หลังจากที่ครอบครัวมาธิอุสรับอุปการะยาคอปในวันที่ 25 ธันวาคม 1945 เวลาก็ผ่านล่วงเลยมาได้ 1 เดือนแล้ว เด็กหนุ่มเริ่มจะคุ้นเคยกับพวกเขามากขึ้นผ่านกิจกรรมที่ทำร่วมกันอยู่เป็นประจำ
เด็กหนุ่มพึ่งค้นพบความจริงว่าครอบครัวมาธิอุสเป็นหนึ่งในครอบครัวชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่อพยพออกจากเยอรมนีไปยังสวิตเซอร์แลนด์ จากภาพถ่ายครอบครัวที่มีเชิงเทียน 7 กิ่งติดอยู่ในภาพหลายๆ ภาพ
พวกเขาเลือกที่จะอพยพไปในตอนที่พรรคนาซีขึ้นมามีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ เพราะอย่างนั้นแล้วพวกเขาจึงได้ปลอดภัยจากการคุกคามของพวกนาซี แต่พี่น้องร่วมเชื้อชาติของพวกเขานั้นไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
เมื่อต้องมาอยู่กับเชื้อชาติที่ครั้งหนึ่งตัวของเขาเคยทำให้พวกเขาต้องประสบกับจุดจบอันน่าเศร้า ยาคอปจึงทำตัวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย และพยายามช่วยเหลือจิปาถะของครอบครัวมาธิอุสให้ได้มากที่สุด เพื่อหวังที่ว่าการกระทำของเขาจะช่วยไถ่บาปในสิ่งที่เขาเคยทำลงไปสมัยที่ยังเด็กได้ไม่มากก็น้อย
ยาคอปไม่เคยเกี่ยงหรือขี้เกียจต่องานที่ได้รับมอบหมายจากตัวของเฮนรี่และแอร์นา ถ้าหากว่ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงมากนัก เด็กหนุ่มก็จะทำมันอย่างเต็มที่โดยไม่มีผ่อนปรน จนในบางครั้งก็สร้างความเป็นห่วงให้กับพ่อและแม่บุญธรรมของเขาอยู่เสมอๆ
หน้าที่ของยาคอปภายในบ้านคือ เป็นลูกมือของมากาเรเทอในการเก็บกวาดและทำความสะอาดบ้าน ในตอนที่เห็นว่ามันสกปรกแล้ว เพราะเฮนรี่กับแอร์นานั้น ตามปกติแล้วพวกเขาไม่ค่อยจะว่างเท่าไหร่ เพราะต้องทำงานในโรงพยาบาลด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นหน้าที่การทำความสะอาดบ้านจะตกเป็นของยาคอปกับมากาเรเทอเสียส่วนมาก
ในด้านอื่นๆ แอร์นาก็จัดการดูแลยาคอปเป็นอย่างดี และเธอค่อนข้างจะใจดีกับลูกบุญธรรมของเธอมากเป็นพิเศษ โดยหญิงสาวนั้นใช้เงินจำนวนมากในการเปลี่ยนให้ตัวของเขาจากเด็กหนุ่มผู้ที่กร้านสงคราม กลับมาเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักและสดใสตามวัยของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ อีกทั้งเครื่องสำอางบางอย่างที่จะช่วยให้ยาคอปนั้นกลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อที่สุดในสายตาของเธอและใครอีกหลายๆ คน
แม้ว่ายาคอปจะเคยปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ พร้อมกับบอกว่าตัวเขาที่เป็นอยู่ในตอนนี้นั้นโอเคและเขาพึงพอใจแล้ว แต่สำหรับตัวของแอร์นานั้น มันยังไม่เข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบหรือโอเคเลยแม้แต่นิดเดียว และเธอมักจะปฏิเสธด้วยคำว่า
“เป็นเด็กผู้ชายก็ต้องทำตัวให้สมกับวัยสิจ๊ะ เด็กผู้ชายวัยนี้น่ะนะ ต้องแต่งตัวให้ดูหล่อๆ เข้าไว้ เพราะมันจะทำให้สาวๆ เข้าหายังไงล่ะจ๊ะ”
คำพูดของแอร์นานั้นทำให้ยาคอปต้องปิดปากเงียบ และไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับแบบไหนถึงจะเหมาะสมและไม่เป็นการเสียมารยาทกับตัวของเธอ
ส่วนตัวของเฮนรี่นั้น เนื่องจากเขางานยุ่งมากกว่าแอร์นา จึงทำให้ยาคอปไม่ค่อยได้คุยกับเขาบ่อยนัก มีเพียงการชงกาแฟให้เขาดื่มและไปนำหนังสือพิมพ์มาให้เขาอ่านก่อนออกไปทำงานในตอนเช้าเท่านั้น ที่เด็กหนุ่มพอจะทำให้ได้
ส่วนมากาเรเทอผู้เป็นลูกสาวนั้น…
จากการสังเกตของยาคอปแล้ว ตัวของมากาเรเทอแม้จะเห็นเป็นคนเรื่อยๆ เอื่อยๆ มีด้านที่ขี้เล่น(มาก)และหวานแหววตามประสาของเด็กผู้หญิง แต่เมื่อเป็นการเรียนหรือการทำงานที่ได้รับมอบหมายมา เธอจะมุ่งมั่นทำมันให้สำเร็จเสียยิ่งกว่าตัวของเขาเสียอีก
แต่นอกจากงานบ้านและการเรียนแล้ว มากาเรเทอก็เรียกได้ว่าไม่เอาอ่าวเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวมักจะบังคับให้คุณกล้วยหอมหมายเลข 2 (ยาคอป) มาเล่นพ่อแม่ลูกด้วยกันกับเธอเสมอๆ ในยามที่ว่างจากการทำงานต่างๆ
แม้ในทีแรกยาคอปจะอิดออดไม่ยอมเล่นด้วยเพราะรู้สึกรำคาญ แต่ในทุกๆ ครั้ง มากาเรเทอจะเอาพายแอปเปิลมาหลอกล่อเขาอยู่เสมอๆ โดยเสนอว่า
“ถ้านายยอมเล่นพ่อแม่ลูกกับฉัน อาหารพิเศษในครั้งถัดไป ฉันจะทำพายแอปเปิลให้นายทาน ตกลงไหม?”
และแน่นอนว่ายาคอปไม่อาจจะปฏิเสธรสชาติของพายแอปเปิลที่แสนคิดถึงได้ และท้ายที่สุดมันจะจบที่เขาจะต้องมานั่งแหง็กปล่อยให้ตัวของมากาเรเทอจับตัวของเขาแต่งเสื้อผ้าตามใจชอบ เพราะสำหรับในการเล่นพ่อแม่ลูกแล้ว ตัวของเด็กหนุ่มในสายตาของเธอนั้นเป็นเพียงลูกชายตัวน้อยๆ ของเธอเท่านั้น
จนกระทั่งในวันหนึ่ง มากาเรเทอจึงขอร้องให้เขามาเล่นในตำแหน่งคุณพ่อ เนื่องจากตุ๊กตาที่รับหน้าที่นี้มาอย่างยาวนานเกิดฉีกขาดขึ้นมา และมันเกิดกำลังที่เธอจะซ่อมเองได้ ทำให้ต้องใช้เวลาในการซ่อมกว่าที่มันจะกลับมาเป็นปกติ
ดังนั้น ยาคอปที่รับบทลูกชายของเธอมาอย่างยาวนาน จึงต้องมารับหน้าที่เป็นสามี(สมมติ)ของเธอ
.
“มานอนตรงนี้สิคะคุณ~”
มากาเรเทอนั่งพับเพียบลงบนพื้น พร้อมกับตบแปะๆ ลงบนตักของตัวเอง
“หา?”
ยาคอปเผลออุทานออกมาด้วยความมึนงง
“มาสิคะ~ หรือว่าตักของฉันมันไม่น่านอนเหรอคะ…”
มากาเรเทอเสแสร้งทำเสียงเศร้าๆ แต่สำหรับยาคอปที่ตามเล่ห์กลของผู้หญิงไม่ทันนั้น เด็กหนุ่มนึกว่าเธอกำลังเศร้าอยู่จริงๆ
“เอ่อ…ก็ได้ครับ…”
ยาคอปค่อยๆ เอนตัวนอนลงบนตักของมากาเรเทออย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะเขาคิดว่านี่อาจจะเป็นแผนการบางอย่างของเธอหรือเปล่า
และเพียงแค่ล้มตัวลงนอนและแหงนหน้าขึ้นไปบนเพดาน วิวทิวทัศน์ของเพดานกว่าครึ่งก็โดนบดบังด้วยภูเขา จนทำให้ยาคอปหัวใจแทบวาย แต่ครั้นจะลุกหนีไปตอนนี้ก็กลัวจะโดนล้อและถูกหาว่าขี้ขลาด ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงกัดฟันกลั้นใจนอนต่อทั้งๆ แบบนั้น
พอหลับตาเพื่อสงบจิตสงบใจ ยาคอปจึงสัมผัสได้ว่าต้นขาของมากาเรเทอนั้นนุ่มมากๆ อาจจะเรียกได้ว่าสมวัยของเธอเลยก็ว่าได้ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเขาต้องแย่แน่ๆ
แต่ครั้นจะให้พลิกตัวไปทางขวาที่เป็นตำแหน่งหน้าท้องของเธอก็เหมือนกับการล่วงละเมิดทางเพศดีๆ นี่เอง แต่จะให้ลืมตามองภาพตรงหน้าก็เกรงว่าหัวใจจะวายเอา ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือพลิกตัวไปทางด้านซ้าย
ยาคอปจึงพลิกตัวในทันที แต่มากาเรเทอก็ร้องห้ามเอาไว้
“อ๊ะ! ไม่ได้สิคะคุณ! ถ้าจะพลิกตัวก็ต้องพลิกมาทางนี้สิคะ!”
มากาเรเทอจัดท่าทางของยาคอปใหม่ และมันอยู่ในท่าที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมากต่อหัวใจของเขา เพราะเบื้องหน้าในตอนนี้คือหน้าท้องที่มีกลิ่นหวานหอม แม้จะมีเนื้อผ้ากันเอาไว้ แต่กลิ่นหอมๆ นั้นก็แทบจะทำให้เด็กหนุ่มคลั่งได้จริงๆ
“ทำไมเธอถึงชอบเล่นพ่อแม่ลูกเหรอ?”
ยาคอปถามเสียงอู้อี้ และพยายามควบคุมการหายใจของตัวเองไม่ให้เหมือนกับคนโรคจิต ที่พยายามจะสูดดมกลิ่นตัวของเด็กผู้หญิง
“อืม……คงเพราะในอนาคตฉันอยากที่จะแต่งงานกับใครสักคนจริงๆ และมีลูกชายล่ะมั้ง~”
มากาเรเทอเงยหน้ามองเพดานพร้อมกับคิดอยู่สักครู่ ก่อนที่จะเอ่ยถึงความฝันของเธอที่อยากจะทำในอนาคต
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะฉันเชื่อว่าใครคนนั้นจะต้องรักฉันมากๆ และฉันจะต้องรักเขาจนสุดหัวใจเหมือนกัน และลูกชายของพวกเราสองคนต้องน่ารักมากแน่ๆ”
มากาเรเทอพูดยิ้มๆ
‘ยัยนี่จะโลกสวยไปไหมเนี่ย?’
ยาคอปคิดในใจ พร้อมกับถอนหายใจแรงๆ ออกมา แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะล้อเลียนความฝันของเธอแต่อย่างใด
แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มลืมไป คือตรงหน้าของเขาคือหน้าท้องของมากาเรเทอ และมันมีเพียงเนื้อผ้าบางๆ กั้นเอาไว้อยู่ เพราะอย่างนั้นเด็กสาวจึงสะดุ้งตัวโหยงด้วยความตกใจ
“ว๊าย!!”
เสียงร้องหวานๆ แบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนของมากาเรเทอดังขึ้นเบาๆ
“เอ่อ…ขอโทษนะ…”
ยาคอปรีบลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยขอโทษออกมาด้วยความรู้สึกผิด
“ฮึ่มมมม!!”
มากาเรเทอพองแก้มน้อยๆ พร้อมกับทุบหน้าอกของเขาดังป๊อกๆ เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังโกรธเขาอยู่ แต่สำหรับยาคอปนั้น มันไม่ได้เจ็บแต่อย่างใด ออกจะรู้สึกจั๊กจี้มากกว่าด้วยซ้ำไป
“บอกว่าขอโทษไง…อย่าโกรธฉันเลยนะ…”
ยาคอปที่รับมือเด็กผู้หญิงที่กำลังโกรธไม่เป็น เด็กหนุ่มได้แต่พูดพร่ำขอโทษเธออยู่แบบนั้น
“ไม่ยกโทษให้! ถ้านายอยากให้ยกโทษให้ ต้องให้ฉันกอดจนกว่าจะพอใจเท่านั้น!!”
มากาเรเทอพูดเสียงเด็ดขาด
“ก็ได้…”
ยาคอปที่จนปัญญา และกลัวว่ามากาเรเทอจะโกรธเขานานจนทำให้บรรยากาศภายในบ้านอึดอัด ได้แต่ยอมรับข้อเรียกร้องของเธอ
“เย้!!”
มากาเรเทอกระโดดกอดยาคอปในทันที จนทั้งคู่ล้มลงไปนอนที่พื้นด้วยกัน ก่อนที่เธอจะสกินชิปกับเขาเท่าที่ตัวเองอยากจะทำ หยอกล้อเขาสารพัดวิธี โดยที่เด็กหนุ่มทำได้แค่นอนตัวสั่นหงึกๆ เท่านั้น ไม่กล้าที่จะตอบโต้อะไรไป
และในวันนั้น ยาคอปก็ได้รับรู้ถึงความน่ากลัว(แบบน่ารัก)ที่เกินพิกัดของมากาเรเทอเป็นครั้งแรก
นอกจากนั้น สิ่งหนึ่งที่ยาคอปค่อนข้างระแวงเป็นพิเศษก็คือ สิ่งที่ตัวของมากาเรเทอมักจะทำกับเขา นั่นก็คือ การที่เธอชอบมามุดเตียงของเขาในตอนเช้าหรือเวลาที่งีบหลับยามบ่าย
เนื่องจากมากาเรเทอนั้นมีกุญแจสำรองที่เก็บเอาไว้กับตัว และมีเพียงเธอคนเดียวที่รู้ตำแหน่งของมัน ดังนั้นตัวของเธอจึงสามารถเข้าออกห้องต่างๆ ภายในตัวบ้านได้อย่างอิสระ และนั่นรวมไปถึงห้องนอนของยาคอปด้วย
มีหลายครั้งเลยทีเดียวที่ยาคอปลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับรอยยิ้มพิลึกๆ ของมากาเรเทอ และทุกครั้งมักจะจบลงด้วยการที่เขาตะโกนโวยวายจนลั่นบ้าน
แม้ในระยะแรกๆ เฮนรี่และแอร์นาจะรีบวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมกับตักเตือนมากาเรเทอ แต่ในระยะหลังๆ พวกเขาคงถอดใจและทำใจให้ชินไปแล้ว และไม่คิดที่จะตักเตือนเธออีก ความลำบากจึงมาตกอยู่กับยาคอป และพวกเขาทำได้แค่เพียงบอกว่า
“ก่อนนอนก็ลงกลอนประตูให้แน่นหนานะยาคอป”
แน่นอนยาคอปเคยทำตามที่เฮนรี่และแอร์นาแนะนำ ก่อนเข้านอนเขาจึงลงกลอนประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา
และในเช้าวันต่อมา…
“เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ! ทำไมประตูมันล็อคอ่ะ!! อ๊า!!!! เปิดนะยาคอป!! เปิดเดี๋ยวนี้!!! เปิดดดดดดดด!! อ๊า!!!!”
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ มากาเรเทอนั้นโวยวายจนลั่นบ้านและทุบประตูเรียกเขาให้เปิดอยู่แบบนั้น จนเด็กหนุ่มไม่เป็นอันหลับอันนอน และทำใจพยายามปล่อยผ่านในเรื่องนี้ไป
แต่ถึงกระนั้นก็ยาคอปก็ยังคงไม่ชินอยู่ดี กับการที่ตื่นมาเจอใบหน้าของมากาเรเทอที่นอนหลับอยู่ข้างๆ หรือรอยยิ้มพิลึกๆ นั่น ที่มักจะหยอกล้อเขาอยู่เป็นประจำ
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าหนักใจสำหรับยาคอปก็คือ การติดการสกินชิปของมากาเรเทอที่เข้าขั้นน่ากลัว เธอจะเข้ามานัวเนียกับเขาจนบางทีรู้สึกอึดอัด แต่พอเด็กหนุ่มบอกให้เธอพอได้แล้ว เด็กสาวก็มักจะพองแก้มน้อยๆ พร้อมกับพูดจาเอาแต่ใจ และยกระดับการสกินชิปไปอีกขั้น
การนอนหลับหรือปลีกตัวออกห่างนั้น ยาคอปเคยลองแล้ว แต่ทุกอย่างนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะมากาเรเทอนั้นเซนส์ดีจนเกินคาด และจะตามหาเขาจนพบ ก่อนจะเข้ามานัวเนียเขาตามใจชอบ จนเด็กหนุ่มนั้นรู้สึกหนักใจอยู่บ่อยๆ
ที่เขารู้สึกแบบนี้มีสาเหตุอยู่ 2 อย่าง
ข้อแรกคือ ยาคอปไม่เคยโดนการสกินชิปแบบหนักหน่วงขนาดนี้มาก่อน แม้ว่าในตอนเด็ก เขาจะเคยกอดผู้เป็นพ่อหรือแม่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงแบบนี้ ออกจะเป็นไปในแนวน่ารักๆ ตามสไตล์ครอบครัวสุขสันต์เสียด้วยซ้ำ การมาโดนสกินชิปแบบหนักหน่วงในทันทีแบบนี้ มันทำให้เขาช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเขารับมือกับผู้หญิงไม่เป็นด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่
ข้อที่สองคือ มากาเรเทอนั้นจัดว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา ใบหน้าที่เรียวกระชับเข้ารูป นัยน์ตาสีฟ้าใส จมูกโด่งเป็นสัน เรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ที่ยาวสลวย รูปร่างที่ผอมเพรียวราวกับนาฬิกาทราย และที่สำคัญคือ ภูเขาสองลูกของเธอที่ดูจะใหญ่โตกว่าเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกัน มันทำให้ยาคอปรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่เธอเอามันเข้ามาเบียดกับตัวของเขา และหน้าของเขาจะแดงก่ำทุกรอบ
และนั่นก็จะวนกลับไปที่ข้อแรก ที่การสกินชิปของมากาเรเทอจะหนักหน่วงขึ้นไปอีก เพราะเด็กสาวมองว่าเขากำลังทำตัวน่ารักๆ ให้เธอเห็น
ส่วนเหตุผลที่มากาเรเทอชอบมาสกินชิปกับยาคอปนั้น เป็นเพราะตัวของเธอชอบการสัมผัสผิวของมนุษย์ที่ลื่นๆ หยุ่นๆ มาตั้งแต่เด็ก และเด็กสาวชอบความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งยาคอปมีคุณสมบัติตรงนี้ครบถ้วน ทั้งผิวที่เรียบเนียนราวกับผู้หญิงและความอบอุ่นแบบที่หาไม่ได้จากมนุษย์คนไหน มันทำให้เธอชอบมาทำตัวใกล้ชิดและสกินชิปกับเขา
เมื่อยาคอปมีสีหน้าที่แดงก่ำจากความเขินอาย มากาเรเทอมองว่ามันน่ารักสุดๆ และด้วยความที่เธอชอบของน่ารักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอจึงมักจะยกระดับการสกินชิปไปอีกขั้นโดยที่ไม่บอกเขาล่วงหน้า
แต่ทั้งหมดที่มากาเรเทอทำไปนั้นมาจากความใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ได้มีความคิดที่แปดเปื้อนหรือส่อไปในทางไม่ดีไม่งามเลยแม้แต่น้อย
กับการที่ชอบเธอเข้าไปสกินชิปกับเขาเพียงเพราะความชอบส่วนตัว และการหยอกเอินเขาก็มาจากการที่เธอรักในความสนุกกับการแกล้งคนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่ได้มีความรักระหว่างชาย-หญิงเข้าไปเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว
ชีวิตประจำวันของมากาเรเทอ เด็กสาวผู้รักในความสนุก และ ยาคอป เด็กหนุ่มผู้กร้านสงคราม กำลังดำเนินต่อไปโดยที่พวกเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกเขาที่ครั้งหนึ่งเคยหักเหออกห่างจากกันแบบสุดขั้ว บัดนี้มันกำลังถักทอเข้าหากันทีละน้อยแต่ต่อเนื่องแล้ว