำชองอย่างไรอย่างนั้น
“ฮะๆ ขอบคุณที่ชมครับ แต่ถ้าผมเลือกได้…ผมจะเลือกให้ตัวของฮิตเลอร์กับพวกสัมพันธมิตรถือปืนคนละกระบอก แล้วไปดวลกันเอาตามสบาย ไม่ต้องให้คนนับล้านไปตายแบบไร้ค่าในสงคราม ถ้าเป็นแบบนั้น ในตอนนี้ผมก็น่าจะกำลังทานพายแอปเปิลฝีมือของคุณแม่อยู่ที่ดอร์ทมุนด์ เตรียมตัวฉลองวันคริสต์มาสในวันพรุ่งนี้ คิดอย่างนั้นไหมครับ?”
ยาคอปพูดกับคุณครูที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวเขา
“อืม…ไม่รู้สิจ๊ะ…แต่ครูจะบอกเธอว่าอย่าไปคาดเดาอะไรกับมนุษย์เลยนะจ๊ะ…”
คุณครูมาร์ทาพูดกับยาคอป
“ทำไมเหรอครับ?”
เด็กหนุ่มเอียงคอสงสัย
“เพราะมนุษย์น่ะเข้าใจยากนะจ๊ะ การจะทำความเข้าใจพวกเขาเป็นเรื่องที่ยาก พวกเขามักจะขับเคลื่อนด้วยความโลภและความทะยานอยากอยู่ตลอดเวลา แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ขี้ขลาดจนเกินกว่าที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง จนต้องส่งคนอื่นๆ ไปตายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของพวกเขายังไงล่ะจ๊ะ”
คุณครูมาร์ทาตอบยาคอป
“งั้นเหรอครับ…”
ยาคอปพยักหน้าเบาๆ
“แต่ในขณะเดียวกันนะยาคอป มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ และเปราะบาง พวกเขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้เราค้นพบเหมือนกันนะจ๊ะ มนุษย์แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน และมีความแตกต่างกันในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษยังไงล่ะจ๊ะ”
คุณครูมาร์ทากล่าวต่อไปอีก
“ฮะๆ คุณครูพูดกับว่าพวกเราไม่ใช่มนุษย์เลยนะครับ แต่ก็น่าคิดนะครับ คนที่จะเข้าใจมนุษย์ได้เนี่ย ต้องเป็นมนุษย์แบบไหนกัน หรือบางทีชีวิตนี้เราอาจจะไม่สามารถเข้าใจมนุษย์ได้เลยหรือเปล่านะครับ?”
ยาคอปถามคุณครูที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เรื่องนี้คงจะมีแต่พระผู้เป็นเจ้าล่ะมั้งจ๊ะ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างเรา ย่อมต้องเข้าใจพวกเราได้ดีกว่าใครๆ บางทีการศรัทธาในพระองค์มากๆ ในสักวันเราอาจจะเข้าใจมนุษย์ได้สักเสี้ยวนึงนะจ๊ะ”
คุณครูมาร์ทาตอบ
“เสี้ยวที่ว่านี่คืออะไรเหรอครับ?”
ยาคอปถามด้วยความสนใจ
“ความรักยังไงล่ะจ๊ะ สิ่งเดียวที่มนุษย์จะเข้าใจมนุษย์ได้ดีที่สุดคือความรักที่มีต่อกัน ความรักที่มนุษย์มีให้ต่อมนุษย์ด้วยกัน ถือเป็นความเข้าใจที่อยู่เหนือทุกการรับรู้ของมนุษย์ และสักวันหนึ่ง เธอก็คงจะเข้าใจได้เองนะจ๊ะ”
คุณครูมาร์ทาพูดยิ้มๆ
“ถึงครูจะพูดแบบนั้น แต่ครูก็ยังโสดจนอายุ 28 ปี แบบนี้นี่ครับ”
ยาคอปสวนคุณครูมาร์ทาด้วยหมัดตรงๆ ที่แทงใจดำของเธอ
“เดี๋ยวเถอะ! เจ้าเด็กนี่ ครูกำลังจริงจังนะ!”
คุณครูมาร์ทาเขกศีรษะเด็กหนุ่มที่ยืนข้างๆ ข้อหาที่บังอาจมาเล่นมุขแทงใจคนโสดที่อายุกำลังจะย่างเข้าเลข 3 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เธอยิ่งกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่ด้วย และที่อาสาเข้ามาเป็นคุณครูใหญ่ของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ก็เพราะเพื่อทำงานให้ลืมความชอกช้ำที่เพื่อนในกลุ่มมีแฟนหรือแต่งงานจนหมดแล้ว แต่ตัวเองยังโสด
“ฮะๆ ขอโทษนะครับ”
ยาคอปลูบศีรษะเบาๆ ก่อนจะขอโทษที่ทำบรรยากาศจริงจังเสีย
“ช่างมันเถอะจ้ะ ยังมีเรื่องอะไรที่กังวลอีกไหมจ๊ะ?”
คุณครูมาร์ทาสั่นศีรษะเบาๆ ก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณครูคิดว่าครอบครัวอุปถัมภ์ผมจะเป็นคนดีไหมครับ? ผมกังวลว่าจะเข้ากับพวกเขาไม่ได้จริงๆ นะครับ…ถ้าเกิดว่าพวกเขาไม่ได้ใจดีกับผม ผมควรจะต้องทำยังไง? ผมควรจะเดินไปในทิศทางไหน? ยิ่งพวกเขามีลูกอยู่ด้วยแล้ว ถ้าหากว่า…ผมถูกทิ้ง…ผมจะทำยังไงดีครับ…”
ยาคอปพูดเสียงอ่อยๆ
ยาคอปไม่ชอบการถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลังคนเดียว เอาจริงๆ ก็เข้าขั้นเกลียดเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นแล้วเขาจึงกังวลมากๆ ว่าถ้าหากถูกรับอุปถัมภ์แล้วครอบครัวอุปถัมภ์ทิ้งให้เขาต้องอยู่คนเดียว เขาจะทำยังไงดี
“อย่าลืมที่นี่สิจ๊ะยาคอป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าครอบครัวอุปถัมภ์จะดีกับเธอหรือไม่ แต่ถ้าเธอทนไม่ไหว บ้านหลังนี้เปิดต้อนรับเธอเสมอเลยนะจ๊ะ กลับมาได้ทุกเมื่อเลย”
คุณครูมาร์ทาลูบศีรษะของยาคอปเบาๆ เพื่อปลอบโยนเขา
“ผมจะจำเอาไว้นะครับ…”
ยาคอปพูดเสียงอ่อยๆ พร้อมกับปล่อยให้คุณครูลูบตามใจชอบ
“““หนู/ผมขอช็อกโกแลตร้อนด้วยครับ!!”””
เสียงดังของพวกเด็กๆ ทำให้สติของยาคอปกลับมาอีกครั้ง หลังจากเพลิดเพลินไปกับสัมผัสที่อ่อนโยนคล้ายผู้เป็นแม่ที่มาจากหญิงสาวตรงหน้า
“จะลงไปด้านล่างรับช็อกโกแลตร้อนๆ ทำให้ร่างกายอบอุ่นตอนที่อากาศหนาวแบบนี้ดีไหมจ๊ะ ไปกินกับทุกคนกันเถอะนะจ๊ะ วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนี่นาที่เธอจะได้อยู่ที่นี่”
คุณครูมาร์ทาพูดชวนยาคอป
“ขอรับไว้ด้วยความยินดีเลยครับ”
ด้วยร่างกายที่เย็นเฉียบจากการยืนตากอากาศหนาวๆ แบบนี้ ยาคอปจึงไม่ปฏิเสธที่จะรับของอุ่นๆ มาทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น
ทั้งสองคนจึงเดินลงไปข้างล่างเพื่อรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ และในค่ำคืนนั้นเองที่ยาคอปได้ร่วมร้องเพลงและทำกิจกรรมสนุกๆ กับทุกคนในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นครั้งแรก…